อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย และ รองประธานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ บรรยายเรื่อง พัฒนาการเศรษฐกิจ สังคมไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ในโอกาสครบรอบ 38 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และ 41 ปี ครบรอบ 14 ตุลาคม 2516 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วานนี้ (5 ต.ค.2557) รายละเอียดมีดังนี้
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 19 อันนำมาสู่การรัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นผลจากเหตุปัจจัยหลายประการทั้งภายในภายนอกประเทศ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้ระบอบเผด็จการทหารที่อยู่ในอำนาจการปกครองประเทศมาอย่างยาวนานนับจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 ถูกโค่นล้มโดยขบวนการประชาธิปไตยของนิสิตนักศึกษาประชาชน แต่พลังอนุรักษนิยมจารีตนิยมขวาจัดสุดขั้วได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยถอยหลังอีกครั้งหนึ่งหลังจากได้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ผลสะเทือนของทั้งสองเหตุการณ์ได้ทำให้ผู้มีอำนาจรัฐต้องยอมรับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามากขึ้นและต้องฟังเสียงการมีส่วนร่วมของประชาชนเจ้าของประเทศมากขึ้น สังคมไทยเรียนรู้การแก้ปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองด้วยแนวทางสันติวิธีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 41 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และ 38 ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ความรุนแรงทางการเมืองยังคงเกิดขึ้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเดือนพฤษภาคม 2535 หรือ พฤษภาคม 2553 การรัฐประหารและความพยายามก่อการยึดอำนาจด้วยกำลังยังคงเกิดขึ้นหลายครั้ง สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมในระยะเวลาต่อมา
และเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองและความรุนแรงขึ้นมาในอนาคตอีก คสช. และ รัฐบาลประยุทธ์ ต้องทำตามสัญญาที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชนภายในหนึ่งปี และ คืนระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งภายในเวลาที่ได้สัญญาเอาไว้ นอกจากนี้ สภาปฏิรูป สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐบาลต้องช่วยกันดูแลให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยและสามารถสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดขึ้น มีหลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคให้กับทุกคนในประเทศ อำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย รวมทั้งเป็นกติกาที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้
สายธารพัฒนาการ “ทุนศักดินาสยาม” สู่ “ทุนไทยโลกาภิวัตน์” ใช้เวลานับกว่าร้อยปีและเส้นทางสายนี้ไม่มีทางไหลย้อนกลับ แม้นการเมืองจะย้อนยุคกลับไปเป็นระบอบกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แต่เชื่อว่าไม่อาจดำรงอยู่ได้นานภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์เช่นนี้ เนื่องเพราะระบอบกึ่งเผด็จการเป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อพัฒนาการของระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ในระยะยาวแล้วระบบทุนนิยมเสรีจะเป็นของแปลกปลอมสำหรับระบอบเผด็จการ แม้นทั้งสองสิ่งนี้อาจยังดำรงอยู่ได้ร่วมกันระยะหนึ่ง เสรีภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ระบบทุนนิยมจึงไปได้ดีกับระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม การอุบัติขึ้นของทุนนิยมโลกาภิวัตน์และการแพร่ขยายของลัทธิประชาธิปไตยทั่วโลก เป็นสิ่งที่มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันอย่างมาก
การบรรยายนี้จะมุ่งไปที่การศึกษาและสำรวจพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมหลังเหตุการณ์เดือนตุลาคมดังกล่าว โดยในการบรรยายจะไม่กล่าวถึงพัฒนาการทางการเมืองในรายละเอียดแต่สามารถสรุปได้ว่า พัฒนาการทางการเมืองได้พัฒนาจากระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ (หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคมใหม่ๆ) สู่ ระบอบเผด็จการครึ่งใบ สู่ ประชาธิปไตยครึ่งใบ สู่ ประชาธิปไตยเต็มใบ ความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยที่เพิ่งอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาให้เข้มแข็ง เมื่อเผชิญเข้ากับการทุจริตคอร์รัปชันในระบบการเมืองและระบบราชการ และการบ่อนทำลายของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยหรือฝ่ายอภิชนาธิปไตย ทำให้เราคงอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ทางการเมืองต่อไป และสิ่งนี้ย่อมส่งผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความอ่อนแอทางการเมืองและสภาพล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตยไทยทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วและอยู่ในสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ด้อยกว่าประเทศที่เคยล้าหลังกว่าไทย เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น
ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2519 – 2557 ประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรี 14 คณะ (ภายใต้นายกรัฐมนตรีคนเดียวกัน) ผ่านการรัฐประหาร 3 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญร่างใหม่ (ไม่นับฉบับแก้ไขหรือฉบับชั่วคราว) 3 ฉบับ (2521, 2540 และ 2550) และกำลังจะมีฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2558 เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญในปี พ.ศ. 2540 ในระยะเวลา 38 ปี ครอบคลุมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ฉบับ ตั้งแต่ ฉบับที่ 7 – 11 ช่วงเวลาดังกล่าว สามารถแบ่งยุคทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทย ออกเป็น 6 ยุคสำคัญ คือ ยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ (2535-2538) ยุคเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (2539 – 2543) ยุคทักษิโณมิกส์ (2544 – 2549) ยุค คมช. หลังรัฐประหาร 19 กันยายน (19 ก.ย. 2549-2550) ยุคหลัง คมช. และวิกฤติการเมืองขัดแย้งเหลืองแดง (2551-2557) ยุค คสช. ( พ.ค. 2557-ปัจจุบัน)
พัฒนาการทางเศรษฐกิจไทยในช่วงกลางทศวรรษที่ 2530 จนถึงปัจจุบันจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสำเร็จจากการกระจุกตัวของการพัฒนาเมือง (Urbanization) การพัฒนาอุตสาหกรรมและการบริการ (การเงินและการขนส่ง) ในกรุงเทพมหานครและเขตเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาฯ แต่ล้มเหลวในการกระจายความเจริญสู่เมืองหลัก (Primal Cities) ต่างๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่มีผลในระดับประเทศเกิดขึ้นแต่เฉพาะในเขตเมืองใหญ่ แม้ว่าคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทยจะดีขึ้น แต่ความสามารถและโอกาสทางธุรกิจกลับกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ จึงเท่ากับว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment, FDI) ในเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนทางอุตสาหกรรมที่ต้องการเพียงแรงงานมีฝีมือราคาถูก (Labor-intensive Economy) แต่ล้มเหลวในการก้าวไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้มข้น (Technology-intensive Economy) ซึ่งในอนาคตของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ความท้าทายสำคัญของประเทศไทยคือ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและสังคมไปสู่ระบบฐานความรู้บนพื้นฐานของความยั่งยืนและความพอเพียง (Sustainable & Sufficiency Knowledge-based Economy/Society)
การวิเคราะห์ในการบรรยายครั้งนี้จะเลือกช่วงเวลาที่กองทัพได้กลับไปเป็นทหารอาชีพและลดบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจนหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 และ สงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับกองทัพไทยได้ยุติลงโดยมีนโยบาย 66/23 เป็นปัจจัยสำคัญ การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยระหว่างปี 2535 – 2557 ได้มุ่งการศึกษาไปที่มิติและสาขาสำคัญ 4 ด้าน คือ ด้านการศึกษาและกำลังคน ด้านการค้าและการลงทุน ด้านโครงสร้างประชากรและสาธารณสุข และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ขณะที่การวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมาในบริบทเชิงสาขา ได้ดำเนินการวัดความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศใน 4 มิติ ประกอบด้วย มิติทรัพยากรมนุษย์ มิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชนและการอาศัยร่วมกัน ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า ในระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา มิติทรัพยากรมนุษย์มีความก้าวหน้าพอสมควร คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น มีการศึกษามากขึ้น แต่คุณภาพการจัดการศึกษาโดยเฉพาะระดับอุดมศึกษากลับแย่ลงและมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาฟองสบู่ของสถานการศึกษาโดยเฉพาะในระบบอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยห้องแถวได้ผุดขึ้นมากมายเพื่อตอบสนองความต้องการปริญญาบัตรและวุฒิการศึกษา มีการขายปริญญาหรือมีการจัดการศึกษาอย่างไม่มีคุณภาพ มิติเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าดี เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 แต่ได้กลับมาประสบปัญหาอีกครั้งหนึ่งหลังการวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปี พ.ศ. 2556 และการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 รายได้ประชาชาติต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่การเติบโตชะลอตัวลงอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้ดีพอสมควร จำนวนคนยากจนลดลงแต่ความเหลื่อมล้ำกลับเพิ่มขึ้น มีปัญหาความไม่เท่าเทียมของรายได้ มิติสิ่งแวดล้อมมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเพียงเล็กน้อย มิติชุมชนและการอาศัยร่วมกันมีความก้าวหน้าในบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่มีพัฒนาการที่ขาดความต่อเนื่องหรือถดถอยอย่างชัดเจน ได้แก่ ความไร้เสถียรภาพของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2535-2550 ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างมาก โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมากถึง 10 รัฐบาล และ มีการปฏิวัติรัฐประหาร 2 ครั้ง อายุเฉลี่ยในแต่ละรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 1.5 ปี เท่านั้น ตาราง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของคณะรัฐบาล ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าคณะรัฐบาลชุดที่ 47 – 49 (สีเขียว) ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการเมืองภายใต้กรอบของการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 คณะรัฐมนตรีชุดที่ 50 และ 53 (สีน้ำเงิน) เป็นคณะรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ โดยรวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 6 ปี ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลชุดดังกล่าว ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินภายหลังวิกฤติทางการเมืองยุคแรก และวิกฤติทางเศรษฐกิจในยุคที่สอง คณะรัฐมนตรีชุดที่ 51 (พรรคชาติไทย) และ 52 (พรรคความหวังใหม่) (สีส้ม) ได้บริหารราชการแผ่นดินในระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างกลางปี 2538 จนถึงปลายปี 2540 คณะรัฐมนตรีชุดที่ 54 และ 55 (สีแดง) เป็นคณะรัฐมนตรีที่บริหารงานต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยอยู่ในฐานะฝ่ายบริหารเป็นเวลา 6 ปี ภายใต้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย โดยการนำของ พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะรัฐบาลชุดดังกล่าวได้ถูกยึดอำนาจ โดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลชุดที่ 56 ขึ้น เพื่อบริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2549 จนถึงปลายเดือน มกราคม 2551
ตารางการเปลี่ยนแปลงของคณะรัฐมนตรีไทย (พ.ศ. 2535 – 2550)
คณะที่ | นายกรัฐมนตรี | คณะรัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง | คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง | วันแถลงนโยบาย | |
ชื่อ-สกุล | คนที่/สมัยที่ | ||||
ยึดอำนาจ | คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (พลเอก สุนทร คงสมพงษ์) | - | 23 กุมภาพันธ์ 2534 | 1 มีนาคม 2534 | ยึดอำนาจ |
คณะที่ 47 | นายอานันท์ ปันยารชุน | 18/1 | 2 มีนาคม 2534 | 7 เมษายน 2535 | 4 เมษายน 2534 |
คณะที่ 48 | พลเอก สุจินดา คราประยูร | 19 | 7 เมษายน 2535 | 10 มิถุนายน 2535 | 6 พฤษภาคม 2535 |
คณะที่ 49 | นายอานันท์ ปันยารชุน | 18/2 | 10 มิถุนายน 2535 | 23 กันยายน 2535 | 22 มิถุนายน 2535 |
คณะที่ 50 | นายชวน หลีกภัย | 20/1 | 23 กันยายน 2535 | 13 กรกฎาคม 2538 | 21 ตุลาคม 2535 |
คณะที่ 51 | นายบรรหาร ศิลปอาชา | 21 | 13 กรกฎาคม 2538 | 25 พฤศจิกายน 2539 | 26 กรกฎาคม 2538 |
คณะที่ 52 | พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ | 22 | 25 พฤศจิกายน 2539 | 9 พฤศจิกายน 2540 | 11 ธันวาคม 2539 |
คณะที่ 53 | นายชวน หลีกภัย | 20/2 | 9 พฤศจิกายน 2540 | 17 กุมภาพันธ์ 2544 | 20 พฤศจิกายน 2540 |
คณะที่ 54 | พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร | 23/1 | 17 กุมภาพันธ์ 2544 | 11 มีนาคม 2548 | 26 กุมภาพันธ์ 2544 |
คณะที่ 55 | พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร | 23/2 | 11 มีนาคม 2548 | 19 กันยายน 2549 | 23 มีนาคม 2548 |
ยึดอำนาจ | คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน) | - | 19 กันยายน 2549 | 1 ตุลาคม 2549 | - |
คณะที่ 56 | พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ | 24 | 1 ตุลาคม 2549 | - | 3 พฤศจิกายน 2549 |
ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
1. ยุคหลัง รสช. (พ.ศ. 2535 – 2538) เป็นยุคหลังการปฏิวัติโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ในทางการเมือง ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็วและเกิดสภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ โดยในปี 2535 ประเทศไทย มีรัฐบาล 3 ชุด (ชุดที่ 47 – 49) โดยพรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของ นายชวน หลีกภัย ได้รับช่วงการบริหารราชการแผ่นดินต่อจากคณะรัฐบาลชุดที่ 49 ของนายอานันท์ ปันยารชุน ต่ออีก 3 ปี ในระหว่างยุคการเมืองสีเขียวดังกล่าว พบว่า ปัจจัยสำคัญภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจคือการเปลี่ยนแปลงตลาดและสกุลเงินของสหภาพยุโรป ที่เป็นปัจจัยสำคัญทางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคที่เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 – 2539) และ ได้มีการเริ่มกิจกรรมวิเทศธนกิจ (BIBF) ในปี 2536 ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเปิดเสรีทางการเงินในประเทศไทยในเวลาต่อมา
2. ยุคต้มยำกุ้ง (พ.ศ. 2539 – 2543) เป็นช่วงรอยต่อของการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 และ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ซึ่งในช่วงเวลานี้ วิกฤตการณ์ระลอกใหม่ได้ย้ายจากภาคการเมืองไปสู่ภาคเศรษฐกิจ โดยปี 2540 ถือได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดปีหนึ่งในระยะเวลา 15 ปี ภายใต้แกนเวลาที่กำหนด กล่าวคือ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับโลกและในระดับประเทศต่างเกิดขึ้นในปีดังกล่าว เช่น ความสำเร็จในการโคลนนิ่ง (Cloning) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือ แกะดอลลี่ ในประเทศสหราชอาณาจักร การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 การเกิดโรคติดต่อทางอากาศ (ไข้หวัดนก) เป็นครั้งแรก และที่สำคัญที่สุด การเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเดือนสิงหาคม 2540 อันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษกิจการเมืองระลอกใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย โดยการล่มสลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ได้แพร่กระจายไปยังภาคบริการ การเงินและเงินทุน จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ที่ทำให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาแก้ไขปัญหาแทน โดยในปลายปี 2543 คณะรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ประกาศยุบสภา อันเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แม้ว่าอัตราการไหลเวียนของเงินทุนจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นบ้างก็ตาม
3. ยุคทักษิโณมิกส์ (พ.ศ. 2544 – 2549) การประสบชัยชนะของพรรคไทยรักไทย โดยการนำของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ การเมือง และ สังคมไทยขนานใหญ่ และได้นำพาประเทศไปสู่ความท้าทายในการปรับตัวต่อกระแสโลกและกระแสต่างๆ ภายในประเทศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สภาพทางเศรษฐกิจของไทยโดยรวมมีความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านภูมิภาคภิวัตน์ (Regionalization) และการกระจายอำนาจ (Decentralization) บนพื้นฐานความหลากหลายและอัตลักษณ์ถิ่น กลายเป็นปัจจัยเร่งสำคัญในเชิงบวกและในเชิงลบไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแตกต่างทางวัฒนธรรม กระบวนทัศน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเกิดความชัดเจนในขั้วความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยสอดรับกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในระดับโลก คือ เหตุการณ์ 9/11 ในเดือนกันยายน ปี 2544 ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงต้นปี 2547 และ พิบัติภัยสึนามิในจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันในปลายเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ความขัดแย้งทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจ ทำให้เกิดการรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติในวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดฉากการเมืองรัฐบาลพรรคเดียวที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
4. ยุค คมช. (พ.ศ. 2550 – 2554) หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่ทางแยกแห่งการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนทางการเมืองอีกครั้ง ปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่และจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเป็นภารกิจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดต่อไปในการเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขปัญหาดังกล่าว
ขณะที่การวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาในบริบทเชิงสาขา ได้ดำเนินการวัดความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศใน 4 มิติ ประกอบด้วย มิติทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชนและการอาศัยร่วมกัน ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า ในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา มิติทรัพยากรมนุษย์มีความก้าวหน้าพอสมควร คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น มีการศึกษามากขึ้น และมีการทำงานมากขึ้น ทั้งนี้ มีประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ คือ ภาวะโรคเรื้อรัง และสุขภาพจิตที่แย่ลงกำลังบั่นทอนสุขภาวะของคนไทยในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน แม้คนไทยจะมีการศึกษาดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถยกระดับการศึกษาของแรงงานไทยให้ดีขึ้นได้มากนัก โดยปีการศึกษาเฉลี่ยของแรงงานไทยอยู่ที่ 8.6 ปี หรือต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งข้นของไทยในอนาคต นอกจากนี้ ผู้มีการศึกษาดีส่วนหนึ่งกลับว่างงานในอัตราที่สูงกว่าผู้มีการศึกษาน้อย ซึ่งเกิดจากการผลิตกำลังแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
มิติเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าดี เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 รายได้ประชาชาติต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความมั่งคั่งของประเทศเพิ่มขึ้น แต่มีปัญหาที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข คือ ความไม่เท่าเทียมของรายได้ ที่เสมือนว่าจะไม่มีความก้าวหน้าเลยในระยะ 15-20 ปีที่ผ่านมา
มิติสิ่งแวดล้อมมีความก้าวหน้าในการพัฒนาเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ พื้นที่ป่าไม้ที่เพิ่มขึ้นเป็นนัยแสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศทางบกปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีข้อสงสัยถึงระบบนิเวศชายฝั่งทะเล เนื่องจากคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งมีแนวโน้มที่แย่ลง ทางด้านทรัพยากรน้ำ คุณภาพแหล่งน้ำผิวดินปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางแหล่งน้ำที่คุณภาพน้ำยังเสื่อมโทรม อาทิ แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง แม่น้ำท่าจีนตอนกลาง แม่น้ำน่าน ทะเลสาบสงขลา กว๊านพะเยา ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข โดยการควบคุมน้ำทิ้งจากครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด คุณภาพอากาศโดยรวมดีขึ้นบ้าง เนื่องจากการปล่อยก๊าซที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพลดน้อยลง ขณะที่ยังมีการตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนเกินมาตรฐานอยู่เป็นครั้งคราว จำเป็นต้องเร่งแก้ไขต่อไป เพื่อให้คนในเขตเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับทรัพยากรดินถือได้ว่าเป็นมิติที่มีความก้าวหน้าน้อยมาก แนวทางในการแก้ไขปัญหาควรทำอย่างบูรณาการทั้งระบบ
มิติชุมชนและการอาศัยร่วมกันมีความก้าวหน้าในบางส่วนเท่านั้น เช่น ความเสมอภาคทางสังคมและการตื่นตัวในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ขณะที่บางส่วนมีพัฒนาการที่ไม่คืบหน้ามากนัก เช่น ความเข้มแข็งของชุมชนและธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตาม ส่วนที่มีพัฒนาการที่ขาดความต่อเนื่องหรือถดถอยอย่างชัดเจน ได้แก่ ความไร้เสถียรภาพของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว รวมถึงการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมอันนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประเทศไทยจึงควรมุ่งแก้ไขปัญหาในประเด็นเหล่านี้เป็นลำดับแรก
ทั้งนี้ การตรวจสอบความก้าวหน้าดังกล่าว ทำให้พบว่า ระบบและข้อมูลสถิติของไทยมีจุดอ่อนหลายประการ อาทิ การขาดองค์กรที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลสถิติอย่างแท้จริง ความล่าช้าของข้อมูล การขาดการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะอนุกรมเวลา ซึ่งจำเป็นมากต่อการวิเคราะห์ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ นอกจากนี้ ต้องมีการจัดเก็บข้อมูลในบางสาขาเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของกระแสการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“การจัดการความรู้” เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญสูงสุดของการเพิ่มผลิตภาพใน 15 ปีข้างหน้า จึงถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ประเด็นอุบัติใหม่” ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ทั้งในด้านการศึกษาและกำลังคน การค้าและการลงทุน สาธารณสุขและโครงสร้างประชากร และ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ นวัตกรรม
ทั้งนี้ จากการศึกษากระแสหลักสังคมไทยในอีก 20 ปี ข้างหน้า ของโครงการปฎิรูปประเทศไทย สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ ในปี 2549 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคละวัยจำนวน 66 คน แสดงให้เห็นว่า สังคมและเศรษฐกิจไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมฐานความรู้ที่เน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตในเชิงกายภาพเป็นหลัก ความสามารถในการเลือกรับข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจและเทคโนโลยี จะมีส่วนสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจและสังคมต่อคนไทย ในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีสุขภาพ แต่ระดับความเร็วและจังหวะการก้าวย่างของเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่ได้ช้าลง และกลับเร็วมากขึ้น จากผลกระทบในเชิงบวกของเทคโนโลยีสารสนเทศในเชิงประสิทธิภาพ และผลกระทบในเชิงลบของเทคโนโลยีข้างต้นในการเร่งจังหวะการดำเนินชีวิต
สืบเนื่องจากประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนสู่การใช้องค์ความรู้มากขึ้น ระบบข้อมูลสถิติที่มีประสิทธิภาพ ย่อมเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวโน้มดังกล่าว จึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับลักษณะความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้ข้อมูลสถิติแต่ละกลุ่มมากขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ทั้งจากการประชุมกลุ่มเฉพาะและการสัมภาษณ์ โดยได้ดำเนินการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลและความคิดเห็นทั้งหมด เพื่อนำเสนอในรายงานวิจัยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงและประเด็นอุบัติใหม่ต่างๆ ในแต่ละสาขาที่ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวและจัดทำระบบสถิติรองรับการพัฒนาในอนาคตต่อไป ผลสรุปของสาระสำคัญทั้งหมด มีดังนี้
สาขากำลังคนและการศึกษา
ประเด็นสำคัญ 2 ด้านที่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการศึกษาและกำลังคน คือ ประเด็นอุบัติใหม่ด้านวิถีชีวิตและประเด็นอุบัติใหม่ด้านพลวัตของโลกธุรกิจ ในมิติของวิถีชีวิตไทย ปัจเจกนิยม (Individualism) ได้กลายมาเป็นกระแสหลัก (Megatrend) ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนไทยในเขตเมืองหลวงและเมืองใหญ่ๆ ผ่านโลกาภิวัตน์ทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ทุกรูปแบบ จนเกิดปรากฏการณ์มาตรฐานการใช้ชีวิตโลก (Global Living Standard) ขึ้น
ภาวะดังกล่าวได้ก่อให้เกิดมาตรฐานสินค้าและการค้าใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดความต้องการใช้แรงงานในรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับความต้องการใช้ชุดองค์ความรู้ใหม่ในการสร้างความสามารถในการแข่งขันต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อย่างระมัดระวัง และนำมาประมวลผลเพื่อบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาและกำลังคนเพื่อรองรับพลวัตทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
สาขาการพาณิชย์และการลงทุน
เศรษฐกิจโลกและไทยอยู่ในท่ามกลางการขับเคลื่อนสู่ภาวะไร้พรมแดนในทุกมิติ กระแสโลกาภิวัตน์กดดันให้ไทยต้องวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Positioning) ของตนเองให้ชัดเจน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว บทบาทของเศรษฐกิจสารสนเทศ (Information Economy) เพิ่มขึ้นตามลำดับ เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ทำให้ความสำคัญของอรูปทุน (Intangible Capital) ทวีความสำคัญมากขึ้น การจัดโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงสารสนเทศและความรู้จากทั่วโลก รวมถึงเป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และการบริหารทุนทางการเงิน ได้แก่ นโยบายทางกฎหมายและเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและเติบโตของวิสาหกิจอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้เกิดนวัตกรรมในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises, SMEs) ในประเทศ
สำหรับแนวโน้มในระยะ 15 ปีข้างหน้า ของการบูรณาการของตลาดทุน (Capital Market Integration) นั้น จะมีการควบรวมกิจการภายในประเทศและการควบรวมและเชื่อมโยงกับตลาดระหว่างประเทศมากขึ้น โดยหากการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ (De-Mutualization) เกิดขึ้น จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้น การจัดสรรเงินทุน (Allocation) การดำเนินงานที่โปร่งใส (Governance) ปลอดการแทรกแซงของการเมือง และการสร้างความเป็นกรรมสิทธิ์ในตลาดทุน (Ownership)
สาขาโครงสร้างประชากรและสาธารณสุข
ระบบสาธารณสุขในอนาคตของประเทศไทยจะมีลักษณะเด่นหลายประการที่แตกต่างไปจากระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุม 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ (1) กรอบความคิดทางด้านการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจะมีการผลักดันให้เกิดแนวทางของการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive medicine) มากขึ้นกว่าการแพทย์เชิงรักษาเยียวยา (Corrective Medicine) นอกจากนี้ ยังจะมีพัฒนาการไปสู่การแพทย์ส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงความรู้ด้านการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับการแพทย์แบบทางเลือก (Alternative Medicine) แบบต่างๆ มากยิ่งขึ้น ประเด็นที่ (2) โครงสร้างการบริหารจัดการ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ระบบสาธารณสุขแนวใหม่จะมีระดับความซับซ้อนมากขึ้น มีรูปแบบใหม่ๆ ปรากฏมากขึ้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระจายอำนาจการบริหารบุคลากร และทรัพยากร ออกไปสู่ท้องถิ่นอย่างกว้างขวางแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนไปสู่การสร้างเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐที่ให้มีการจัดทำแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาขึ้น พร้อมกับเร่งรัดให้มีการสร้างปัญญาในสังคม สนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง สร้างความสามารถของประเทศอย่างยั่งยืน และสนับสนุนให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันสร้างนวัตกรรม
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยการพัฒนาระบบนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อเป็นเครือข่ายของสถาบันรัฐและเอกชนในการพัฒนากิจกรรมและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ตลอดจนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และการเผยแพร่เทคโนโลยี
พลวัตทางสภาพแวดล้อมและสถาปัตยกรรมสังคมและเศรษฐกิจโลก
พัฒนาการของสถาปัตยกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจโลก (Global social and economic architecture) สามารถพิจารณาได้จากสาระสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และกระบวนทัศน์ของการเปลี่ยนแปลง ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 21
กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพัฒนาการประเทศไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เกิดจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information and Communication Technology, ICT) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และการปรับประยุกต์ใช้กับกิจกรรมในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและสังคม จากการวิเคราะห์ของคณะผู้วิจัย พบว่า มีกระแส 6 กระแสสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย (ดูภาพประกอบ) คือ
กระแสที่ 1: โลกที่ไม่หลับไหล (24/7)
กระแสที่ 2: โลกาภิวัตน์ของประสบการณ์ร่วม
กระแสที่ 3: กฎเกณฑ์ มาตรฐาน และกฎหมายอุบัติใหม่
กระแสที่ 4: ประเด็นความมั่นคงแบบใหม่
กระแสที่ 5: ระบบนวัตกรรมและธุรกิจใหม่
กระแสที่ 6: ปัจเจกนิยม
กระแสหลัก (Megatrends) ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต
กระบวนทัศน์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
กระแสโลกจากหัวข้อ 5.1.1 ยังหาไม่เห็น เป็นปัจจัยเร่งต่อการอุบัติขึ้นของแนวความคิดและพัฒนาการทางเศรษฐกิจร่วมแนวใหม่ จำนวน 6 ลักษณะ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ตามวิธีการพัฒนา (ดูภาพประกอบที่ 5.3) ยังหาไม่เห็น มีแต่ 5.2ดังนี้
1. วิธีการเชิงส่วน (Function-oriented approach) ประกอบไปด้วย
ก. เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy, KBE) ที่ให้ความสำคัญต่อนโยบายพัฒนาความรู้ผ่านการสร้างความสามารถทางการวิจัยและพัฒนาของชาติ
ข. เศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation economy) ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสามารถทางนวัตกรรมในรายสาขา (Sector) และ
ค. เศรษฐกิจความคิดสร้างสรรค์ (Creative economy) ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างความคิดสร้างสรรค์ในระดับเมือง (City)
2. วิธีการเชิงกระบวนการ (Process-oriented approach) ประกอบไปด้วย
ก. เศรษฐกิจไล่กวด (Catching-up economy) ที่เน้นกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจตามประเทศคู่ ค้าและคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ในอุตสาหกรรมที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกัน
ข. เศรษฐกิจไร้น้ำหนัก (Weightless economy) ที่เน้นกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ต้องพึ่งพิงการผลิตสินค้าที่จับต้องได้ (Tangible products) แต่ให้ความสำคัญต่อสินค้าและบริการที่จับต้องไม่ได้ (Intangible products and services) และ
ค. เศรษฐกิจใหม่ (New economy) ที่เน้นกระบวนการยกระดับและเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและรูปแบบการดำเนินธุรกิจในสาขาทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ หรือ การสร้างสาขาทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ขึ้น
เราจัดงานเสวนาทางวิชาการวันนี้นอกจากเพื่อแสวงหาความรู้และสติปัญญาเพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า เพื่อสันติธรรม เพื่อประชาธิปไตยแล้ว เราต้องการรำลึกถึงประชาชนผู้เสียสละชีวิต เลือดเนื้อ โอกาสและความสุขสบายในชีวิตเพื่อประชาธิปไตยและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ก้าวหน้าขึ้นดีขึ้น อดีตเหล่านี้เราต้องเรียนรู้ เราต้องรำลึกถึงวีรชนประชาธิปไตยผู้กล้าหาญเหล่านี้ ถ้าคนรุ่นหลังไม่สนใจและไม่เข้าใจประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ความเป็นธรรมและความถูกต้องดีงาม ไม่สนใจจิตวิญญาณของการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมที่ดีกว่า ไม่มีความตื่นตัวต่อปัญหาวิกฤติของประเทศ ไม่ช่วยกันคิดเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ก็จะไม่มีอนาคตที่สดใสนัก ทั้งที่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราจะก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งมีคุณภาพ ระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า แข่งขันได้ และเป็นธรรม ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ด้วยความคารวะต่อผู้เสียสละและเหล่าวีรชนประชาธิปไตย
อนุสรณ์ ธรรมใจ
6 ตุลาคม 2557
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บรรณานุกรม
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7-10
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตารางข้อมูลความยากจนและการกระจายรายได้ กุมภาพันธ์ 2550
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. รายงานสถานการณ์ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย กรกฎาคม 2550
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. รายได้ประชาชาติของประเทศไทย 2535-2549.
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สต็อคทุนของประเทศไทย 2535-2549.
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. สถานการณ์การกระจายรายได้ของไทย ปี 2547.
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลสำมะโนประชากร และ ฐานข้อมูลสถิติต่างๆ
- อนุสรณ์ ธรรมใจและคณะ “วงจรสถิติ ในรอบ 15 ปีกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย” สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2550
- อนุสรณ์ ธรรมใจ พัฒนาการ “ทุนศักดินาสยาม” จากสนธิสัญญาเบาว์ริง สู่ “ทุนไทยโลกาภิวัตน์” ภายใต้ประชาคมอาเซียน (๑) หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 12 กันยายน 2557
- http://www.bot.or.th
- http://www.nesdb.go.th
- http://www.nso.go.th
- http://www.tdri.or.th
- International Monetary Fund (2003). Data Quality Assessment Framework (DQAF) for Government Finance Statistics, July 2003.
- Kofmann, D., et.al.; Governance Matters VI: Aggregate and Individual Governance Indicators 1996-2006, World Bank Policy Research Working Paper 4280, July, 2007.
- Vangvivatna, P.; “Economics of Crime: an Econometric Investigation of Crimes in Thailand”, Master Thesis, Thammasart University, 1984.
- The World Bank (2007). World Development Indicators. April 2007.