กรณีการคัดลอกวิทยานิพนธ์ ที่กำลังเป็นข่าวอยู่นี้ ทำให้คิดถึงประเด็นหนึ่ง ที่เคยทำค้างเอาไว้ เกี่ยวกับการแพร่หลายของวรรณกรรมของกลุ่มชนตระกูลไท-ลาว อย่างเช่นเรื่องท้าวฮุ่งท้าวเจือง ผมพบว่ารูปแบบการแพร่หลายแบบนี้มิได้มีอยู่แต่เรื่องท้าวฮุ่งท้าวเจือง เรื่องอื่นๆ ของวรรณกรรมสมัยจารีต ก็ล้วนมีรูปแบบการแพร่หลายในลักษณะคล้ายคลึงกัน
ตอนแรกผมนึกไม่ออก ว่าจะอธิบายหรือเข้าใจมันยังไง จนกระทั่งได้อ่านงานของ Peter Koret ที่ทำเกี่ยวกับการแพร่หลายของวรรณกรรมเรื่อง “สานลืบพะสูน” (San Leup Phasun) ในแถบอีสานและ สปป.ลาว Koret สรุปว่าการที่วรรณกรรมเรื่องนี้แพร่หลายในหมู่คนพูดภาษาลาวหรือใช้ตัวอักษรไทน้อย เพราะการคัดลอก ซึ่งเป็นรูปแบบการถ่ายทอดวรรณกรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยจารีต
การคัดลอกในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะการคัดลอกตัวบทหรือคัดลายมือเอาไปเท่านั้น หากยังรวมถึงการท่องจำแล้วถ่ายทอดปากต่อปากแบบที่เรียกโก้หรูว่า “มุขปาฐะ” วรรณกรรมชิ้นนี้เลยไม่มีชื่อผู้แต่ง ไม่มีผู้อ้างสิทธิในฐานะผู้ประพันธ์ แล้วก็จึงนำมาสู่กระบวนการตีความหลากหลาย
ตัวอย่างเช่น นักวิชาการลาวตีความว่า เป็นวรรณกรรมต่อต้านสยามโดยกลุ่มเจ้าอนุวงศ์ เช่นเดียวกับเอกสารพื้นเวียง บางท่านก็เห็นว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าอนุวงศ์เลยทีเดียว บางท่านก็เห็นว่ามันเป็นแต่เพียงกลอนลำเพราะมีบทรำพันรักมากมายอยู่ในนั้น บางท่านก็ว่าเป็นการแต่งในลักษณะนิราศ ได้รับอิทธิพลจากกวีสยาม ฯลฯ
จากแง่มุมของ Koret ก็มามองอย่างพระราชพงศาวดาร การทำซ้ำคัดลอก ไม่ได้หมายความว่าต้องคัดกันอย่างเคร่งทุกตัวบทอักษร จึงเปิดโอกาสสำหรับการแก้ไขที่รู้จักกันในหมู่นักศึกษาประวัติศาสตร์ว่า “การชำระ” ทั้งๆ ที่การชำระบางกรณี เทียบเท่ากับการแต่งขึ้นใหม่ เพราะมีการแก้ไขส่วนสำคัญจนผิดแผกแตกต่างไปกว่าฉบับเดิมมโหฬาร แต่เรื่องที่แต่งขึ้นใหม่นั้นก็ยังอ้างความเป็นของเก่า หรือเป็นเหมือนฉบับเก่า เพราะความเป็นฉบับเก่าและหรือตัวมันเองก็เพียงคัดลอกมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่งเท่านั้น เป็นเครดิตของฉบับใหม่ที่ดัดแปลงแต่งเติมไปมากแล้ว
จะว่าไปมันก็เหมือนความเชื่ออันหนึ่งที่สังคมไทยสยามมีต่อพระไตรปิฎก มีต่อพระธรรมคำสั่งสอน คือคนไทยเป็นมนุษย์จำพวกที่เชื่อว่า สัจจะ ความจริงสูงสุดนั้นมีอยู่แล้วในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราเพียงแต่ต้องเรียนหรือท่องจำให้ได้ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น ในแง่นี้การเรียนก็คือต้องท่องจำอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดไปค้นหา ยิ่งการอีดิตแก้ไข ยิ่งไม่บังควร แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่เกิดกระบวนการตัดต่อดัดแปลงในขณะที่ท่องจำเอาไปใช้หรือคัดลอกไปบอกต่อ หรืออย่างคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยันได้มั่นคงว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง เพราะหลักฐานล้วนแต่ผ่านการชำระสังคายนามาแล้วทั้งสิ้น
กล่าวอย่างนี้ผมไม่ได้กำลังให้ความชอบธรรมหรือดีเฟนด์ให้กับกรณีการลอกวิทยานิพนธ์ แต่ผมกำลังคิดถึงเรื่องที่มันมากกว่านั้น ว่ามันมีกระบวนการปะทะกันระหว่างขนบการประพันธ์แบบตะวันตก (ซึ่งกลายเป็นอย่างเดียวกับขนบการประพันธ์แบบสมัยใหม่ในสังคมไทยสยามไป) กับขนบการคัดลอกแบบไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเดิมเราไม่ได้มีขนบการเขียนการประพันธ์ เราเน้นการทำซ้ำ การเขียนวิทยานิพนธ์เลยเป็นเรื่องใหม่ในสังคมประเทศนี้ ท่ามกลางวิธีคิดทางวัฒนธรรมแบบคัดลอกที่ต่อเนื่องมาจากขนบของพุทธศาสนา ที่เชื่อเรื่องสัจจะสูงสุดจากพระบรมศาสดา ใครคัดลอกไปเผยแพร่มาก ก็ถือว่าได้บุญ เป็น “วิทยาทาน” (ความรู้เป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง?)
วรรณคดีสำคัญๆ หลายเรื่องของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เรายกย่องกันภายหลัง มันมีที่มาจากกระบวนการอย่างหลังนี้นะครับ แต่มันเกิดปัญหาตรงที่ปัจจุบันมันจะเป็นการคัดลอกโดยที่เอาของคนอื่น มาเมคว่าเป็นของตนเอง การคัดลอกในอดีตไม่ถือว่าละเมิด เพราะเป็นวิทยาทานไง คือเป็นของทำบุญทำทานกันมา เอาไปเผื่อแผ่ผู้อื่นต่อ ก็ได้บุญ แต่ปัจจุบันมันจะมีค่าเท่ากับทำร้ายคนที่ไปคัดลอกมา และตัวผู้คัดลอกกลับได้เครดิตไป (ในกรณีที่จับไม่ได้ว่าได้ไปคัดลอกมา)
ส่วนหนึ่งมันคงเพราะผู้คัดลอกกับผู้ถูกคัดลอก อยู่ในระดับฐานะทางสังคมเดียวกัน และสามารถใช้ประโยชน์จากตัวบทนั้นในแบบเดียวกัน จึงไม่ต้องการเคารพยกย่องผู้ถูกคัดลอก จะเอาเครดิตแต่ไม่ทำงานเอง สังคมนี้มีคนหลายประเภทที่คิดและทำแบบเดียวกันนี้
ต่างกันลิบ ถ้าผู้ถูกคัดลอก ได้ชื่อเป็นปราชญ์ ศาสดา ปัญญาชน นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ถูกคัดลอกก็จะถูกเรียกแทนที่ว่า "ผู้อ้าง" (ถึง) ยิ่งเป็นนักคิดใหญ่บิ๊กเนม เซเลบคนดัง ก็จะชอบอ้างกัน การอ้างแบบนี้ก็สะท้อนระบอบเครือข่ายอุปถัมภ์ทางวิชาการแบบไทยๆ วัฒนธรรมการเคารพในตัวผลงานยังไม่เกิดจริงๆ สำหรับในสังคมนี้ ตราบใดที่เรายังสนใจว่าใครเป็นผู้เขียน มากกว่าสาระตัวบทอย่างที่เป็นอยู่
ในงานเขียนทางประวัติศาสตร์ การคัดลอก บางกรณีเป็นเรื่องเนียนกว่านั้น และเด็กประวัติศาสตร์ ก็จะมีไม้เด็ดไว้จัดการคนมาลอก อย่างเช่น อาจมีการอ้างหลักฐานชิ้นเดียวกัน โดยไม่ใส่ว่า “อ้างใน...” แต่ยกข้อความและอ้างเอกสารชิ้นนั้นๆ เลย เสมือนหนึ่งว่าผู้อ้างเป็นผู้เข้าถึงหรือได้ไปใช้เอกสารชิ้นนั้นมาเหมือนกัน แต่คนแรกที่ใช้มันจะรู้ เพราะส่วนใหญ่ตัวบทที่โควทเอามา มีการคัดลอกคลาดเคลื่อน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำไว้ มีไม่กี่คนที่ทำงานตรวจเชคเอกสารที่ต้นขั้วแบบนั้นได้ เมื่อคนแรกแกล้งทำคลาดเคลื่อนเอาไว้นิดหน่อย แล้วคนหลังมาใช้อ้างทุกตัวอักษร คนแรกก็จะรู้โดยทันทีว่า คนอ้างต่อจากเขานั้น ไม่ได้เข้าถึงเอกสารจริง กลายเป็นว่าคนแรกจะต้องทำความผิดพลาดคลาดเคลื่อนทิ้งเอาไว้ เพื่อให้ตัวเองสามารถโปรเทคผลงานตัวเองได้ในภายหลัง
ปกติเอกสารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (หจช.) จะมีผู้อ่านตรวจก่อนว่า ผู้ที่มาใช้นั้นจะใช้หรือได้อะไรไปบ้าง ถ้าเรื่องไหนเป็นประเด็นอ่อนไหว ก็เอาออกจากรายการบัญชี จัดประเภทเป็น “เอกสารต้องห้าม” เสร็จสรรพ อย่างเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องชายแดน เรื่องคอมมิวนิสต์ เรื่องกบฏ นักศึกษาประวัติศาสตร์ในชั้นหลังจะไม่สามารถอ้างว่าได้เข้าถึงเอกสารเช่นเดียวกับคนเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน
ผมรู้เรื่องนี้เพราะเคยทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับกบฏ แล้วคนที่เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับหลวงพระบางสมัยรัชกาลที่ 5 อ้างถึงเอกสารจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับกบฏข่าและโควทเอาไว้ชัด แต่เมื่อผมพยายามสอบถามเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว และสืบถามไปเรื่อยๆ ก็เลยทราบเรื่องนี้โดยบังเอิญ
ทำให้รู้สึกผิดหวังและกลับมาได้คิดว่า หน่วยงานอย่างหอจดหมายเหตุแห่งชาติก็ของรัฐ ย่อมปกป้องรัฐ รับใช้ชนชั้นนำ ยิ่งเมื่อรัฐเป็นเผด็จการฝ่ายขวา ก็ยิ่งมีเรื่องปิดลับเป็นอันมาก ยิ่งสังคมมีชนชั้นนำเก่าแก่ดั้งเดิมที่มีมากด้วยความลับและอ่อนไหวเปราะบางกับความรู้อะไรใหม่ๆ ก็ยิ่งต้องปิดลับให้ตามอำนาจหน้าที่
เอกสาร หจช.จึงไม่ใช่หลักฐานชั้นต้นที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง รอนักศึกษาประวัติศาสตร์ไปเปิดซิงมันเหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจแต่อย่างใด แต่มันเป็นหลักฐานที่ถูกกระทำชำเรา (ภาษาของอาจารย์นิธิ) โดยรัฐไปก่อนเราแล้วเรียบร้อย
ไม่มีเรื่องออริจินอลข้อมูลชั้นต้นให้เราค้นหาในนั้น และเราควรจะให้เครดิตแก่เอกสารที่มีเจ้าของแบบนี้แค่ไหน เป็นเรื่องที่ผมอยากฝากไว้พิจารณา ขอบคุณครับ