"รมว.ยุติธรรม จวกทนาย “สมเด็จช่วง” เล่นแง่ คดีรถโบราณ นัดไปสอบปากคำแล้วกลับบอกให้ตั้งคำถามส่งไปให้ก่อน ทั้งที่ จนท. ยอมทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง ยันให้เกียรติในฐานะพระชั้นผู้ใหญ่แล้ว แต่เมื่อไม่ให้ความร่วมมือก็จบ ต่อไปจะทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน "
พาดหัวข่าวจาก Manager Online กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินทางเข้าพบ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรณีเป็นผู้ครอบครองรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร แต่ทีมฝ่ายกฎหมายวัดไม่อนุญาตให้สอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่กลับไปตั้งประเด็นคำถามอีกครั้ง เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งข้อเท็จจริงและเกิดการโต้แย้งกันในทางปฏิบัติกันอย่างไรนั้นไม่อาจทราบได้ และขอสงวนไว้ให้ผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งเชื่อว่าทางดีเอสไอจะต้องมีกระบวนการออกมาในทางใดทางหนึ่งซึ่งหางทำตามกฎหมายก็มีเพียงวิธีเดียว ในที่นี้จึงขอวิเคราะห์เฉพาะข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ประเด็นปัญหาว่า หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสอบสวนสมเด็จช่วง ในฐานะพยานในเรื่องรถโบราณคันที่มีปัญหา(ปัญหาจากใคร?) จะทำได้หรือไม่? ซึ่งข้อเท็จจริงรถคันดังกล่าวได้ส่งมอบคืนไปแก่ผู้บริจาคแล้ว ในทางคดี ไม่น่าจะดำเนินการในคดีหลีกเลี่ยงภาษีกับสมเด็จช่วงได้อีก ส่วนหากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับรถที่อ้างว่าต้องตรวจสอบก็ต้องสืบสวนสอบสวน หรืออาจเพื่อจะจัดการปัญหาที่มีผู้ตั้งเรื่องมาให้ตรวจสอบเพราะเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชก็สามารถกระทำได้ แต่จะทำให้คนทั่วไปคิดเห็นอย่างไรก็เป็นเรื่องเหนือการควบคุม
การที่ดีเอสไอจะออกหมายเรียกสมเด็จช่วง ในฐานะที่เป็นพระภิกษุตามกฎหมายบัญญัติไว้นั้นไม่อาจทำได้ เนื่องจาก มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ว่าได้รับเอกสิทธิ์ทางกฎหมาย ห้ามออกหมายเรียกพระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนา และไม่ต้องให้การเป็นพยานก็ได้ ซึ่งได้แก่
-ป.วิ.อาญา มาตรา 15 บัญญัติว่า "วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติ ไว้โดยเฉพาะให้นำบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้"
-ป.วิ.แพ่ง มาตรา 106/1 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ออกหมายเรียกพยานดังต่อไปนี้
(1) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ว่าในกรณีใดๆ
(2) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา ไม่ว่าในกรณีใดๆ
(3) ผู้ที่ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันตามกฎหมาย
ฯลฯ
ป.วิ.แพ่ง มาตรา 115 บัญญัติว่า "พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือพระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา แม้มาเป็นพยานจะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆ ก็ได้ สำหรับบุคคลที่ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันตามกฎหมายจะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายนั้นๆ ก็ได้”
พนักงานสอบสวนไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือพนักงานสอบสวนของตำรวจหรือฝ่ายปกครองจะต้องดำเนินการตามที่กฎหมายให้อำนาจหน้าที่ ตามป.วิ.อาญา มาตรา 16 คือข้อบังคับทั้งหลายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน เช่น กรณีตำรวจได้มีระเบียบการตำรวจ เกี่ยวกับคดี ลักษณะ 5 ว่าด้วย หมายเรียกและหมายอาญา ข้อ 104 ว่า "ห้ามมิให้ออกหมายเรียกพยานดังจะกล่าวต่อไปนี้โดยเด็ดขาด..
(2) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา.."
ดังนั้น การให้ความเคารพและวิธีปฏิบัติต่อสมเด็จช่วง ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ทั้งยังมีฐานะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชด้วย จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ต้องพึงให้เกียรติต่อท่านอย่างสมเกียรติที่สุด ไม่ต้องบอกกล่าวพร่ำสอนอะไรกันอีก แต่ที่เป็นข่าวและมีอารมณ์กันนั้น แม้จะมีผู้โต้แย้งว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ และถือเอาอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกระทำการใดๆเช่นบุคคลทั่วไป ตาม มาตรา 24 อนุมาตราสี่ แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ฯบัญญัติว่า
"เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย..(4) มีหนังสือสอบถาม หรือเรียกบุคคลใดๆ มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใดๆ มาเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการพิจารณา" ย่อมไม่ได้
เมื่อพิจารณาตามกฎหมายที่ยกมาข้างต้น การสอบสวน จะทำการในที่ใดเวลาใด แล้วแต่จะเห็นสมควร ทางที่ควรสามารถไปพบสมเด็จช่วงที่วัดได้และน่าจะเหมาะสมที่สุด หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะอ้างว่า ตนมีอำนาจออกหมายเรียกบุคคลใดๆซึ่งรวมถึงพระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนาได้ด้วย ก็คงจะเป็นเรื่องที่เข้าใจคลาดเคลื่อนในทางกฎหมาย เพราะการเรียกบุคคลใดๆนั้นต้องไม่ใช่บุคคลที่มีเอกสิทธิ์ทางกฎหมาย ที่ผ่านมาแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ตำรวจจะรู้ดี พนักงานสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.วิ.อาญา ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอย่างไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ทั้งนี้ตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
" ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีพิเศษ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณี .." นั่นย่อมหมายความว่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อาญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากไม่ยึดถือปฏิบัติก็อาจเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การจะอ้างว่าออกหมายเรียกแล้วไม่มาก็จะออกหมายจับ เพราะอ้างว่าขัดคำสั่งเรียกของเจ้าพนักงานหรือฝ่าฝืนอำนาจตามมาตรา24 ซึ่งมีโทษจำคุกเป็นการแปลความในกฎหมายที่ผิด เพราะในมาตรา 23 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯดังกล่าวมาแล้วพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจ ตาม ป.วิ.อาญา ประกอบกับกฎหมายให้เครื่องมือกับพนักงานสอบสวนไว้แล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตร 130 ที่บัญญัติว่า "ให้เริ่มการสอบสวนโดยมิชักช้า จะทำการในที่ใด เวลาใดแล้วแต่จะเห็นสมควร โดยผู้ต้องหาไม่จำต้องอยู่ด้วย" เมื่อสมเด็จช่วงและพระภิกษุอื่นท่านให้ความร่วมมือให้ไปสอบที่วัด จึงไม่เป็นอุปสรรคในการสอบสวนแต่อย่างใด และกฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนจะสอบสวนที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องสอบที่ทำการของดีเอสไอ. การกระทำที่ออกหมายเรียกพยานพระที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจทำให้มองว่าเป็นการแสดงถึงเจตนากลั่นแกล้งสมเด็จช่วงให้เสียหายมากกว่า ดังนั้น เมื่อกฎหมายห้ามให้ออกหมายเรียกพยานพระภิกษุ ตาม มาตรา 15 ป.วิ.อาญา ประกอบ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 106/1 ดังกล่าวมาแล้ว หากยังยืนยันที่จะออกหมายเรียก การกระทำของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเข้าข่ายเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสมเด็จช่วงก็มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา แม้กรณีเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา กฎหมายยังบังคับให้พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
กล่าวโดยสรุป กรณีของสมเด็จช่วงนี้ ท่านอยู่ในฐานะถูกสอบสวนเป็นพยาน เมื่อเจ้าพนักงานไม่มีอำนาจออกหมายเรียกไปยังพระภิกษุและสามเณรได้ การจะออกหมายจับเพราะไม่มาตามหมายเรียกก็ไม่ใช่ผลจากการปฏิบัติตามหมายเรียก ผลทางกฎหมาย คือ หมายเรียก ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจส่งผลทำให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมา พนักงานสอบสวนรู้ดีอยู่แล้วว่า การสอบสวนหมายถึง การสอบสวน" หมายความถึงการรวบรวมพยานหลักฐาน และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อาญา ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่ จะทราบข้อเท็จจริงหรือการพิสูจน์ความผิด หรือความบริสุทธิ์ ในกรณีนี้ฝ่ายสมเด็จช่วง ให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริงตามที่ท่านทราบอยู่แล้ว แต่พนักงานสอบสวนนำกระบวนการรวมรวมพยานหลักฐานเพื่อชี้นำสังคมเช่นนี้น่าจะทำให้ท่านได้รับความเสียหาย ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและอาจแสดงถึงความไม่เป็นกลางได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ในฐานะประชาชนมีความไม่สบายใจต่อท่าทีของคณะทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอแสดงความปราถนาดีต่อองค์กรกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมายและเพื่อความเหมาะสมแก่สถานะของสมเด็จช่วง เห็นหากจะเอาชนะคะคานหรือใช้แง่กฎหมายจนอาจกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรกรและอาจเสียความเป็นธรรม ยิ่งจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักสร้างความเคลือบแคลงสงสัยจากประชาชนอีกว่า เหตุใดเรื่องรถที่มีลักษณะเลี่ยงภาษีกว่า 6,000คัน แต่จะมีปัญหาในช่วงนี้กับรถที่มีผู้นำมาถวายสมเด็จช่วงจะเป็นกรณีพิเศษจริงๆ.