Skip to main content
sharethis

ทหารขอพบนักปกป้องสิทธิที่ดินทำกิน อ้างโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ทำให้ทหารเกิดความเสียหาย ด้านผู้ถูกกล่าวหา ยืนยันไม่ได้โพสต์ข้อความ อาจเป็นเหตุที่เจ้าหน้าที่พยายามใส่ความ ทั้งที่ยังอ้างมั่วว่ามีชื่อเฟซบุ๊กดังกล่าว

6 ส.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารค่ายมหาศักดิพลเสพ ร.8 พ.2, ปลัดอำเภอภูผาม่าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรชุมแพ เข้ามาบ้านเลขที่ 488 หมู่ 11 ต.นาหนองทุ่ม อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของนางบุญรอด แก้วสิงห์อายุ 60 ปี

นายจะเด็จ แก้วสิงห์อายุ 29 ปี ลูกชายของนางบุญรอด เล่าให้ฟังว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาถามตน 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 4 ส.ค.และเมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) แต่ตน ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ซึ่งแม่บอกว่าทหารต้องการพบกับตน เนื่องจากทำให้ทหารเกิดความเสียหาย โดยอ้างว่าตนโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กหลังจากเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2559 ประมาณ 21.30 น. มีเจ้าหน้าที่ทหารค่าย ร.8 พ.2 อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น จำนวน 3 นาย แต่งชุดในเครื่องแบบครึ่งค่อน พร้อมพกอาวุธปืน ได้เข้าไปพบผู้นำชุมชนหนองจาน ต.นาหนองทุ่ม อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ในยามวิกาล เพื่อสอบถามข้อมูลในพื้นที่และอาจมาจากสาเหตุ ที่ชาวบ้านในชุมชนได้ออกมาเดินรณรงค์เพื่อสิทธิในที่ดินทำกินของตนเอง ร่วมกับทีมเดินเพื่อสิทธิ Walk for Rights เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ทหารก็ขอเชิญแกนนำชุมชนไปร่วมดื่มน้ำเย็น ในค่ายทหาร ร.8 พ.2 แต่ยังไม่ได้ระบุวันและเวลา

นายจะเด็จ บอกอีกว่า ทั้งๆที่ตนไม่ได้โพสต์ข้อความดังกล่าว  เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ และทหาร คงต้องการหาข้อกล่าวอ้างหาเรื่องตน เพราะจากที่ชาวบ้านถามกลับไปว่าโฟสต์ลงเฟซบุ๊กชื่ออะไร ทหารยังบอกผิดเลยว่า เฟซบุ๊กชื่อเพลิง ทั้งๆ ที่ตนไม่ใช่ชื่อเฟซบุ้กดังกล่าว เข้าใจว่าตนอาจถูกหาเรื่องมากกว่า แม่ยังบอกว่าในวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) เจ้าหน้าที่บอกว่าตนมาลงประชามติเสร็จแล้วให้รีบออกจากพื้นที่ไปโดยทันที ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะเท่าที่ผ่านมาตนไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง นอกจากเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องเพื่อปกป้องในสิทธิที่ดินทำกิน โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านของตน ที่มีข้อพิพาทกับอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน

โดยเฉพาะภายหลังมีนโยบายทวงคืนผืนป่า เช่น เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2558 หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน มีหนังสือแจ้งให้ทราบว่าจะมีการลงพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินทำกิน ชุมชนเกรงว่าจะเป็นนโยบายการทวงผืนป่าและรัฐจะนำมติ ครม.30 มิ.ย. 2541 ซึ่งเป็นนโยบายที่ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน ตนและอีกหลายชุมชนจึงได้เดินทางไป เพื่อร่วมพูดคุยกับหัวหน้าอุทยานฯ นายอำเภอชุมแพ พร้อมปลัดอำเภอ กระทั่งได้ข้อยุติร่วมกัน แต่ระยะหลังที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ก็พยายามที่จะใช้หลักการเดิมเรื่อยมา แต่ชาวบ้านในชุมชนได้ทำการคัดค้านและมีการเจรจาร่วมกันมาโดยตลอด

“เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ชาวบ้านถ่ายรูป แต่ภาพที่เห็นมีเพื่อนบ้านแอบถ่ายซึ่งเป็นภาพที่อยู่ไกลมาก ส่งมาให้ตน และสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้ามาหาตนถึงที่บ้าน ทำให้แม่เกิดความกังวลใจขึ้นมาอีกหลายเท่า ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปรอบบ้านไว้หมด รวมทั้งขอเข้าไปข้างในบ้านด้วย แต่แม่ไม่ยอมให้เข้าไป ปกติแม่ก็เป็นความดัน และเป็นโรคเครียดอยู่แล้ว พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาอีกทำให้แม่เกิดอาการเครียดขึ้นไปอีก หลังจากนั้นก็กินข้าวไม่ได้ นอนไม่ค่อยหลับ มีความกังวลกลัวว่าผมจะถูกจับหรือถูกดำเนินคดีสักเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ลำพังตัวผมไม่เท่าไร ถึงอย่างไรก็ยังคงต่อสู้ในเรื่องสิทธิที่ดินทำดินเพื่อปกป้องสิทธิในบ้านเกิดที่อยู่อาศัย เป็นห่วงแต่เฉพาะแม่เท่านั้น เรื่องนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการเข้ามาข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว ดังนั้นจึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย” จะเด็จกล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net