ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมาถึงจุดนี้กันได้ จุดที่เกิดสงครามวิวาทะครั้งใหญ่ว่าด้วยการสืบทอดและส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ภายหลังเกิดกรณีการร้องเรียนเรื่องความเหมาะสมในการนำตัวละครโขน “ทศกัณฐ์” ไปใช้เป็นตัวดำเนินเรื่องในโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จัดทำโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ชุด “เที่ยวไทยมีเฮ”
ผู้ที่ร้องเรียน เป็นอดีตข้าราชการผู้ใหญ่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรมที่ผู้เขียนเคยร่วมงานด้วยเมื่อครั้งที่กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพในการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อเตรียมการจัดเรตติ้งเชิงคุณภาพสำหรับสื่อโทรทัศน์ (ที่ปัจจุบันเราใช้กันอยู่) ครั้งนั้นผู้เขียนเป็นคณะทำงานจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในฝั่งสภาเยาวชนกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นองค์กรร่วม แม้ภายหลังผู้เขียนลาออกจากสภาเยาวชนฯ แต่ก็ยังได้กลับมาร่วมงานกับท่านและกระทรวงของท่านอีกหลายงาน ทั้งในการร่วมประชุมให้ความคิดเห็นจัดทำนโยบายและเป็นวิทยากรบรรยายให้กับเวทีของกระทรวงฯ ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างเคารพและประทับใจในน้ำใจของอดีตข้าราชการท่านนั้น แต่ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ค่อยประทับใจในเรื่องบทบาทของท่านในการเป็นหัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม(ตำแหน่งขณะนั้น)
และไม่แปลกใจที่การกลับมาของท่านครั้งนี้ในฐานะอดีตข้าราชการ จะกลับมาสร้างความแตกแยกทางวัฒนธรรมกับคนรุ่นใหม่อีกครั้งในยุค gen Z
ความขัดแย้งเรื่องความเหมาะสมในการนำตัวละครชุดโขน “ทศกัณฐ์” ที่ถูกนิยามว่าเป็นราชาแห่งยักษ์ในวรรณคดีรามเกียรติ์ มาใช้ในภาพยนตร์ประกอบเพลง(MV)โฆษณาการท่องเที่ยว ที่มีทั้งฉากถ่ายรูปเซลฟี่ หยอดขนมครก ในส่วนผู้เขียนมองว่า เรื่องนี้มันไม่ควรเป็นประเด็นขัดแย้ง เป็นศึกใหญ่อย่างไร้สาระระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นครูในแวดวงนาฏศิลป์ หากว่าพวกเรา โดยเฉพาะผู้ร้องเรียน ช่วยกันตั้งสติเสียหน่อยว่า
1. ประเด็นเรื่องความเป็น “ราชาแห่งยักษ์” มันไม่ควรเป็นประเด็น เพราะอย่างไร ไม่ว่ามองในคติทางวรรณคดีไทย หรือในคติทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทศกัณฐ์ก็ถือเป็น “อสุรกาย” ไม่ใช่เทพอวตาร ต่างจากตัวละคร “พระราม” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นภาคอวตารของ “พระวิษณุนารายณ์ “ หรือ “นางสีดา” ซึ่งเป็นภาคอวตารของ “พระแม่ลักษมี” จะสังเกตได้ว่าทั้งในmvนี้ หรือแม้แต่ในการแสดงโขน ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าชมการแสดงโขนรอบพิเศษร่วมกับคณะของทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จะไม่มีบทน่ารักๆหรือบทตลกให้ตัวละครตัวพระตัวนางเลย (โดยเฉพาะในmvนี้ ทีมผู้สร้างคงคิดดีแล้ว ที่ไม่นำตัวพระราม-นางสีดามาใช้เลย)
*เพื่อนของผู้เขียนเคยให้ความเห็นว่า ในอินเดียก็มีกลุ่มที่บูชา “ราวณะ” ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์พระศิวะ ซึ่งก็อาจไม่ได้มองเชื่อมโยงว่าเป็นองค์เดียวกับตัวละครบทร้ายในรามายณะ (เพื่อนผู้เขียนใช้คำที่คุยกันว่า “เขาบูชา แต่ไม่บ้าจี้แบบคนไทยเรา”)
2. การแสดงชุดเที่ยวไทยมีเฮ ถ่ายทอดในลักษณะภาพยนตร์ประกอบเพลง (MV) ซึ่งก็ชัดเจนว่าถ่ายทอดในลักษณะศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่ใช่นาฏศิลป์โขน การที่คนบางพวกตั้งแต่ระดับนักเลงคีย์บอร์ดไปจนถึงครูบาอาจารย์ ศิลปินแห่งชาติบางท่านต่างงัดเอาความเป็นศิษย์มีครู งัดเอาหลักการทางโขนมาโจมตีภาพยนตร์ชุดนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการใช้วิชามาแสดงความพาลกันอย่างเลอะเทอะไปหน่อย แทนที่จะตั้งหลักกันว่า เขาชัดเจนว่าเขาแสดงภาพยนตร์ที่นำเสนอไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวประเทศไทย4ภูมิภาค ไม่ได้มาแสดงโขน(ที่นอกจากมีรูปแบบการแสดงเฉพาะแล้ว ยังแสดงได้แต่วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น ไม่มีโขนวรรณคดีเรื่องอื่นๆ) ดังนั้นการแสดงภาพยนตร์ชุดนี้ก็ชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการมาเปลี่ยนแปลงหลักการ นิยาม หรือรายละเอียดใดๆของการแสดงรูปแบบโขนเลย ไม่ได้จะมาสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้การแสดงโขน เพียงยืมตัวละครในโขนมาใช้เดินเรื่องในภาพยนตร์เท่านั้น
เมื่อสิ่งนี้เป็นภาพยนตร์ โขนที่มีอยู่ก็ยังคงความเป็นโขน ที่ไม่มีใครกล้าคิดจะไปเปลี่ยนบรรทัดฐาน และการดำรงรักษาไว้ซึ่งนาฏศิลป์โขนแบบต้นฉบับดั้งเดิม ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของผู้เรียนโขน ที่วันนี้เราอาจพบได้ที่ศาลาเฉลิมกรุง ที่วัดพระพิเรนทร์ ส่วนผู้ทำภาพยนตร์โฆษณา เขามีหน้าที่เรื่องโฆษณาการท่องเที่ยว ก็เท่านั้นเอง
อีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจคือประเด็นเรื่องที่ว่า ราชาแห่งยักษ์อย่างทศกัณฐ์ไม่ควรมาแสดงการทำ “ขนมครก” เป็นการไม่เหมาะสม ไม่สมเกียรติในความเป็นยักษ์ระดับพระราชา
ผู้เขียนมองว่า การแสดงฉากนี้จะเป็นเรื่องผิด และผิดร้ายแรงมากๆ หากมันปรากฏอยู่ในการแสดงโขน แต่ไม่ผิดสำหรับการแสดงที่ชัดเจนว่าเป็นภาพยนตร์ เพราะอย่างที่กล่าวว่า โขนแสดงได้เฉพาะเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีเก่าแก่ที่สะท้อนวิถีชีวิต ค่านิยมในสังคมยุคเทวราชา การทำขนมครกก็ดูควรจะเป็นกิจของพวกสามัญชนมากกว่ากษัตริย์นักรบแห่งนครรัฐลงกา
แต่สำหรับภาพยนตร์ประกอบเพลงเที่ยวไทยมีเฮ มันคือการแสดงที่เป็นคนละศาสตร์กับโขน และมันคือการตั้งโจทย์ท้าทายวาทกรรม ว่าหากทศกัณฐ์ที่เรารู้จักจากวรรณคดีโบราณ ยังมีตัวตนอยู่ในโลกยุคปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ.2559) ทศกัณฐ์ควรจะต้องปรับวิถีชีวิต ไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับคนยุค2016หรือไม่? เช่นการใช้สมาร์ทโฟนแทนนกพิราบสื่อสาร การถ่ายรูปลงสื่อสังคมออนไลน์(Social Media)
และในยุค2016นี้เองสถานะของ “ขนมครก” ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญไปแล้ว จากการเป็นขนมที่เกิดจากกิจกรรมในครัวของสามัญชน มันได้ถูกยกระดับขึ้นมาเป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” (Cultural Heritage) เป็นภูมิปัญญา เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่ชนชั้นสูงต้องมีบทบาทร่วมในการทำให้สังคมเห็นคุณค่า ความสำคัญ อาจคล้ายๆกับที่พสกนิกรไทยในชีวิตจริงก็ยังมีโอกาสได้เห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทรงลงมือสาธิตการทำอาหารเมนูโบราณต่างๆในพิธีการโอกาสสำคัญๆ เช่นตรุษจีน เป็นต้น
พูดมาถึงตรงนี้ มันก็วนมาเข้าประเด็นกับคำพูดฮิตติดหูที่ตามมาภายหลังกรณีสงครามความคิดนี้ ที่กล่าวกันไว้ว่า “เราอยากมีวัฒนธรรมไทยให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก สนใจ หรืออยากให้มันอยู่บนหิ้งให้คนไม่กี่กลุ่มเข้าถึง และรอวันสูญหายไปกับกาลเวลา?!”
0000
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)