18 พ.ค. 2559 รายงานข่าวจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า วันนี้ ที่ ห้องพิจารณาคดีที่ 1 ศาลปกครองสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ในคดีที่ผู้เสียหาย 2 ราย ฟ้องหน่วยงานของรัฐ เรียกค่าเสียหาย จากกรณีถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำร้
คดีระหว่าง มะเซาฟี แขวงบู ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และ ด.ช.อาดิล สาแม โดย ยีซะ สาแม มารดา ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้ฟ้องคดีที่ 2 กับ กระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุว่า คดีนี้เป็นอีกหนึ่งในหลายกรณี ที่ประชาชนในพื้นที่สามจังหวั
ยีซะ สาแม มารดาของผู้ฟ้องที่ 2 ที่ได้เดินทางจากจังหวั
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานข้อมูลคดีเพิ่มเติม :
ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2558 ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลความว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อ 11 พ.ค. 52 ขณะที่ตนและผู้ฟ้องคดีที่ 2 ไปดูแลไร่ข้าวโพดบริเวณริมแม่น้ำปัตตานี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารหัวหน้าชุดลาดตระเวนในพื้นที่ ทำร้ายร่างกายด้วยการชก เตะ ต่อย ถีบ กระทืบ อย่างทารุณโหดร้าย ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง ทั้งยังใช้ด้ามปืนพกสั้นตีที่ใบหน้าและศีรษะของตนจนฟันหักสองซี่และศีรษะแตก แล้วใช้ปืนจ่อศีรษะขู่ว่าจะฆ่าให้ตาย ทำให้ตนและผู้ฟ้องคดีที่ 2 กลัวมาก ได้แต่ระลึกถึงองค์อัลลอฮฺ เมื่อได้โอกาสตนและผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงวิ่งหนีไปโดยตนกระโดดลงไปในน้ำซ่อนตัวอยู่ที่พงหญ้า และผู้ฟ้องคดีที่ 2 วิ่งไปซ่อนตัวในพงหญ้าห่างออกไป เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารขับรถออกจากบริเวณนั้นแล้วจึงได้พากันกลับบ้าน ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลเพิ่มเติมว่า นอกจากเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุตามที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้แถลงแล้ว ต่อมาเมื่อปี 2557 ตนยังได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอีกชุดหนึ่งปิดล้อม ตรวจค้นบ้าน และเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำร้ายร่างกายตนจนสลบ ต่อมาถูกนำส่งโรงพยาบาล และยังถูกควบคุมตัวไปที่ค่ายทหารเป็นเวลาหลายวันจึงได้รับการปล่อยตัว โดยไม่ได้ถูกดำเนินคดีใด ๆ และตนก็ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย ไม่เคยถูกดำเนินคดีหรือมีความผิดใด ๆ จนถึงปัจจุบัน แต่ผลกระทบจากการถูกทำร้ายทั้งสองเหตุการณ์ส่งผลให้ตนหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าออกไปนอกพื้นที่ กลัวจะได้รับอันตราย
จากนั้นตุลาการผู้แถลงคดีได้ชี้แจงด้วยวาจาประกอบคำแถลงการณ์เป็นหนังสือต่อองค์คณะ สรุปประเด็นได้ความดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกฟ้องทั้งสี่ต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 52 ขณะปฏิบัติหน้าที่ สิบเอกขวัญชัย สีนิล ซึ่งได้ทำร้ายร่างกายผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นเจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดผู้ถูกฟ้องที่ 1 และที่ 2 สิบเอกขวัญชัย สีนิล เป็นนายทหารประทวนประจำการสังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 5 กองพลทหารราบที่ 5 กองทัพบก ตำแหน่งหัวหน้าชุดยิง สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 5035 หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและบังคับบัญชาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 เป็นหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ดังนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิด
ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเพียงใดพิเคราะห์แล้ว เห็นพ้องตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ที่ได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองดังนี้
(1) ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เนื่องตามใบรับรองแพทย์ระบุว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เห็นควรให้หยุดงานได้ 5 วัน คิดค่าเสียหายตามค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดยะลา เป็นเงินวันละ 240 บาท คิดเป็นค่าเสียหาย 1,200 บาท สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ 2 กำลังศึกษาอยู่ ไม่มีรายได้จากการประกอบอาชีพ จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ได้
(2) ค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้เข้ารับการรักษาเบื้องต้นที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเงิน 1,070 บาท และค่ารักษาพยาบาลของผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 75 บาท แต่ปรากฏว่า หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวน 1,500 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 แล้ว และผู้ฟ้องคดีที่ 2 ได้ใช้สิทธิตามบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ดังนั้นการที่หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว ถือว่าได้เยียวยาตามสมควรแล้ว
(3) ค่าเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย อนามัย และจิตใจ ที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาคิดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ผู้ฟ้องคดีคนละ 100,000 บาท โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้น เป็นค่าเสียหายที่สมควรแล้ว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)