มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งวา เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2558 ศาลจังหวัดปัตตานีนัดพร้อมคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 519/2558 ในคดีระหว่าง นายยา ดือราแม ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ( โจทก์ ) ซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงรถกระบะ เหตุเกิดที่ตำบลปุโละปุโย อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี และกองทัพบกที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 2 (จำเลย) ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ศาลได้แจ้งการโอนคดีมาจากศาลปกครองให้คู่ความทราบแล้ว ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต่อไป ศาลตรวจคำฟ้องและคำให้การต่อสู้ของจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า รายการคำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนคำให้การฟุ่มเฟือยเกินสมควร อีกทั้งโจทก์ทั้งห้า เมื่อคดีโอนมาพิจารณาที่ศาลจึงต้องมีต้องชำระค่าขึ้นศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งด้วย อาศัยอำนาจตามประมวลประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสอง ทำคำฟ้องและคำให้การใหม่ตามหลักและรูปแบบของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พร้อมกับการยื่นบัญชีพยาน รวมทั้งค่าขึ้นศาลตามอัตราที่กฎหมายกำหนด เสนอต่อศาลภายใน 20 วันนับแต่วันที่ 26 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป โดยศาลเลื่อนนัดพร้อมเพื่อตรวจความพร้อมของคำฟ้องและคำให้การที่จะยื่นมาใหม่ตามคำสั่งศาลในวันที่ 30 พ.ย.2558 เวลา 09.00 น. จากนั้นจะนำคดีสู่กระบวนการชี้สองสถานและกำหนดวันนัดสืบพยานต่อไปทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้โจทก์ทั้งห้าจะได้ดำเนินการตามคำสั่งของศาลดังกล่าวข้างต้น โดยมีทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดปัตตานีและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมให้ความช่วยเหลือคดี ซึ่งในส่วนค่าธรรมเนียมหรือค่าขึ้นศาลที่จะต้องคิดตามอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ ร้อยละ 2 ของจำนวนทุนทรัพย์หรือค่าเสียหายที่ฟ้องร้อง( แต่ชำระสูงสุดไม่เกินสองแสนบาทต่อคน )นั้น โจทก์ทั้งห้าจะได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวต่อศาลจังหวัดปัตตานี เฉกเช่นที่เคยยื่นต่อศาลปกครองสงขลาและได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลมาแล้ว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากกรณีเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2558 เวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา เจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ 4302 ตำบลปุโละปุโย อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดของกองทัพบก และสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่รถ ขณะที่ชาวบ้าน 9 คน กำลังเดินเพื่อที่จะไปละหมาดศพ (ละหมาดขอพรให้ผู้เสียชีวิต) ที่บ้านทุ่งโพธิ์ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย การกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด โดยโจทก์ทั้งห้าเคยยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสงขลาเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2556 คดีดำเนินการตามขั้นตอนของศาลปกครองเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2558 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 และศาลปกครองสงขลาได้โอนคดีไปยังศาลปัตตานี โดยศาลปัตตานีได้รับเป็นคดีหมายเลขดำที่ 519/2558 และนัดพร้อมครั้งแรกในวันที่ 26 ต.ค.ดังกล่าว
ในส่วนโจทก์ทั้งห้าพร้อมครอบครัวและญาติได้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาของศาลปัตตานี แม้ว่าจะได้ข้อยุติในเรื่องเขตอำนาจศาลในการรับฟ้องคดี แต่ก็ยังทำให้การพิจารณาคดีมีการหยุดชะงักและมีความล่าช้าตามไปด้วย โดยทางโจทก์ทั้งห้าและญาติซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้เรียกร้องความเป็นธรรมมาตลอดระยะเวลานานกว่า 2 ปี ยังไม่ได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมเพียงพอ และยังคงต้องต่อสู้และเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไปในกระบวนการยุติธรรมซึ่งศาลปัตตานีจะได้ดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป