ทีดีอาร์ไอชี้ลงทุนระบบรางพลิกโฉมภาคขนส่ง-โลจิสติกส์ แนะใช้บทเรียนจากรถไฟฟ้า

ผอ.วิจัยนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ ระบุการลงทุนระบบรางจะพลิกโฉมภาคขนส่ง-โลจิสติกส์ไทย สร้างเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากระบบราง ชี้รถไฟฟ้าเป็นบทเรียนที่ดี แนะปฏิรูปการรถไฟฯ

ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในส่วนของการปฏิรูประบบรางว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาภาครัฐเริ่มให้ความสนใจระบบรางมากขึ้นเห็นได้จากการผลักดันการลงทุนรถไฟรางคู่ไทย-จีนกว่า 300,000 ล้านบาท หากมองให้ลึกถึงปัญหาบวกกับความคุ้มค่าของการลงทุนในระบบราง ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่วัดได้จากจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ ซึ่งเป็นการลดต้นทุนในการเดินทางและการขนส่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีต่อเนื่องจากระบบราง เช่น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาการใช้ที่ดินในบริเวณรอบสถานีรถไฟ ซึ่งถ้าระบบรถไฟมีผู้ใช้บริการทั้งการเดินทางและขนส่งมาก  ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งนี้การลงทุนในระบบรางเชื่อว่าจะช่วยให้การเข้าถึงของประชาชนจะง่ายและสะดวกขึ้น และคาดน่าจะช่วยตอบโจทย์ในส่วนของการกระจายรายได้ได้ดีขึ้นซึ่งมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ลดเวลาการเดินทาง การลดการใช้พลังงาน เป็นต้น

ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอระบุว่า ประสบการณ์ของการลงทุนโครงการระบบรางขนาดใหญ่ในอดีตเป็นบทเรียนที่ดี ที่สามารถพิจารณาถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ตัวอย่างกรณีรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล หรือรถไฟใต้ดินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันมีบทเรียนด้านการประมาณการผู้โดยสารที่มองโลกในแง่ดีจนเกินไปหากพิจารณาจากข้อมูลในสัญญาสัมปทานของรถไฟฟ้าใต้ดิน มีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 6 แสนคนต่อวัน แต่ปัจจุบันกลับพบว่า มีผู้โดยสารประมาณ 2-3 แสนคนต่อวัน ซึ่งการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารที่คลาดเคลื่อนขนาดนี้ ย่อมส่งผลต่อการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับกรณีของแอร์พอร์ตลิงค์ที่มีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการเรื่องการเดินรถและการซ่อมบำรุง ซึ่งจำเป็นต้องมีการเรียนรู้จากบทเรียนดังกล่าว และนำมาปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเดิมอีก

ดังนั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตอันใกล้นี้ ไทยควรกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการลงทุน และการบริหารจัดการโครงการที่มีแนวทางที่ชัดเจน โดยใช้บทเรียนจากโครงการระบบรางที่ผ่านมา ซึ่งโครงการที่ค่อนข้างมีความสำเร็จคือโครงการที่เอกชนเข้ามาร่วมงาน รวมถึงแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยถ้าพิจารณาจากโครงการในอดีต จะพบว่า โครงการรถไฟฟ้าทั้งในส่วนของรถไฟใต้ดิน และรถไฟฟ้า BTS ซึ่งเป็นโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่โครงการแรกของประเทศไทย จะพบว่า โครงการเหล่านี้ ไม่ได้มีแผนงานในการรองรับการพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบมีน้อยมากหรือมีเพียงเฉพาะส่วน รวมถึงยังไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างโครงการและยังขาดการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบด้วย

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ ยังระบุอีกว่า จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ภาครัฐควรมีความชัดเจนในการกำหนดนโยบายและมาตรฐานของเทคโนโลยีการขนส่งระบบรางให้เป็นมาตรฐานกลางเพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารงาน ตลอดจนการสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามาแข่งขันอย่างเป็นธรรม

ขณะเดียวกัน ภายใต้ข้อกำจัดในการดำเนินงานในแผนพัฒนาขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ควรมีการปฏิรูปองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตโดยเฉพาะปัญหาที่สะสมมายาวนาน อย่างภาระหนี้สิน ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ระบบการเดินรถ การลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน และการลงทุนของรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งขาดการลงทุนมานาน โดยเชื่อว่าหากมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบจะทำให้การปฏิรูประบบรางมีประสิทธิภาพ และหากสามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนได้แล้วเสร็จภายในปีนี้ คาดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการลงทุนเรื่องขนส่งระบบรางมากยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตามควรมีการเตรียมพร้อมบุคลากรของไทยและแนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้ระบบรางของประเทศไทยพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท