บริบทการเมืองในขบวนประชาชน

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านคัดค้านคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2559  และฉบับที่ 4/2559[[1]]  ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษและในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559  ของเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้รับแจ้งการชุมนุมภายใต้การบงการของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ได้ใช้กฎหมายห้ามชุมนุม[[2]]ผสมปนเปไปกับประกาศ คสช. ที่ 7/2557  และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558[[3]]  เพื่อสั่งห้ามการชุมนุม  โดยอ้างว่าการชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่เกี่ยวกับการยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเป็น “การชุมนุมทางการเมือง”

นี่คือปัญหาด้านของรัฐที่ตั้งใจเอากฎหมายห้ามชุมนุมกับประกาศและคำสั่ง คสช. มาผสมปนเปกันเพื่อนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการข่มขู่ คุกคามและปิดกั้นเสรีภาพการชุมนุมของประชาชน  และเป็นปัญหาที่ไม่มีวันแก้ได้หากอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่ได้มาจากการทำรัฐประหารยังอยู่  จากการใช้อำนาจตาม ‘คำสั่ง’ ของคนคนเดียวซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่สามารถมีศักดิ์ใหญ่กว่ากฎหมายระดับ ‘พระราชบัญญัติ’ ได้  ทั้ง ๆ ที่กฎหมายห้ามชุมนุมฉบับนี้เป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่หัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. แต่งตั้งขึ้นมาเองก็ตาม  ก็ยังถูกงดเว้นบังคับใช้โดยอ้างประกาศและคำสั่งของตัวเองที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. กดทับลงไปเมื่อต้องการควบคุมประชาชนไม่ให้ชุมนุมเคลื่อนไหว  ทั้งที่โดยหลักแล้ว (จริง ๆ แล้วก็ไม่มีหลักอะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว) หลังจากการมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่ตราเป็นกฎหมายบังคับใช้โดยกลไกที่คณะรัฐประหาร คสช. สร้างและแต่งตั้งขึ้นมาเองก็สมควรใช้พระราชบัญญัติฉบับนั้นแทนประกาศและคำสั่งของ คสช. ที่มีเนื้อหาไม่ขัดหรือแย้งกัน  และตราเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติบังคับใช้เพื่อการนั้นเป็นการเฉพาะแล้ว     

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. นั้นมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะต้องไม่ให้ประชาชนสร้างการเคลื่อนไหวใด ๆ  ต้องทำให้สังคมนิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้  โดยยกเหตุผลการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงมาอ้างอย่างเลื่อนลอย  ดังนั้น  อะไรที่ใช้อ้างได้  ก็จะถูกนำมาใช้  แม้มันจะไม่ถูกต้องและสวนทางกับความรู้สึกของประชาชนก็ตาม

แต่ปัญหาของขบวนประชาชนเองก็เป็นสิ่งที่ต้องใคร่ครวญเพื่อทำให้ถูกต้องตามครรลอง  ไม่ใช่หวาดกลัวหรือมีท่าทีสยบยอมเพราะคาดหวังในกระบวนการเจรจาต่อรองหรือรักษาช่องทางติดต่อประสานงานกับรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. เสียจนไปมีความเห็นในลักษณะยอมจำนนและไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อ  จนอาจกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานและสำนึกที่ไม่ถูกต้องให้กับขบวนประชาชนต่อไปในอนาคตข้างหน้า

แน่นอนว่าข้ออ้างของคณะรัฐประหาร คสช. ที่ไม่ให้ขบวนประชาชนจัดชุมนุมเพื่อคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะตามหลักกฎหมายห้ามชุมนุมนั้นย่อมสามารถชุมนุมได้  ไม่พบว่ามีเหตุ ปัจจัย เงื่อนไข หลักการและข้อห้ามใดในกฎหมายห้ามชุมนุมที่จะห้ามการชุมนุมได้  แต่คณะรัฐประหาร คสช. กลับยกเอาประกาศและคำสั่งของ คสช. ซ้อนทับลงไปในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่ตัวเองตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ขึ้นมาเอง  ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าก่อนหน้านี้แล้ว  ถึงแม้จะอ้างว่าประกาศและคำสั่งดังกล่าวเป็นกฎหมายตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่คณะรัฐประหาร คสช. ประกาศใช้ขึ้นเองเมื่อปี 2557  ก็ตาม  ก็ยังเป็นเรื่องลักลั่นและสับสน  เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเป็นเรื่องของการใช้อำนาจตามอำเภอใจเสียมากกว่า  โดยกดกฎหมายไว้เสียจนไม่สามารถกำกับและควบคุมการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ได้

ซึ่งก็สมเหตุสมผลที่ขบวนประชาชนโต้แย้งการสั่งห้ามชุมนุมของรัฐว่า  การชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง  “มิใช่การชุมนุมทางการเมืองตามนัยของประกาศ คสช. ที่ 7/2557  และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558”[[4]]  โดยที่  “การตีความเรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองอย่างกว้างขวาง  ถึงขนาดว่าผู้ชุมนุมคัดค้านคำสั่ง คสช. ไม่ว่าเรื่องใดแล้วจะเป็นเรื่องการชุมนุมทางการเมืองไปเสียทุกเรื่องนั้น  เป็นการตีความบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลจนเกินสมควร  และจะทำให้การชุมนุมแสดงความคิดเห็นต่อคำสั่งหรือนโยบายของ คสช.  และรัฐบาลไม่สามารถกระทำได้โดยสิ้นเชิง  อันเป็นการกระทบกระเทือนสาระสำคัญของเสรีภาพการชุมนุมตามกฎหมายอย่างร้ายแรง  และไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของสังคมในระบอบประชาธิปไตย”[[5]]

แต่เราควรใคร่ครวญบริบทอื่นเพิ่มเติม  เนื่องจากผู้ที่มีบทบาทนำหรือมีบทบาทสร้างการเคลื่อนไหวให้ปรากฏต่อสาธารณะ  รวมทั้งแนวร่วมและฝ่ายสนับสนุนทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังในการเคลื่อนไหวเพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองครั้งนี้มีพฤติกรรม ‘เหยียดการเมือง’ อย่างรุนแรง  ดังจะเห็นได้จากที่พวกเขาเหล่านั้นทุ่มเทแรงใจแรงกายในการเคลื่อนไหวสนับสนุนทหารให้ทำการรัฐประหารในสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา  ด้วยความหวังว่ารัฐประหารจะทำให้อำนาจรัฐในขณะนั้นเกิดสภาวะโกลาหล วุ่นวาย ชะงักงัน หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงหรือยุติยกเลิกต่อนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนของรัฐบาลประชาธิปไตยต่อพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานหรือจับตาเฝ้าติดตามอยู่ 

รวมทั้งจะทำให้เกิดช่องทางลัดหรือช่องทางพิเศษหรือช่องทางใหม่ หรือ ‘หน้าต่างแห่งโอกาส’ ในการเชื่อมประสานกับผู้ขึ้นมามีอำนาจจากการรัฐประหารเพื่อนำเสนอและให้ยุติปัญหาจากนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานหรือจับตาเฝ้าติดตามอยู่ 

ในสภาวะเช่นนี้เองที่พวกเขาหวังว่าการรัฐประหารจะทำให้เกิดการรื้อระบบการเมืองการปกครองที่รัฐบาลประชาธิปไตยใช้อำนาจฝ่ายบริหารโดยคณะรัฐมนตรีและนิติบัญญัติโดยรัฐสภา (และแทรกแซงอำนาจตุลาการด้วย) ควบคุมข้าราชการจนสามารถผลิตนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนที่ส่อไปในทางเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและทุจริตคอร์รัปชั่น  และสร้างกลไก กฎ กติกาและรูปแบบการเมืองการปกครองที่มีความเหมาะสมกับสังคมไทยเสียใหม่

แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมา  รัฐประหารไม่เพียงทำลายการเมืองในส่วนของอำนาจฝ่ายบริหารและระบบรัฐสภาเท่านั้น  มันยังได้ทำลายการเมืองของขบวนประชาชนที่อยู่นอกระบบเลือกตั้ง/รัฐสภา  ซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรงและการเมืองบนท้องถนนเสียจนย่อยยับด้วยการออกประกาศและคำสั่งที่มีสถานะเป็นกฎหมายกดขี่คนยากคนจนและคนเล็กคนน้อยในสังคมหนักข้อเสียยิ่งกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจะสามารถกระทำได้  เช่น  การออกคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557,  66/2557  และ 4/2558[[6]] เพื่อบังคับใช้แผนแม่บทป่าไม้ฯ[[7]]ในการทวงคืนผืนป่าโดยอ้างการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารขึ้นมาบังหน้าด้วยการเผา ทำลาย ตัด โค่นพืชผลการเกษตร  ยึดที่ดินคืนและจับกุมดำเนินคดีโทษฐานบุกรุกทำลายป่าและจับจองที่ดินทำกินเฉพาะกับประชาชนคนเล็กคนน้อยซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่  แต่ละเลยที่จะปฏิบัติกับผู้มีที่ดินรายใหญ่ในกรณีเดียวกันแบบเดียวกัน  ดังที่ปรากฎเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน 

การเข้าไปข่มขู่ คุกคาม เรียกไปปรับทัศนคติ ฟ้องคดี จับกุมคุมขังและสั่งห้ามประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้หยุดเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนและการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุน 

ล่าสุดออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559  เรื่อง การป้องกันและปราบปราบการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙  ที่ขยายอำนาจของทหารขึ้นมาเป็นองค์กรมาเฟียโดยแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามแทนตำรวจ  และกำหนดกระบวนการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาขึ้นใหม่ที่มีลักษณะพิเศษหรือเกินไปกว่ากฎหมายอาญากำหนดให้กระทำได้  โดยมีอำนาจเรียกรายงานตัว จับกุม ตรวจค้น ควบคุมตัวและยึดหรืออายัดทรัพย์ของประชาชนโดยตรงได้  ซึ่งคงส่งผลโดยตรงต่อการกวาดจับประชาชนที่ต่อต้านคัดค้านนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนด้วยอย่างแน่นอน  เป็นต้น 

แม้แต่เรื่องการออกมาต่อต้านคัดค้านคำสั่งของ คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองก็กลายเป็นเรื่องงับหางตัวเอง  กับสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่พวกเขาสนับสนุนให้ทำรัฐประหาร

และโดยเฉพาะการออกกฎหมายห้ามชุมนุมที่มีความสำคัญต่อขบวนประชาชนอย่างยิ่ง  ที่ต้องถือว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดของขบวนประชาชนที่ออกมาสนับสนุนรัฐประหารที่ทำให้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารมีอำนาจมากเสียจนสามารถออกกฎหมายห้ามชุมนุมที่มีเนื้อหาแข็งกร้าวปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชนแทบทุกรูปแบบ  ซึ่งขบวนประชาชนจะไม่สามารถกระทำการเมืองบนท้องถนนนอกระบบรัฐสภาเพื่อสร้างประชาธิปไตยทางตรงของมวลชนเพื่อดุลย์อำนาจกับการเมืองในระบบตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งที่ใช้อำนาจผ่านฝ่ายบริหาร รัฐสภาและราชการได้อย่างมีพลังอีกต่อไป

ด้วยพฤติกรรมที่ส่งผลเสียหายต่อสังคมโดยรวมอย่างมหาศาลเช่นนี้เอง  มันจึงยังทำให้เกิดความรู้สึกเคลือบแคลงแฝงฝังอยู่ต่อขบวนประชาชนที่ปฏิเสธว่าการชุมนุมต่อต้านคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง “ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง” นั้น  มันกินความหมายกว้างขวางหรือคับแคบแค่ไหน 

มันแฝงนัยที่ผลักขบวนประชาชนส่วนอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มพวกพ้องตัวเองเป็นพวกผู้ร้ายทางการเมืองหรือไม่ อย่างไร ?  ส่วนกลุ่มพวกพ้องตัวเองเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวอันบริสุทธิ์ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในมิติใด ๆ เลยใช่หรือไม่  หรืออย่างไร ?  อะไรคือบริบทการเมืองในขบวนประชาชน ?

และหากนำกรณีที่ขบวนประชาชนทำการชุมนุมต่อต้านคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมือง  กับกรณีที่ขบวนประชาชนสนับสนุนให้เกิดรัฐประหาร  มาเปรียบเทียบกัน  ซึ่งต้องถือว่าพวกที่อยู่ส่วนบนของการเคลื่อนไหว หรือผู้ที่มีบทบาทนำหรือมีบทบาทสร้างการเคลื่อนไหวให้ปรากฏต่อสาธารณะ รวมทั้งแนวร่วมและฝ่ายสนับสนุนทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังทั้งสองกรณีเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันหรือเหลื่อมซ้อนกันอยู่  โดยทั้งสองกรณีมีเป้าหมายแบบเดียวกันในการเคลื่อนไหว  นั่นคือ  ต้องการให้อำนาจรัฐเกิดความโกลาหล วุ่นวาย ชะงักงัน หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงหรือยุติยกเลิกต่อนโยบาย โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานหรือจับตาเฝ้าติดตามอยู่  เราก็จะได้อีกคำถามหนึ่งว่า  หากการเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐประหารถือเป็นการชุมนุมทางการเมืองอย่างชัดเจนตามการรับรู้ของคนทั่วไป  แล้วทำไมถึงไม่เอาการชุมนุมต่อต้านคัดค้านคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองมานับรวมด้วยว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองเช่นเดียวกัน ? 

บทความนี้คงไม่หาคำตอบในส่วนนี้  เพียงแค่ตั้งคำถามถึงผู้ที่เฝ้ามองดูและโดยเฉพาะผู้ที่มีบทบาทนำหรือมีบทบาทสร้างการเคลื่อนไหวให้ปรากฏต่อสาธารณะ  รวมทั้งแนวร่วมและฝ่ายสนับสนุนทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังในการเคลื่อนไหวเพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองครั้งนี้ได้ใคร่ครวญ ไตร่ตรองและตอบคำถามต่อตนเองและขบวนประชาชนในสังกัดหมู่พวกและกลุ่ม/องค์กรของตน  เพื่อจะได้มองไปข้างหน้าอย่างก้าวหน้า สร้างสรรค์และมีพลังมากกว่าที่เป็นอยู่  ไม่ติดอยู่ในวังวนกับดักของแนวคิดและการกระทำแบบชาตินิยม  อนุรักษ์นิยมและนิยมอำนาจของทหารดังเช่นการสนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา  จนสามารถทำให้รัฐประหารมีอำนาจมหาศาลด้วยการสร้างรัฐราชการขึ้นมาทำลายช่องทางการเมืองของประชาชนที่มีไว้ดุลย์กับอำนาจการเมืองของรัฐเสียจนย่อยยับ

 

เชิงอรรถ                       

[1] หมายถึง  คำสั่งหัวหน้าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  ที่ 3/2559  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ลงวันที่ 20 มกราคม 2559  และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2559  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท  ลงวันที่ 20 มกราคม 2559

[2] หมายถึง  พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 

[3] หมายถึง  ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557  เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง  ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557  และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558  เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ  ข้อ 3(4)  ลงวันที่ 1 เมษายน 2558

[4] เนื้อหาในวงเล็บคัดลอกจากหนังสือของเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน  ไม่มีเลขที่หนังสือ  ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559  เรื่อง อุทธรณ์คัดค้านหนังสือสรุปสาระสำคัญการชุมนุมสาธารณะ  เรียน ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง/ผู้รับแจ้ง

[5]  อ้างแล้วในเชิงอรรถ 4   

[6] หมายถึง  คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้  ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557  คำสั่ง คสช. ที่ 67/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน  ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557  และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2558 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม  ลงวันที่ 8 เมษายน 2558

[7] แผนแม่บทป่าไม้ฯ  หรือชื่อเต็มว่า  ‘แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2557’  จัดทำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  และกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อม,  พ.ศ. 2557

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท