Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครอง ทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือ ลอกเรียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง
ความหมาย ธัมมิกสังคมนิยม (พุทธทาสภิกขุ)

“...โลกจะต้องมีระบบการปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวคน และให้ประกอบไปด้วยธรรมะ. ระบอบการปกครองในโลกที่ไม่เห็นแก่ตัวคนตัวบุคคลคือมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะเปิดโอกาสให้ระบบการปกครองนั้นประกอบอยู่ด้วยพระธรรม หรือพระเจ้า แล้วแต่จะเรียก ไม่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ก็เรียกไว้ทีก่อนว่า ระบบธัมมิกสังคมนิยม"

สังคมนิยม ก็แปลว่า เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัวเอง, ไม่เห็นแก่ตัวกูคนเดียว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ จึงจะเรียกว่าสังคมนิยม แล้วการเห็นแก่สังคมนั้นต้องถูกต้องด้วย ; เพราะว่าผิดก็ได้เหมือนกัน. การเห็นแก่สังคมผิด ๆ ก็คุมพวกไปปล้นคนอื่น หาประโยชน์มาให้แก่พวกตัวนี้ มันก็ผิด ก็เลยต้องใช้คำว่า “ธัมมิก” ประกอบอยู่ด้วยธรรมนี้ เข้ามานำหน้าไว้ว่า ธัมมิกสังคมนิยม-ระบอบที่ถือเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก และประกอบไปด้วยธรรม

ตัวอย่างประเทศที่สามารถเรียนรู้ ที่มีการจัดรูปแบบ การปกครองที่เรียกว่า “สังคมนิยม ประชาธิปไตย” โดยรูปแบบการจัดการ “รัฐสวัสดิการ”

ประเทศสวีเดนคือประเทศหนึ่งของหลายประเทศ รูปแบบการปกครอง เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยทางอ้อม โดยใช้วิธีการเลือกตั้งตัวแทนไปนั่งในสภา เป็นแบบสภาเดียว แต่ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุขที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ลักษณะหลักคิดวิธีการคล้ายประเทศไทย ความแตกต่างคือทุกอย่างที่เป็นกฎหมายการวางกฎเกณฑ์ร่วมกัน ที่นำไปสู่การปฏิบัติมีการกระทำอย่างเคารพ และยอมรับในกติกา ไม่มีการละเมิด ในทุกส่วน แม้กระทั่งระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะที่นี่เขามีกติการ่วมกันว่า กฎหมายคืออำนาจสูงสุดของประเทศที่พลเมืองพึงปฏิบัติตาม เป็นสิทธิและหน้าที่ หัวใจของการปกครองโดยวิธีนี้ ผมวิเคราะห์ว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อคนในสังคม ต้องมีคุณภาพ มีวินัย มีศีลธรรมจริยาธรรม ให้เกียรติผู้คนอื่นๆ ที่สำคัญคือต้องรู้หน้าที่ เคารพกติกาที่ได้ถูกสร้างมาร่วมกัน

อำนาจที่นี่ไม่ถูกกระจุกไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะความที่คนที่นี่มีกลุ่มคนที่หลากหลาย กลุ่มความคิดที่หลากหลาย กฎหมายของเขาไม่มีเลยที่จะปิดกั้นไม่ให้คนรวมกลุ่ม แม้แต่กลุ่มความคิดนั้นจะไม่เห็นด้วยกับภาครัฐ ไม่ห้ามตามกฎหมายแล้ว ยังแถมมีกฎหมายให้งบประมาณการรวมกลุ่มชนด้วย เพราะเขาถือว่าการรวมกลุ่มขึ้นมาก็เพื่อการสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม การรวมกลุ่มที่จะถูกยกเว้น คือกลุ่มองค์กรที่มีเจตนาร้าย และ กระทำการล้มล้างผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น การปกครองภายใต้กฎหมายของเขานี้เมื่อเขาว่ามันคืออำนาจสูงสุดมันก็สูงสุดจริงๆ ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าคิดมาทำลายล้าง ความมั่นคงของสังคมเขาจึงมี และ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อการสร้างสรรค์ตลอดเวลา

ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบบการเมืองหลายพรรค หลายอุดมการณ์ การจะให้อุดมการณ์แนวไหนเข้ามาปกครองประเทศก็ยู่ที่ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ฉะนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่นี่ มีค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนี้ได้ดังที่กล่าวมาแล้วว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมเปิด การรวมหมู่ รวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กรเป็นไปอย่างหลากหลาย ตามความสนใจ ตามกลุ่มผลประโยชน์ ตามแนวคิด พรรคการเมืองที่มีอยู่ก็หลากหลาย มีทางเลือกให้กับผู้คนในสังคม

พรรคการเมืองที่มีอยู่ในประเทศสวีเดน แยกพรรคที่มีแนวความคิดที่แตกต่างกันได้ประมาณ 4-5 แนวคิดคล้ายกันบ้าง แตกต่างกันอย่างสุดขั้วบ้าง แนวทางของพรรคการเมืองที่เด่นชัดคือ

1. แนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเข้ามาบริหารประเทศมากที่สุด มีอยู่สองพรรคการเมืองหลักที่อยู่ในแนวทางนี้ คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democrat) ที่มีเสียงรองรับโดยมาตรฐานอยู่ที่ 29-32เปอร์เซ็นต์ และ พรรคฝ่ายซ้าย (Vanster) ก่อนที่ประเทศโซเวียติ ที่เป็นคอมมิวนิสต์จะล่มสลายคือพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศสวีเดน และ เป็นพรรคการเมืองที่แยกตัวออกมาจากพรรค สังคมนิยมประชาธิปไตย หลังจากการร่วมกันต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในประเทศ พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียง อยู่ในระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ พรรคแนวทางนี้ คะแนนเสียงที่ได้รับเป็นกรอบเป็นกำ จะมาจากองค์กรกรรมกร ซึ่งมีสมาชิกอยู่กว่าสามล้านกว่าคน จากประชากรประมาณ เก้าล้านคน

2. สายอนุรักษ์ธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม เพิ่งก่อเกิดขึ้นมาได้ไม่ถึงยี่สิบปี เป็นพรรคการเมืองที่คนหนุ่มคนสาวให้ความสนใจเข้าร่วมมาก นโยบายของพรรคนี้คือ การอนุรักษ์ทรัพยากร และ สิ่งแวดล้อม ชื่อพรรคก็ชื่อนี้ หรือคนต่างชาติมักจะเรียกชื่อว่าพรรค กรีน (Green)หรือพรรค เขียว ซึ่งพรรคการเมืองนี้จะจริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และ การบริโภคมาก เขาเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้แทนประชาชนทั้งประเทศได้ พรรคนี้กำลังมาแรง คะแนนเสียงอยู่ในระดับ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เวลาต้องเลือกลงคะแนนจัดตั้งรัฐบาล พรรคนี้มักให้คะแนนเสียงไปทางด้าน แนวทางสังคมนิยม

3. แนวเสรีนิยม คือพรรคประชาชน (Flock Party) คะแนนเสียงที่ได้รับส่วนใหญ่ คือผู้ประกอบการรายย่อย และคนทำงานในสำนักงาน หรือระดับผู้บริหาร องค์กรจัดตั้งที่เป็นส่วนงานบริหาร ที่แยกออกมาจากกรรมกร คะแนนเสียงจะไม่แน่นอน บางครั้งเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งเกือบไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ที่มีเกณฑ์ต่ำสุดไว้ 4 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้เป็นที่รู้จักกันเชิงแนวคิดฝ่ายขวา คือเรามักเข้าใจแบบชาวบ้านคือแนวทางทุนนิยม พรรคนี้จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายขวา คือพรรคที่มีแนวทางทุนนิยม และ อนุรักษ์นิยม (คำว่าเข้าร่วม กับ คำว่าสนับสนุน ผู้เขียนหมายความว่า ถ้าเข้าร่วมคือเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล คำว่าสนับสนุนคือลงคะแนนเสียงให้ แต่ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล)

4. แนวทางทุนนิยม ได้แก่พรรค โมเดอร์ลาสต์ เป็นพรรคฝ่ายขวาที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด สิบปลายๆ ถึงยี่สิบ เปอร์เซ็นต์ต้นๆ แนวคิดทางระบบทุนนิยม เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ รายละเอียดของผู้มาลงคะแนนเสียงให้กับแต่ละพรรคก็น่าสนใจ มักเป็นไปตามนโยบายผลประโยชน์ และ แนวคิด

5. พรรคสนับสนุนเกษตรกร คือพรรค เซ็นเตอร์(Center) เสียงสนับสนุน ที่ได้รับคือผู้ประกอบการทางการเกษตร ผู้เข้าร่วมในพรรคเขาก็มีฐานทางการผลิต ประเทศนี้ที่น่าสนใจของพรรคการเมืองคือ เขาจะมีกิจกรรม ให้กับกลุ่มองค์กรของเขา และ การมีส่วนร่วมในการรักษาผลประโยชน์ พรรคการเมืองนี้เช่นเดียวกัน จะมีการบริการ ความรู้ ร้านค้า ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างเป็นองค์กรบริการประชาชน คะแนนเสียงพรรคนี้จะไม่มาก ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้ถ้าฝ่ายขวาได้คะแนนเสียวข้างมาก ก็จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล

6. พรรคทางด้านศาสนา คริสต์เตียนดีโมแครสต์ (Christian Democrat) หลักคิดเป็นไปตามชื่อที่เรียก มีแนวทางอนุรักษ์นิยม ใช้ศาสนาเป็นแนวทาง คะแนนเสียงสนับสนุน ส่วนใหญ่คือผู้ที่เคร่งศาสนา และ ผู้ที่เชื่อแนวทางแก้ปัญหาสังคมโดยแนวทางนี้ มีคะแนนเสียงมากเกือบเป็นลำดับหนึ่งของฝ่ายขวา ประมาณ สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้น

7. ระยะหลังๆมีพรรคการเมือง ประเภทขวาจัดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในประเทศ คือพรรคการเมืองประเภทต่อต้านสีผิว พรรคนี้ระยะหลังได้เข้าไปนั่งในสภาด้วย แต่พรรคการเมืองทั่วไปจะไม่สนใจให้เข้าร่วมกำหนดนโยบาย
จากข้อมูลระบบพรรคการเมืองการเลือกตั้ง เราจะได้เห็นพรรคการเมืองที่หลากหลายมาก ถ้าลงรายละเอียดของหลักคิดความเชื่อวิธีการจะแตกต่างกัน อย่างทุนนิยม และ เสรีนิยม หรือ สังคมนิยมกับพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งการมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย สังคมผู้คนที่หลากหลาย มีความคิดความเชื่อที่แตกต่าง แต่ละคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้ง เขาก็จะคิดเลือกผู้แทน แน่นอน 1. กลุ่มก้อนที่เขาร่วมอยู่ 2. หลักคิดวิธีการการแก้ปัญหา ในแต่ละช่วง (โอกาสพลิกโผมักจะมีให้เห็นเสมอ)

จึงไม่เป็นเรื่องยากที่ประชาชนสวีเดน จะเลือกผู้แทนของเขา เขามักจะไม่สนใจว่ารัฐบาลจะต้องมีเสียงข้างมากหรือน้อย เมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือกแล้ว นักการเมืองต้องไปทำหน้าที่ให้ประชาชนที่เลือกเขามาให้ได้ ฉะนั้นในประเทศสวีเดน จึงมีการปกครองระบบหลายพรรคการเมือง และ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็คือเสียงส่วนน้อยในสภา บางครั้งก็เป็นรัฐบาลร่วมหลายพรรค บางครั้งก็เป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยเพียงพรรคเดียว แต่การเมืองในระบบรัฐสภาของเขาก็ไม่เคยที่จะสร้างปัญหาให้คนในสังคม

คนสวีเดนถูกฝึกฝนให้เคารพกติกา และ เคารพในหน้าที่ระบบการทำงานจึงไม่สับสน แถมไม่วุ่นวาย ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่อยู่ตรงไหนก็ทำตรงนั้น ทำให้ดีทำตามหน้าที่ เคารพสิทธิของผู้อื่น

ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย รูปแบบรัฐสวัสดิการคือทางเลือกในการปกครองของประเทศนี้ การใช้เงินมากมายเพื่อนำมาดูแลคนในสังคม คนในสังคมจึงต้องมีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละไม่คิดเล็กคิดน้อย ต้องยินดีให้รัฐจัดเก็บภาษี อย่างหนักเมื่อทำงาน นอกจากภาษีของบุคคลที่มีรายได้ทั่วไปที่เก็บกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วการเก็บภาษีประเภทก้าวหน้าเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนในสังคมเขาก็ยินดีจะจ่ายให้ การจัดเก็บภาษีจึงเป็นหัวใจของการจัดระเบียบสังคม ขจัดความอยากมีอยากได้ความเห็นแก่ตัว บางคนอาจจะไม่พอใจ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นด้วย ก็ต้องยอมจำนน การจัดเก็บภาษีของเขานอกจากเป็นภาษีรายได้ปกติแล้ว ภาษีสมบัติ ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน แม้แต่ภาษีเงินที่สะสม จากระบบการเก็บภาษี ในทุกเรื่องการสะสมสมบัติของคนที่นี่จึงมีน้อยมาก ฉะนั้นการเงินในประเทศนี้จึงหมุนเวียนคล่องตัว การสะสมเงินเพื่ออนาคตจึงมีน้อยมาก เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลชีวิตอนาคต เพราะรัฐสวัสดิการดูแลให้ทุกเรื่องตั้งแต่เกิดจนตาย การดูแลของรัฐสวัสดิการ เขาใช้วิชาการในการศึกษา มีตัวชี้วัดความสุขของคน เมื่อมนุษย์มีความมั่นคงในชีวิต มนุษย์ก็ไม่ต้องสะสม ไม่กังวลทำเพื่อตัวเอง สมองก็ปลอดโปร่งที่จะได้คิดสร้างสรรค์ เมื่อคนในสังคมมีกินไม่อดอยากการก่ออาชญากรรมก็จะมีน้อย

นอกจากการเงินของรัฐที่ได้จากการเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว รัฐยังมีรายได้จากกิจกรรมของรัฐเองด้วย การจะจัดการเรื่องสวัสดิการให้ได้ดี รัฐจะต้องมีเงิน ฉะนั้นรัฐจึงต้องมีกิจการเป็นของรัฐ ในระบบการค้าเสรีรัฐไม่ได้หวงห้าม แต่รัฐก็เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการหารายได้เข้ารัฐด้วย บริษัทใหญ่ๆ และ เกี่ยวกับความมั่นคงในประเทศรัฐจะเป็นผู้เข้าดูแลจัดการ และพร้อมที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน หรือ เข้าถือหุ้นเพื่อการดูแลแรงงาน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ศึกษาได้ จะเอาแบบอย่างหรือไม่เอา เราก็สามารถเรียนรู้นำมาเผยแพร่เพื่อให้คนในสังคมเรียนรู้ได้ เพื่อการตัดสินใจ หรือจะนำมาประยุค เพื่อนำทางสู่สังคมไทย

รัฐสวัสดิการ หัวใจของแนวคิดคือการขจัดความเหลื่อมลำทางสังคม สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม ระบบการแข่งขัน มีกฎกติกาที่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มต้นอย่างไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ทุกครัวเรือนจะได้รับการดูแลเริ่มต้นจากครรภ์มารดา โอกาสทางการศึกษา ที่พักอาศัย อาชีพการงาน ระบบสาธารณูประโภคที่ดี ไม่ต้องหาเงินมาต่อเสริมเติมแต่งให้เกิดความสะดวกสบายกว่าผู้อื่น แม้วัยบั้นปลายของชีวิตรัฐก็จัดการเลี้ยงดูให้

ในประเทศสวีเดน ที่มีการวางระบบให้กับคนในสังคมอย่าง คิดว่าคนคือคน ทุกคนมีสิทธิที่จะได้อยู่ ได้รับอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความเชื่อของระบบ คือมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องได้รับการบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศสวีเดนมีการปกครองรูปแบบสังคมประชาธิปไตย โดยการปกครองดูแลได้รับฉันทามติจากประชาชนที่คัดเลือกตัวแทนมาสู่การบริหารประเทศ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบ สังคมนิยมในรูปแบบรัฐสวัสดิการ ที่รัฐต้องดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ที่ต้องผ่านประสบการ และ การเรียนรู้ หัวใจของการปกครองในระบอบนี้คือ ผู้นำต้องมีความเชื่อมั่น และ ศรัทธาในประชาชน เห็นคนเป็นเป็นคน ทุกคนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยปละละเลยดูดาย ทำเพื่อความสุขแห่งตนเพียงผู้เดียว
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net