Skip to main content
sharethis

ศาลฎีกา พิพากษากลับ ให้ลงโทษ 'สุดสงวน' จำคุก 1 เดือน ไม่ลงอาญา คดีร่วมกับ นปช. และดารุณี กฤตบุญญาลัย อ่านแถลงการณ์ วางพวงหรีด และชูป้ายวิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่ง ปี 57 คดีที่ กปปส. ฟ้องเพิกถอนการออกประกาศ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ภาพประชาชนประมาณ 30 คนมาให้กำลังใจก่อนฟังคำพิพากษา

8 พ.ย. 2559 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ลม.1/2557 ที่ผู้อำนวยสำนักการประจำศาลแพ่ง เป็นผู้กล่าวหา ดารุณี กฤตบุญญาลัย , สุดสงวน สุธีสร หรืออาจารย์ตุ้ม อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ พิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ (เสียชีวิตแล้ว) เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1- 3 กรณีประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล จากเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2557 ดารุณี แนวร่วม นปช. กับพวก นำมวลชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่หน้าอาคารศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษกแล้วมีการอ่านแถลงการณ์ วางพวงหรีด และชูป้ายวิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่ง คดีที่ กปปส. ฟ้องเพิกถอนการออกประกาศ ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาผูกติดไว้กับประตูรั้ว โดยศาลแพ่งไต่สวนและตรวจดูภาพที่บันทึกเหตุการณ์แล้วเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2557

มติชนออนไลน์รายงานว่า สมชาย ภู่บึงไผ่ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลฎีกา พิจารณาแล้วมีคำพิพากษากลับ ให้ลงโทษ สุดสงวน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุก 1 เดือน โดยไม่ลงอาญา จากนี้ สุดสงวน ต้องถูกนำตัวไปรับโทษยังทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป

โดยในวันนี้ สุดสงวน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา พร้อมด้วยมวลชนกว่า 30 คน มาให้กำลังใจ 

สำหรับคดีนี้ สุดสงวน และ พิชา ทนายความ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 – 3 ให้การรับสารภาพ ระหว่างพิจารณาดารุณี กฤตบุญญาลัย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 หลบหนี ศาลจึงออกหมายจับและจำหน่ายคดีของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ชั่วคราว

ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้จำคุก สุดสงวน และ พิชา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 – 3 คนละ 1 เดือน

ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 – 3 อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น พิชา ทนายความผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์จึงจำหน่ายคดีเฉพาะผู้ถูกล่าวหาที่ 3 ออกจากสารบบความ ส่วน สุดสงวน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 โดยผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต และปริญญาโท สาขาอาชญาวิทยา จากสหรัฐอเมริกา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ย่อมทราบดีถึงขั้นตอนในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล และย่อมทราบว่าการที่ร่วมกันชุมนุมในบริเวณศาล โดยนำพวงหรีดที่มีข้อความว่า “แด่ความอยุติธรรมของศาลแพ่ง” พร้อมตะโกนว่าศาลแพ่งอยุติธรรม ซึ่งเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อถือ ศรัทธาของสังคมต่อศาลยุติธรรม พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีความยำเกรงต่อกฎหมาย และไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศชาติอันเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ หรือรอการกำหนดโทษให้ อย่างไรก็ดี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 รับราชการเป็นอาจารย์ในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีตำแหน่งถึงรองศาสตราจารย์ ถือว่าได้ทำคุณประโยชน์แก่ทางราชการ จึงเห็นควรให้ลงโทษกักขังผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แทนโทษจำคุก พิพากษาแก้เป็นให้เปลี่ยนโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นกักขังแทน มีกำหนด 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net