การจัดสัมมนา "องค์ความรู้คนไทในล้านนาในรอบสองทศวรรษ” ในวันที่ 24 มีนาคม 2559 ณ หอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพือเป็นการสร้างองค์ความรู้เรื่อง “คนไท” กลุ่มต่าง ๆ ในล้านนา ซึ่งมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งเสนอประเด็นเรื่องคนไทในมิติต่าง ๆ ที่ตนสนใจ เพื่อแสวงหาประเด็นวิจัยที่ขาด หรือยังเป็นช่องว่างของการเข้าใจคนไทในมิติต่าง ๆ ซึ่งนักวิชาการแต่ละท่านก็มีความสนใจที่หลากหลาย ทั้งเรื่องวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา และคติชน ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยยอง ไทลื้อและไทใหญ่
แต่กระนั้นเราพบว่าหลากหลายประเด็นเรายังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันพอสมควร ทั้งในแง่ของสาขาวิชา วิธีวิทยา แต่ก็มิได้มีปัญหามากนัก (แม้บางส่วนก็เป็นถือเป็นปัญหา: ดูข้างล่าง) แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นปัญหาต่อการศึกษาและทำความเข้าใจคนไทในมิติต่าง ๆ คือ ผู้เข้าร่วมสัมมนาบางส่วนกับมีทัศนคติต่อความเป็นไต/ไท/ไทย ที่ตายตัวและออกจะคับแคบ ซึ่งผู้เขียนได้ประมวลออกมาดังนี้
1) ปัญหาหนึ่งในการศึกษาความเป็นไต/ไท/ไทย บ้านเรา คือ เราถูกตรอกตรึงอยู่ภายใต้มายาคติเรื่อง "ชาติ" และ "ด้านกลับของความเป็นชาติ" ทำให้มุมมองต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ถูกแช่แข็งปิดทับด้วยคำว่าชาติ แม้แต่ความเป็นชาติพันธุ์เราก็อธิบายภายใต้เงื่อนไขของ "รัฐชาติ" อาทิเช่น ให้ลบความทรงจำของประวัติศาสตร์บาดเเผล เช่น การเทครัว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรในชาตินี้แล้ว หรือคนที่อพยพมาเป็นคน "ชั้นดี" คนตกค้างในเมืองนั้น ๆ เป็นคนชั้นเลว ซึ่งนอกจากเป็นการหลงชาติอย่างน่าตกใจแล้ว ยังเป็นการเหยียดย่ำ กดปราบชาติพันธุ์ของตนอย่างน่าเศร้า
เราตกอยู่ภายใต้มายาคติเรื่องชาติอย่างโงหัวไม่ขึ้น ที่น่าทึ่งอย่างใหญ่หลวง คือ ข้าราชการระดับชำนาญการในเรื่องวัฒนธรรมยังอธิบายว่าคน "ไท" มาจากเทือกเขาอัลไต เลยได้ชื่อว่าคนไทย กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั้งที่เรื่องนี้เราได้ข้อสรุปมากว่าโกฏิปีแล้วก็ตาม
2) เราเชื่อเรื่องสารถะ หรือความจริงแท้ ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่ไหวเคลื่อน ประวัติศาสตร์ของเรา วัฒนธรรมของเรา เสื้อผ้าของเรา ภาษาของเรา คนของเรา ฯลฯ ของเรา ซึ่งการมองอะไรในท่วงทำนองนี้ทำให้ไม่เห็นพลวัตของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งไม่อาจทำให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ เพราะแท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่หยุดนิ่งตายตัว
การศึกษาผู้คนในปัจจุบันเรามุ่งไปที่ลีลาชีวิตทางวัฒนธรรม โดยมักจะพบว่า คนงานข้ามชาติจะสนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามาก จนมีข้อสรุปทั่ว ๆ ไปว่า คนไทใหญ่จะเคร่งพุทธศาสนามากกว่าคนไทย ทั้งนี้เพราะพวกเขาต้องการแสดงความเป็นพลเมืองไทยในทางวัฒนธรรม ขณะที่เขาก็ยังรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในด้านอื่น ๆ ของเขาอยู่ด้วย ซึ่งตรงกับแนวความคิด วัฒนธรรมพันธุ์ทาง (Cultural Hybridity) [1] หมายความว่าพวกเขาเป็นพลเมืองไทยในแง่วัฒนธรรมสังคม แต่เขาก็ยังคงเป็นพลเมืองในกลุ่มชาติพันธุ์ของพวกเขาด้วย ทั้งที่ในความจริงแล้ววัฒนธรรมพันธุ์แท้เป็นเพียงอุดมการณ์แบบแก่นสารนิยม หรือความคิดเชิงเดี่ยวที่อาจเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง แนวคิดไทยแท้หรือไทยรัฐเดียวก็เพิ่งถูกสถาปนาขึ้นมาในสมัยรัฐกาลที่ 5 นี้เอง เพราะในชีวิตจริงคนไทยก็ล้วนมีวัฒนธรรมพันธุ์ทางกันทั้งนั้น เพราะคนเราสามารถใช้ชีวิตเชิงซ้อนอยู่ได้ในสองวัฒนธรรมพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของสังคมพหุวัฒนธรรม (Multicultural Society) [2]
ผมเชื่อว่าวัฒนธรรม หรืออัตลักษณ์ ที่เราเห็นและเป็นอยู่ล้วนถูกประดิษฐ์สร้าง (Invention) ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดเสมอ การสร้างนิยาม หรือสร้างความหมายเหล่านั้น เพื่อที่จะจัดความสัมพันธ์ทั้งกับกลุ่มคนภายใน และคนภายนอก เพื่อจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของตนในบริบทหนึ่ง ๆ แต่เมื่อมันไม่ตอบสนองเสียแล้ว ก็ย่อมมีการสร้างความหมายใหม่ ๆ ตามมา
3) เราอ่าน/ศึกษาน้อยจนน่าจนตกใจ ทำให้พรมแดนความรู้ของเราหดแคบลงอย่างน่าวิตก เราใช้หนังสือไม่กี่เล่มอธิบายเรื่องราวใหญ่โต โดยละเลยการศึกษาอย่างรอบด้าน ซึ่งนั้นนำมาสู่การอธิบายอะไรอย่างง่าย ๆ และขาดความระมัดระวัง (นั้นก็ไม่ได้แปลว่าผมอ่านเยอะนะครับ ผมก็ตกอยู่ในสถานะนั้นเช่นกัน)
เรื่องเล่าในวงที่น่าชวนหัว คือ มีอาจารย์ทางวัฒนธรรมท่านหนึ่งไปสอนในระดับปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิบายเรื่อง “คนชายขอบ” แล้วบอกให้คนคนหนึ่งอยู่อยู่ตรงกลาง ให้คนอื่นๆ ล้อมวง แล้วบอกว่าคนที่อยู่รอบนอกนี้แหละ คือ คนชายขอบ เรามาถึงจุดนี้แล้วจริง ๆ หรือ
4) แม้เราจะสร้างชุมชนจินตกรรม (Imagining Communities) [3] ที่เรียกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นอัตลักษณ์เชิงซ้อนกับอัตลักษณ์ของชาติ หรือวัฒนธรรมอื่น ๆ แต่เรากลับไปตกอยู่ภายใต้ความคิดแบบรัฐชาติ [4] ทำให้ความเป็นชาติพันธุ์ของเราแข็งตัว จนอาจนำไปสู่การกดปราบ เบียดขับความหมายและคนอื่น ๆ แม้ว่าวัฒนธรรม/อัตลักษณ์ที่เราสร้างเป็นวัฒนธรรมลูกผสม (Hybrid) ที่เกิดขึ้นมาจากหลากหลายทาง แต่เราก็ยังคงเชื่อว่ามันคือความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งอาจนำมาสู่ “ชาติพันธุ์ชาตินิยมได้”
5) แม้ว่าจะมีข้อติดขัดขวางหูขวางตาอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่น่าขบคิด คือ การสัมมนาครั้งนี้มีผู้ฟังมากกว่าการสัมมนาที่จัดโดยสถาบันทางการศึกษาเสียอีก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่จัด ความเข้มแข็งของสมาคม และการเกิด Communities อีกแบบ ซึ่งน่าจะพัฒนาให้เกิดพื้นที่ของการเรียนรู้แบ่งปันในสิ่งต่าง ๆ ต่อไป
ท้ายที่สุดเวทีนี้ทำให้เราสะท้อนย้อนคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น คำถามง่าย ๆ คือ หลังจากงานของ อ.ชยันต์ วรรธนะภูติ เมื่อปี 2543 แทบไม่มีงานดี ๆ ที่ศึกษา “คนเมือง” อีกเลย ทั้งที่การศึกษาไทกลุ่มอื่น ๆ มีอย่างกว้างขวาง น่าสนใจว่าเป็นเพราะอะไร หรือการศึกษาเรื่องอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมประดิษฐ์ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคน ปวศ. สังคม/เศรษฐกิจ/วัฒนธรรม วรรณกรรม การเมือง ฯลฯ เราก็มีความรู้จำกัดพอสมควร ซึ่งเวทีนี้ได้เปิดให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยน ซึ่งคงมีคนเกิดความคิดไปทำในประเด็นต่าง ๆ อย่างลุ่มลึกต่อไป
อ้างอิง
[1] Burke, Peter. (2009). Cultural Hybridity. Cambridge: Polity.
[3] ดูเพิ่มใน, Shigeharu Tanabe. (edited). 2008. Imagining communities in Thailand : ethnographic approaches. Chiang Mai, Thailand : Mekong Press.
[4] ชยันต์ วรรธนะภูติ. (2549). คนเมือง : ตัวตนการผลิตซ้ำสร้างใหม่และพื้นที่ทางสังคมของคนเมือง. ใน อานันท์ กาญจนพันธุ์. บรรณาธิการ. อยู่ชายขอบ มองลอดความรู้. กรุงเทพฯ : มติชน.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)