Skip to main content
sharethis

ศาลจังหวัดเชียงใหม่ สืบพยานโจทก์คดีแดงเหลืองเชียงใหม่ปะทะเดือดปี 51 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต พบไม่มีประจักษ์พยาน ตำรวจอ้างส่งฟ้อง “แดง ปวนมูล” เพราะเห็นเป็นหัวโจก น่าเชื่อมีส่วนรู้เห็น

ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ในวันที่ 3, 4 และ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2421/56 เสื้อแดงเชียงใหม่คดียังไม่จบ ส่งฟ้องอดีตการ์ดกรณีปะทะเดือดปี 51 เพิ่มอีกคดี  ซึ่งมีนายแดง ปวนมูล อายุ 42 ปีอดีตการ์ดเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ตกเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันฆ่านายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา หรือ “ลุงหน่อ” บิดาของนายเทิดศักดิ์  เจียมกิจวัฒนา หรือ “โต้ง วิหค”  ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารเสือพระราชาซึ่งเป็นการ์ดพันธมิตรเชียงใหม่  จากกรณีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551  ที่บริเวณหน้าหมู่บ้านระมิงค์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ใกล้ที่ตั้งของสถานีวิทยุวิหคเรดิโอ 89 MHz (รักเชียงใหม่ 51 ปะทะเดือดเจ็บ 2 ฝ่าย พ่อแกนนำทหารเสือพระราชาดับ )

จากการสืบพยานโจทก์ 8 ปากที่ผ่านมาเป็นเวลา 3 วัน ไม่พบว่ามีพยานปากใดให้การว่าเห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการทำร้ายนายเศรษฐาผู้ตาย  และไม่มีใครเห็นว่านายแดงอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุในช่วงเวลาเกิดเหตุประมาณ 19.00น.  มีเพียงภาพถ่ายและวิดีโอที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาจากความร่วมมือของสื่อมวลชนที่ปรากฏภาพนายแดงในตอนเย็นก่อนเกิดเหตุเท่านั้น  โดยพนักงานสอบสวนกล่าวว่า  ที่ส่งฟ้องนายแดงเนื่องจากเป็นหัวหน้าการ์ดหรือ “หัวโจก”  และมีภาพถ่ายพกมีดสปาร์ตาในเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์  น่าเชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นด้วย  แต่เวลาตามภาพถ่ายนั้นห่างจากเวลาเกิดเหตุถึงสองชั่วโมง  โดยคดีนี้นายแดงได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากกลุ่มทนายยุติธรรมล้านนา


นางบัวคำ (สงวนนามสกุล?) พยานโจทก์ปากแรกได้ขึ้นเบิกความสรุปได้ว่า จดทะเบียนหย่ากับนายเศรษฐาผู้ตายก่อนหน้าเกิดเหตุนานแล้ว  และขณะเกิดเหตุตนอยู่ภายในบ้านดูรายงานข่าวทางโทรทัศน์ ไม่ได้เดินออกมาจากบ้าน  นายเศรษฐามาขอกุญแจรถกับตนเพื่อจะเอารถไปปิดกั้นไม่ให้ฝ่ายเสื้อแดงบุกเข้ามาสถานีวิทยุ  หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ตนจึงได้รับรายงานจากการ์ดเสื้อเหลืองว่านายเศรษฐาถูกทำร้ายเสียชีวิตแล้ว  และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาผู้จัดการมรดกของนายเศรษฐาได้ไปรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลกรณีเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองมาแล้วจำนวน 7.5 ล้านบาท  โดยก่อนหน้านี้เคยมีเหตุกระทบกระทั่งระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองอยู่บ้าง


นายดำรง (สงวนนามสกุล?) ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งเบิกความโดยสรุปว่า  ได้เดินทางไปทำข่าวในบริเวณที่เกิดเหตุตั้งแต่เวลาประมาณ 14.00น.  เห็นเสื้อแดงมีมากกว่า 100 คน  แต่มองไม่เห็นว่าเสื้อเหลืองมีจำนวนเท่าใดแน่ชัด  เนื่องจากตั้งบังเกอร์หลบมุมอยู่ภายในซอย  ช่วงกลางวันมีการยิงตอบโต้กันด้วยหนังสะติ๊กจากทั้งสองฝ่าย มีเสียงคล้ายประทัดดังตลอดเวลา  ขณะเกิดเหตุประมาณ 19.00น. ฝ่ายเสื้อแดงมีจำนวนเพิ่มขึ้น  รวมตำรวจและผู้สื่อข่าวทั้งหมดประมาณ 300-400 คน มีรถกระบะขับออกมาจากซอยด้วยความเร็วผิดปกติ  มีพลุยิงออกมาเป็นระยะ  ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงแตกกระจายเพราะกลัวถูกชน  รวมทั้งตนเองด้วย  เนื่องจากมืดมากและระยะแสงแฟลชไม่ถึง  จึงบันทึกภาพไม่ได้  ไม่สามารถซูมเข้าไปได้  ได้ยินเสียงพูดว่า “ให้ระวัง คนในรถยิงปืนออกมา”  แต่ตนไม่ทราบว่ามีฝ่ายเสื้อแดงถูกยิงด้วยอาวุธปืนในเวลานั้นหรือไม่


พ.ต.ท. กิจวัฒน์สินธุ์ อมตธนทรัพย์ เบิกความโดยสรุปว่า ขณะเกิดเหตุเป็นสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่  ได้ข่าวว่าสถานีวิหคเรดิโอประกาศนัดกลุ่มทหารเสือพระราชามารวมตัวกันที่สถานีก่อนจะไปปิดสนามบินเพื่อไม่ให้นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเดินทางจากเปรูกลับเข้าประเทศไทย  และสถานีวิทยุรักเชียงใหม่ 51 คลื่น 92.5 MHz ได้ประกาศระดมเสื้อแดงมาปิดกั้นไม่ให้กลุ่มเสื้อเหลืองปิดสนามบิน  ตนได้รับคำสั่งให้ไปสืบสวนหาข่าวนอกเครื่องแบบและเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานหากมีเหตุรุนแรง  ไปถึงบริเวณปากซอยหมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์ประมาณ 14.00น.  อยู่จนถึงเวลาเกิดเหตุช่วงกลางคืน  มีรถกระบะคันหนึ่งเข้าไปในหมู่บ้าน  เห็นคนเสื้อแดงอาศัยรถดังกล่าวเป็นที่กำบังเพื่อจะเข้าไปในซอย  แต่มีรถกระบะสี่ประตูอีกคันหนึ่งขับพุ่งออกมาก  รถกระบะคันแรกจึงถอย  และกลุ่มคนเสื้อแดงก็แตกฮือ  พอรถหยุดก็กรูกันเข้าไปทุบทำลายรถ  ส่วนตนไม่เห็นเหตุการณ์  ได้ยินแต่เสียงว่ามีคนกรูเข้าไป    และไม่เห็นว่านายแดง จำเลย ทุบรถหรือทำอะไร  แต่มีภาพจากสายลับ ซึ่งเป็นภาพในเวลากลางวัน  ส่วนจำเลยอื่นจากกรณีเดียวกันนั้นได้นำภาพถ่ายตอนกลางคืนและกลางวันมาเปรียบเทียบกัน  และได้ให้การกับพนักงานสอบสวนว่า  จำเลยเป็นหัวโจกกลุ่มการ์ดเสื้อแดงจึงน่าเชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นเหตุการณ์  เมื่อทนายจำเลยถามว่าขณะผู้ตายขับรถออกมานั้นมีเสียงปืนดังออกมาด้วยนั้น  พ.ต.ท.กิจวัฒน์สินธุ์ตอบว่า  แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไร  เป็นได้ทั้งเสียงปืนหรือประทัด


พ.ต.ท.บุญรักษ์ ก้าวสมบัติ นักวิทยาศาสตร์ศูนย์พิสูจน์หลักฐานเชียงใหม่  เป็นผู้ตรวจวิถีกระสุนที่รถยนต์กระบะของกลาง  เบิกความโดยสรุปว่า  สภาพรถบะขณะที่ตรวจนั้น ยางรถแบน  กระจกหน้าแตก  มีรอยกระสุนปืน  5 รอย ที่เหล็กเสริมกันชนหน้าด้านขวาคนขับเฉียงเกือบ 45 องศาทะลุโคมไฟหน้า 2 รอย  เป็นการยิงจากด้านหน้ารถ  ที่ฝากระโปรงหน้าคนขับด้านขวา 1 รอย ลักษณะเป็นการยิงกดลง และที่ด้านใต้กระจกบังลมแผ่นหลังด้านซ้ายตัวรถ 2 รอยเป็นการยิงจากหลังไปหน้า  มีขนาดรูใกล้เคียงกันจากกระสุนชนิด 9 มม. สันนิษฐานได้ว่าเป็นได้ทั้งจากปืนพกอัตโนมัติขนาด 9 มม.หรือปืนรีวอลโวขนาด .38  แต่ไม่ใช่จากปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ซึ่งรอยกระสุนจะเกิดเป็นกลุ่มประมาณ 6-7 รอยต่อจุด


พ.ต.ท.สวัสดิ์ หล้ากาศ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ และเป็นหัวหน้าชุดคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้  เบิกความโดยสรุปว่าสถานีวิทยุวิหคเรดิโอประกาศเชิญชวนเสื้อเหลืองมาปิดสนามบินตามแบบที่กรุงเทพมหานครในช่วงเวลาเดียวกัน  สื่อมวลชนไม่สามารถเข้าไปบันทึกภาพในซอยฝั่งเสื้อเหลืองได้  จึงบันทึกได้แต่ฝั่งเสื้อแดง  ตนเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุภายหลังจากเหตุสงบและไม่มีมวลชนทั้งสองฝ่ายแล้ว  ได้ประสานสื่อมวลชนต่างๆ เพื่อขอภาพข่าว  ประกอบกับมีภาพถ่ายจากตำรวจนอกเครื่องแบบ  จึงได้ขอออกหมายจับ “บุคคลตามภาพถ่าย”  จากภาพเหตุการณ์มีแสงไฟพุ่งเข้าหากัน  แสดงว่ามีการยิงกันจากทั้งสองฝ่าย  ส่วนจะยิงพลุหรือยิงปืนนั้นบอกไม่ได้  แต่พบปลอกกระสุนปืน 9 มม.และหมอนรองกระสุนปืนลูกซองตกอยู่ในที่เกิดเหตุ  ส่วนผลการชันสูตรพลิกศพผู้ตายไม่พบร่องรอยบาดแผลจากอาวุธปืน  ภาพถ่ายของจำเลยนั้นถ่ายได้จากบริเวณที่เกิดเหตุในเวลากลางวัน  แต่ไม่มีภาพถ่ายของจำเลยในเวลากลางคืน  จึงต้องเอามาเปรียบเทียบกับภาพในเวลากลางวัน  โดยระบุจากการแต่งกาย สีของเสื้อผ้า รูปร่าง ผม เครา ส่วนสูง


พ.ต.ท.ฐานันดร วิทยาวุฑฒิกุล นักวิทยาศาสตร์ศูนย์พิสูจน์หลักฐานเชียงใหม่  ผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ  เบิกความโดยสรุปว่า รถกระบะโตโยต้าไฮลักซ์ไทเกอร์ จอดอยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 25 เมตร  มีกุญแจเสียบคาอยู่ แต่เครื่องไม่ติด  สองข้างทางมีเศษก้อนหิน ลูกแก้ว เหล็ก น็อต วัตถุระเบิด สิ่งของต่างๆ รวมทั้งถุงขยะ  มีคราบเลือดมากบริเวณที่นั่งคนขับ และพบกองเลือดใกล้ล้อหลังขวา  พบปลอกกระสุนลูกซองขนาด 12 ระเบิดปิงปองและเศษชิ้นส่วนตกพื้นข้างรถด้านขวา มีท่อนไม้ หิน กระถางต้นไม้ทั้งในรถและนอกรถ  ในซอยใกล้ทางแยกประมาณ 73 เมตร พบแนวป้องกันทำด้วยพลาสติกแผงกั้นของเทศบาล ประกอบกับโล่ไม้อัดทำคล้ายกำแพง  มีเศษกระดาษทิชชู่และคราบเขม่าสีดำจากการระเบิด  ตนได้เก็บลายนิ้วมือแฝงด้านคนขับส่งมอบให้ผู้ชำนาญตรวจ  แต่ตนไม่ทราบผล


พ.ต.ท.อธิพงศ์  ทองแดง พนักงานสอบสวนเวรผู้รับผิดชอบคดีนี้ในขณะเกิดเหตุ  ได้นำสำเนาแผ่นซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์มามอบให้พนักงานอัยการอ้างส่งต่อศาลในวันพิจารณาคดีนี้  เบิกความโดยสรุปมีสาระสำคัญว่า  ไปถึงที่เกิดเหตุหลังจากทั้งสองกลุ่มแยกย้ายกันไปหมดแล้ว  จึงได้ตรวจที่เกิดเหตุ  และติดตามไปดูศพผู้ตายที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่  พบว่ามีบาดแผลถูกฟันแทงทุบตีทั่วร่างกาย  แต่ไม่มีร่องรอยบาดแผลจากกระสุนปืน  เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวเนื่องกับการเมือง  กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 จึงได้แต่งตั้งพนักงานสอบสวนร่วมหรือคณะทำงานประมาณ 8 คน  มี พ.ต.ท.สวัสดิ์ หล้ากาศ เป็นหัวหน้าคณะ  และตนเป็นผู้รับผิดชอบทำสำนวนส่งฟ้อง  ได้สอบปากคำพยานหลายปาก  และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ  โดยเดิมแจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันทำร้ายร่างกาย  แต่ต่อมาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันฆ่า  ส่วนแผ่นซีดีที่นำมาด้วยนั้นรวบรวมภาพเหตุการณ์จากช่วงเวลาตั้งแต่ 16.00น. ซึ่งมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง  แต่มีภาพนายแดงเพียง 2 ภาพ  (ไม่มีการเปิดแผ่นซีดีในศาล) มีอาวุธมีดสปาร์ตาเหน็บอยู่ข้างหลัง  ไม่มีภาพขณะทำร้ายร่างกายผู้ตาย  ไม่มีพยานบุคคลรายใดเห็นจำเลยกระทำผิด  รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานใดแสดงว่าจำเลยมีส่วนทำร้ายผู้ตาย  แม้จะมีการตรวจหาลายนิ้วมือแฝง  แต่ก็ไม่พบว่าตรงกับจำเลย  รวมทั้งไม่ตรงกับจำเลยอีก 5 คนในคดีที่ฟ้องไปก่อนหน้า  สาเหตุที่ส่งฟ้องจำเลยเนื่องจากพบว่าปรากฏตัวใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุในเวลาพลบค่ำ อีกทั้งจำเลยหรือญาติยังไม่เคยร้องขอความเป็นธรรมมาแต่อย่างใด  เมื่อทนายจำเลยถามว่าเวลาพลบค่ำนั้นคือกี่นาฬิกา  พ.ต.ท.อธิพงศ์ตอบว่า เป็นเวลาราว 17.00น. แต่เหตุเกิดเวลา 19.00น. ห่างกันเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง


หลังจากพักการพิจารณาคดีก่อนที่จะถูกนำตัวส่งกลับเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่  นายแดงได้กล่าวกับผู้รายงานข่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ในเหตุกาณ์ตอนกลางคืน หลังจากมีเรื่องในตอนกลางวันซึ่งเป็นคดีที่กำลังรับโทษอยู่  ตนก็ขึ้นรถกระบะตามๆ กันไปกับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อไปอารักขานายกฯ สมชายที่กำลังลงจากสนามบินเชียงใหม่เพื่อกลับไปยังบ้านพักที่หมู่บ้านกรีนวัลเลย์  ตนไม่รู้จักจำเลยอื่นในคดีเดียวกันมาก่อน  มารู้จักหลังจากที่ติดคุกแล้ว  ตอนนี้ยังไม่มีพยานฝ่ายจำเลยเพราะไม่มีใครกล้ายุ่ง  แม้แต่คนเสื้อแดงที่ถูกยิงในเหตุก็ไม่กล้าแจ้งความ  เพราะกลัวติดร่างแหโดนคดีไปด้วย  อยากให้คนเสื้อแดงมาเป็นกำลังใจบ้าง  ดีใจที่ได้ออกมากอดแม่ที่มาขึ้นศาลด้วย  อยากกลับออกไปเลี้ยงแม่ เรื่องของแม่คนหนึ่ง กับการฟื้นฟูเยียวยาที่ยังมาไม่ถึง>

ทั้งนี้นายแดงตกเป็นจำเลยรายที่ 6 จากกรณีเดียวกันกับที่มีนายนพรัตน์ แสงเพชร นายประยุทธ บุญวิจิตร นายบุญรัตน์ ไชยมโน นายสมศักดิ์ อ่อนไสว และนายพยอม ดวงแก้ว รวม 5 คนเป็นจำเลยร่วมกัน  ซึ่งคดีก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 5 คนคนละ 20 ปี  และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแก้โทษเป็นจำคุก 12 ปี  ขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังคำพิพากษาศาลฎีกา  และจำเลยทั้งหมดเพิ่งได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 ก.พ.55  หลังจากที่แต่ละรายถูกคุมขังเป็นเวลาเกือบ 3 ปี  ศาลฎีกาสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยคดีเสื้อแดงเชียงใหม่ 5 ราย > โดยก่อนหน้านี้นายแดงได้ดำเนินการขอพักโทษตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ประกอบเหตุพิเศษคือเป็นผู้ติดเชื้อ HIV แต่ถูกอายัดตัวมาเป็นจำเลยคดีนี้เสียก่อนเนื่องจากมีหมายจับค้างอยู่  ส่วนคดีเดิมนายแดงจะพ้นโทษในวันที่ 10 มกราคม 2557 พิพากษาเสื้อแดงเชียงใหม่จำคุก 5 ปี 6 เดือน จากเหตุปะทะกลุ่มพันธมิตรปี 51>

คดีนี้ยังเหลือพยานโจทก์อีกหนึ่งปาก คือนายธรรม (สงวนนามสกุล?) บุตรชายอีกคนหนึ่งของผู้ตายซึ่งมาขึ้นเบิกความไม่ได้เนื่องจากเดินทางไปประกอบธุรกิจต่างประเทศ  ศาลจังหวัดเชียงใหม่จึงนัดสืบพยานโจทก์ปากที่เหลือในวันที่ 22 ตุลาคมนี้  แล้วจึงจะสืบพยานจำเลยต่อไป.

(หมายเหตุ : ปากคำพยานเป็นการสรุปย่อโดยผู้รายงานข่าว  อาจไม่ตรงกับที่ศาลบันทึก)

------------------------------------------------------------------------------------

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net