สภาเกษตรกรฯ จ่อยื่นนายกฯ ถอดกัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติด หนุนปลูกส่งออก

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า สภาเกษตรฯ จัดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นการถอดถอนกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ณ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ว่า เพื่อรับฟังความคิดเห็นและหาข้อมูลจากสมาชิกฯ และผู้สนใจทั่วไป เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอภาครัฐ ใช้ในพิจารณาถอดกัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติด ให้ประชาชนใช้ป้องกันและรักษาโรคจากแพทย์แผนไทย ซึ่งจากงานวิจัยของเภสัชกรไทย และงานวิจัยจากประเทศชั้นนำ ได้ศึกษาและรองรับการอนุญาตให้ใช้กัญชารักษาโรคเรื้อรังร้ายแรง อาทิ ความดัน เบาหวาน โรคเกี่ยวกับจิตประสาท โรคลมชัก โรคความจำเสื่อม โดยเฉพาะการนำมารักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้ ทั้งนี้ การเสวนาจะระดมความคิดเห็นและจัดทำข้อเสนอผลได้ผลเสียอย่างรอบด้าน และหากมีการวิจัยถูกต้อง และนำมาใช้ประโยชน์ให้ถูกทาง จะสามารถประหยัดงบประมาณการซื้อยาจากต่างประเทศได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท

ประพัฒน์ กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้ สภาเกษตรกรฯจะรวบรวมความเห็นทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้ภาครัฐถอดกัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติดและอนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ป้องกันเพื่อรักษาได้ ทั้งจากแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน และควรจะมีการปลูกเพื่อส่งออกทำรายได้ให้กับเกษตรกรไทยด้วย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ เพราะหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบคราวที่แล้ว เมื่อกฤษฎีกาตรวจทาน จะมีการส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง หากแก้ไขก็จะส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา 3 วาระรวด ออกเป็นกฎหมายต่อไป
 
สำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ มี นพ.สมนึก ศิริพานทอง นพ.สมยศ กิตติมั่นคงนักวิจัยเกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยกัญชา ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยลมชัก ร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ในการรักษาโรคให้ผู้เข้าร่วมเสวนา
 
นพ.สมนึก กล่าวว่า ปัจจุบันโรคมะเร็งคร่าชีวิตคนไทยวันละ 200 คน ประเทศอังกฤษผลิตยาจากกัญชาเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยแล้ว ที่อิสราเอลมีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนเพื่อใช้กัญชารักษา 2 หมื่นคน รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ถอดกัญชาออกจากยาเสพติดแล้ว และคาดว่าแคนาดาก็จะถอดกัญชาออกจากยาเสพติดเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากจะให้รัฐพิจารณาการแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดใหม่ เพราะการแก้ไขที่ผ่านคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ใน ม.76 ยังให้อำนาจรัฐมนตรีสั่งให้แพทย์วินิจฉัย แต่การใช้ยาต้องเป็นตำรับยาเท่านั้น ซึ่งควรจะขีดฆ่าคำนี้ทิ้งแล้วใช้คำว่า "สมุนไพร" แทน มิเช่นนั้น ส่วนรวมคือ เกษตรกรหรือชุมชนก็ไม่ได้ประโยชน์ ประโยชน์จะไปตกอยู่กับบริษัทผู้ผลิตยาขนาดใหญ่เท่านั้น คาดว่าเรื่องนี้องค์การอาหารและยา (อย.) ยังต้องการจะมีอำนาจควบคุมกัญชาให้เป็นยาอยู่ ไม่ใช่สมุนไพร

นพ.สมยศ กล่าวเสริมว่า "เราไม่ได้บอกว่า ให้เปิดเสรีปลูกกัญชา แต่กัญชาที่ปลูกแบบธรรมชาติไม่ทำให้เกิดการเสพติด ต่างจากกัญชาอัดแท่ง ที่ไม่ทราบว่าใส่อะไรผสมลงไปด้วย ผลข้างเคียงจากกัญชาคือ ทำให้น้ำตาลหรือเบาหวานต่ำลง ความดันโลหิตต่ำลงและทำให้นอนหลับ"

ทางด้าน สุเทพ เลาหะวัฒนะ นักการตลาดชื่อดัง กล่าวว่า ประชากรสหรัฐอเมริกา 250 ล้านคน ใน 3 คนจะเป็นมะเร็ง 1 คน เสียชีวิตปีละ 6 แสนคนแต่ของไทยที่มีประชากรน้อยกว่ากลับเสียชีวิตถึงปีละ 1 แสนคน และผู้ที่ต้องใช้คีโมในสหรัฐมีสถิติเสียชีวิตสูงถึง 97% ขณะนี้จึงเหลือเพียง 6 รัฐที่ยังไม่ถอนกัญชาออกจากยาเสพติด แต่คาดว่าจะถอดหมดภายในปีนี้ 

"ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไทยส่งออกกัญชา หากให้ปลูกรายละ 6 ต้น จะได้น้ำมันกัญชา 60 ซีซี ราคาในสหรัฐตกประมาณ 1.2-1.4 แสนบาท หากปลดกัญชา กระท่อม ออกจากยาเสพติดจะโละคดีอาญาได้ถึง 5-6 แสนคดีต่อปี รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูในคุกปีละนับหมื่นล้านบาท" สุเทพ กล่าว

 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท