Skip to main content
sharethis

ระบุเพื่อขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐให้สอดคล้องกับการประชาสัมพันธ์ของคสช. ให้ 'พล.ต.อ.วุฒิ' พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. พร้อมแช่แข็งผู้บริหาร-ข้าราชการท้องถิ่น ระหว่างตรวจสอบอีกว่า 70 ราย ใน มหาสารคาม

27 ก.ย. 2559 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 59/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 8 และการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ โดยระบุว่า ตามที่มีคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและการกําหนดกรอบอัตรากําลังชั่วคราว ลงวันที่ 15  พ.ค. 58 และคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 19/2558 เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดํารงตําแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ 25 มิ.ย. 58 นั้น โดยที่หน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ตรวจสอบได้เสนอรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ เนื่องจากถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าใช้ตําแหน่งหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายจากปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และมีมูลอันสมควรตรวจสอบจึงจําเป็นต้องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและกําหนดมาตรการบางอย่างเพิ่มเติม นอกจากนี้ โดยที่จําเป็นต้องปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของงานและแก้ไขปัญหาซึ่งไม่อาจดําเนินการโดยวิธีการปกติได้ อีกทั้งมีความจําเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านของการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน โดยผู้มีรายชื่อที่เกี่ยวข้องมิได้มีความผิดหรืออยู่ระหว่างการถกตรวจสอบใด ๆ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบของ คสช. 

โดยในคำสั่งดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

ตั้ง พล.ต.สรรเสริญ ควบ รก.อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ข้อ 15 ระบุว่าเพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ของรัฐให้มีลักษณะสอดคล้องกันระหว่างการประชาสัมพันธ์ของทางราชการ การประชาสัมพันธ์ของคสช. กับการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลโดยเฉพาะการบริหารแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อการปฏิรูป ให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกําเนิด ผู้ชํานาญการกองทัพบก โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีรักษาราชการในตําแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นการชั่วคราว อีกตําแหน่งหนึ่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 เป็นต้นไป

ให้ พล.ต.อ.วุฒิ พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.

ข้อ 14 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง การตรวจสอบข้อร้องเรียนร้องทุกข์ การให้บริการประชาชน การตรวจราชการ และการปฏิบัติภารกิจเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อย ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ให้พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ พ้นจากตําแหน่งรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง รับเงินประจําตําแหน่ง 21,000 บาท ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตามกรอบอัตรากําลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษที่จัดให้มีขึ้นในสํานักนายกรัฐมนตรีตามคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2558 ลงวันที่ 15 พ.ค. 58 โดยให้ขาดจากตําแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิมและให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

ขณะที่ข้อ 13 ระบุว่าเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ให้ต่อเนื่องและไม่กระทบต่อการปฏิบัติงานซึ่งกําลังดําเนินไปด้วยดี ให้ นที ขลิบทอง ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติต่อไปจนถึงวันที่ 5 พ.ย. 60 และให้ผู้มีอํานาจหน้าที่ดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

แช่แข็งผู้บริหาร-ข้าราชการท้องถิ่น ระหว่างตรวจสอบอีกว่า 70 ราย

รวมทั้ง ข้อ 1 ให้ผู้ที่มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1 ข้าราชการพลเรือน ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตําแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราว และไปปฏิบัติราชการประจํา หน่วยงานนั้นตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย

ข้อ 2 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 2 ข้าราชการตํารวจ ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการโดยไม่ขาดจากตําแหน่งเดิมและให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิม เป็นการชั่วคราว โดยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติจะมีคําสั่งให้ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ ในกองบัญชาการตํารวจแห่งใดแห่งหนึ่งตามที่เห็นสมควรเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบก็ได้

ข้อ 3 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 3 ผู้บริหารและผู้มีตําแหน่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้ายคําสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ดํารงตําแหน่งอยู่เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน

ข้อ 4 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 4 ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้าย คําสั่งนี้ ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่น ในจังหวัดนั้น ๆ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกําหนด แต่ต้องมิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นปฏิบัติ หน้าที่อยู่เดิม โดยไม่ต้องมีคําร้องขอ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นผู้บังคับบัญชามีอํานาจมอบหมายให้ผู้นั้นปฏิบัติงานตามความเหมาะสม ในกรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจําตําแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๕ อันเนื่องจากการไปช่วยราชการตามคําสั่งนี้

ข้อ 5 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 5 กรรมการพนักงานส่วนตําบล ตามบัญชีท้ายคําสั่งนี้ พ้นจากการเป็นกรรมการ และให้ผู้มีอํานาจหน้าที่ดําเนินการคัดเลือกกรรมการใหม่ตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในระหว่างที่ยังมิได้มีการคัดเลือกกรรมการแทนกรรมการซึ่งพ้นจากตําแหน่ง ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่และให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

ข้อ 6 ให้ศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุ แห่งการตรวจสอบการปฏิบัติราชการของผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 4 ให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก ศอตช. เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้นั้นหรือเพื่อดําเนินการทางวินัยต่อไป ในกรณีที่ไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้รายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของ เจ้าหน้าที่ผู้นั้น แล้วแต่กรณีเพื่อขยายเวลาได้ตามความจําเป็น
 
ข้อ 7 ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อ 6 หากไม่พบว่ามีการกระทําความผิดหรือ ไม่ถึงขั้นต้องดําเนินการทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาสรุปผลการตรวจสอบและพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้ว แจ้งให้ ศอตช. ทราบ ในการนี้ ให้ประธาน ศอตช. แต่งตั้งคณะบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นข้าราชการ ไม่มีข้อขัดแย้งหรือส่วนได้เสียกับบุคคลหรือเรื่องที่มีการกล่าวหา และไม่เคยเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้มาก่อน มีจํานวน 3 ถึง 5 คน เพื่อตรวจสอบเปรียบเทียบผลการตรวจสอบเดิมของผู้บังคับบัญชาของ ผู้ถูกตรวจสอบกับรายงานหรือพยานหลักฐานที่มีอยู่อีกครั้งหนึ่งและให้มีอํานาจเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคําได้ โดยคณะบุคคลดังกล่าว อาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกตรวจสอบแต่ละรายหรือหลายรายพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net