Skip to main content
sharethis
คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแจ้งรัฐบาลลาวตัดสินใจเดินหน้า ‘เขื่อนดอนสะโฮง’ หวังไฟฟ้ารองรับความต้องการในประเทศ ด้าน 5 องค์กรเอ็นจีโอในประเทศลุ่มน้ำโขง ออกโรงจี้โครงการควรผ่านกระบวนการปรึกษาหารือเพื่อการตัดสินใจร่วมระดับภูมิภาค 
 
ที่มา: www.livingriversiam.org 
 
3 ต.ค.56 - คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เผยแพร่ใบแจ้งข่าว ระบุว่า รัฐบาลลาวแจ้ง MRC ว่าได้ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮง บริเวณสีพันดอนทางตอนใต้ของประเทศแล้ว โดยเขื่อนดังกล่าวจะทำการตลอดทั้งปีและจะผลิตไฟฟ้าได้ 260 เมกะวัตต์ (ราว 2 เท่าของเขื่อนปากมูลในไทย ที่มีกำลังการผลิตติดตั้ง 136 เมกะวัตต์)
 
หนังสือแจ้งการตัดสินใจนี้ส่งถึงกองเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลลาวระบุว่าได้เตรียมผลการศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิค ซึ่งรวมถึงการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการ โดยจะมีการเผยแพร่ต่อประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงอย่างกัมพูชา ไทย และเวียดนามด้วย 
 
รัฐบาลลาวระบุว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มสร้างในเดือนพ.ย.2556 แล้วเสร็จในเดือน ก.พ. 2561 และจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน พ.ค. 2561 โดยพลังงานที่ได้ทั้งหมดจะขายให้กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว  (Electricite du Laos: EDL) เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น  
 
 
 
ในวันเดียวกัน (3 ต.ค.56) เว็บไซต์องค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) เผยแพร่แถลงการณ์กรณีเขื่อนแห่งที่ 2 บนแม่น้ำโขงในลาว ชื่อ “หายนะพันธุ์ปลาแม่น้ำโขง เขื่อนดอนสะโฮงของลาวประกาศเดินหน้า” ของ 5 องค์กร คือ เอ็นจีโอฟอรัมกัมพูชา (NGO Forum on Cambodia) เครือข่าย 3S เพื่อปกป้องแม่น้ำ (3S Rivers Protection Network) กัมพูชา ศูนย์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Green Innovation and Development Centre) เวียดนาม สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และองค์การแม่น้ำนานาชาติ

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า เขื่อนดอนสะโฮงจะขวางกั้นร่องน้ำเดียวที่เป็นเส้นทางอพยพของปลาในแม่น้ำโขงที่เหลืออยู่ในช่วงหน้าแล้ง การสร้างเขื่อนแห่งนี้จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อแหล่งประมงน้ำจืดใหญ่สุดของโลก 
 
อีกทั้งจากจดหมายแจ้งล่วงหน้าต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง แสดงให้เห็นว่า ทางการลาวละเลยความรับผิดชอบที่จะต้องเสนอโครงการเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (prior consultation process) ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง แม้ว่าก่อนหน้านี้ สำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและแหล่งทุนระหว่างประเทศจะระบุว่า โครงการนี้ควรผ่านกระบวนการปรึกษาหารือเพื่อให้มีการตัดสินใจร่วมกันในระดับภูมิภาค 

“เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ลาวพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ พร้อมๆ กับบังคับให้สาธารณชนทั้งภูมิภาคต้องแบกรับภาระจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง” ธีระพงศ์ โพธิ์มั่น นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตกล่าว
 
“ลาวต้องยกเลิกโครงการนี้ รวมทั้งโครงการอื่นในแม่น้ำโขงสายหลัก ก่อนจะสายเกินไป” ธีระพงศ์ ให้ความเห็น
 
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุด้วยว่า ในการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของเขื่อนดอนสะโฮงเมื่อปี 2550 คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้ความเห็นว่า โครงการนี้ต้องผ่าน ‘การปรึกษาหารือล่วงหน้า’ เนื่องจากเขื่อนดังกล่าวตั้งอยู่ในแม่น้ำโขงสายหลัก น้ำที่ไหลเข้าเขื่อนไม่ได้มาจากลำน้ำสาขาแต่มาจากแม่น้ำโขงสายหลัก
 
ในระหว่างการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของแหล่งทุนของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงเมื่อเดือนมิถุนายน แหล่งทุนระหว่างประเทศ 10 แห่งรวมทั้งสหภาพยุโรป (European Union) ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาขอให้รัฐบาลลาวเปิดเผยข้อมูลในรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของเขื่อนดอนสะโฮง และเสนอโครงการเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า

“ถ้าคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงไม่สามารถหยุดยั้งการดำเนินงานของลาวได้ เท่ากับไม่สามารถปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ และจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในฐานะองค์กรที่ชอบธรรมไป” เอมี แทรนเดม จากองค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าว
 
“คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงไม่อาจปล่อยให้ลาวละเลยความรับผิดชอบของตนเองอีกต่อไป โครงการนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า ตามข้อกำหนดในความตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ.2538 นอกจากนี้ควรมีการปฏิบัติตามความตกลงยุติการสร้างเขื่อนทั้งหมดในแม่น้ำโขงสายหลักเป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงประเมินผลกระทบของเขื่อนต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามความตกลงที่ลาวและประเทศเพื่อนบ้านให้ความเห็นชอบเมื่อปี 2554” ตัวแทนจากองค์การแม่น้ำนานาชาติให้ความเห็น

แถลงการณ์ให้ข้อมูลต่อมาว่า จากบทเรียนการสร้างเขื่อนไซยะบุรีซึ่งเป็นเขื่อนแห่งแรกในแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง ลาวได้เริ่มแผนเบื้องต้นสำหรับการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง เมื่อปี 2555 และคาดว่าต้องมีการขุดท้องน้ำเพื่อนำตะกอนปริมาณ 1.9 ล้านลูกบาศก์เมตรออกไป การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเมื่อปี 2552 ระบุว่า การดำเนินงานเช่นนั้นจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางน้ำ และส่งผลให้มีปริมาณน้ำประมาณ 9-10% ที่ไหลผ่านร่องน้ำฮูสะโฮงในช่วงฤดูฝน 
 
แถลงการณ์ ระบุว่า การมีสิ่งปลูกสร้างขวางกั้นร่องน้ำเดียวที่มีอยู่ซึ่งเป็นช่องทางอพยพของปลาตลอดทั้งปี จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแบบแผนการหาอาหารและการผสมพันธุ์ของพันธุ์ปลาที่หลากหลายจำนวนมาก และก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน นอกจากนั้น ปลาโลมาอิระวดีซึ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อยู่แล้ว จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการสูญเสียแหล่งอาศัยและการเปลี่ยนแปลงด้านนิเวศในลำน้ำ เพื่อเพิ่มปริมาณการไหลของน้ำผ่านร่องน้ำเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า

“เขื่อนดอนสะโฮงจะยิ่งทำให้กัมพูชาและเวียดนามเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตอาหารมากขึ้น เพราะที่ตั้งของเขื่อนอยู่ติดกับพรมแดนกัมพูชา ลืมไปแล้วหรือว่าปลาเป็นเส้นเลือดและเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจเรา? ปลาเป็นอาหารหลักและเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญของคนในประเทศ” จิต สัมอาต (Chhith Sam Ath) เอ็นจีโอฟอรัมกัมพูชา (NGO Forum on Cambodia) กล่าว
 
“เราไม่อาจเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปโดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนด้านท้ายน้ำ หรือโดยไม่มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนที่น่าเชื่อถือ ปลาน้ำโขงคือทรัพยากรที่มีคุณค่า อย่าปล่อยให้ถูกทำลายง่ายๆ” เอ็นจีโอฟอรัมกัมพูชาระบุ

“เรายังมีพลังงานจากแหล่งอื่นที่ยั่งยืน ทำไมถึงจะต้องทำลายปลา การประมง และอาหาร สิ่งนี้หากหมดไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนมาได้” งุยถี่คาน (Nguy Thi Khanh) ศูนย์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Green Innovation and Development Centre) เวียดนามกล่าว
 
“รัฐบาลของประเทศแม่น้ำโขงต้องเร่งแก้ปัญหานี้ ก่อนที่ความตึงเครียดในภูมิภาคจะลุกลาม เราไม่อาจปล่อยให้การเมืองและการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวส่งผลกระทบต่อแม่น้ำและความมั่นคงด้านน้ำและอาหารในอนาคตของเรา บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องการให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและรัฐภาคี ร่วมมือกันปกป้องทรัพยากรในแม่น้ำโขงที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของประชาชนนับล้านคน” งุยถี่คานกล่าวย้ำ
 
 
 
โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนดอนสะโฮง: ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงสายหลัก บริเวณน้ำตกคอนพะเพ็งหรือที่รู้จักกันในชื่อ สี่พันดอน ทางตอนใต้ของลาว ห่างจากพรมแดนลาว-กัมพูชาทางด้านเหนือน้ำประมาณ 2 กม. เขื่อนดอนสะโฮงจะเป็นโครงสร้างที่ขวางกั้นฮูสะโฮง มีความสูงประมาณ 30-32 เมตร สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 260 เมกะวัตต์ ผู้พัฒนาโครงการนี้ได้แก่ บริษัท เมกะเฟิร์สท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Mega First Corporation Berhad) ของมาเลเซีย ส่วนบริษัท AECOM ของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นวิศวกรให้กับเจ้าของโครงการ (Owner’s Engineer)
 
 
 
อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มภาษาอังกฤษได้ที่นี่: http://www.internationalrivers.org/resources/pr-fish-plunder-at-stake-laos-announces-plans-to-build-don-sahong-dam-8102
 

ข้อมูลเพิ่มเติม: เขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลัก http://www.internationalrivers.org/files/attached-files/mekong_mainstream_28thai29.pdf

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net