Skip to main content
sharethis

ชี้ อีก 4 ปี ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ พบแรงงานไทย 63% ขาดหลักประกันรายได้ยามเกษียณ เปิดกับดักมนุษย์เงินเดือนเสี่ยงเงินไม่พอใช้ยามชรา ด้าน 16 องค์กรของรัฐตาม พ.ร.บ. เฉพาะจับมือทำข้อเสนอรองรับสังคมสูงวัย

15 มี.ค.2560 รายงานข่าวจากกลุ่มงานการสื่อสารทางสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ แจ้งว่า วันนี้ (15 มี.ค.60) ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการลงนามใน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ โดยในปีนี้ สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตาม พ.ร.บ.เฉพาะ ได้เข้าร่วมเป็นองค์กรที่ 16  และ การประชุมวิชาการที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทอพ.) 16 องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “ประชารัฐร่วมใจ สู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ” มี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “สูงวัยอย่างมีคุณค่า น้อมพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง”

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะประธาน ทอพ. กล่าวว่า องค์กรของรัฐที่จัดตั้งตาม พรบ.เฉพาะ เป็นกลไกบริหารจัดการสาธารณะใหม่ (New Public Management) ที่เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมกลไกรัฐเดิม เช่น ระบบราชการหรือรัฐวิสาหกิจเพื่อเป็นกลไกตอบสนองของช่องว่างในกิจการสาธารณะที่ระบบเดิมที่มีข้อจำกัดซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับประเทศไทย ได้เริ่มกลไกใหม่นี้ราวปี พ.ศ.2535 การรวมประชาคมขององค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ หรือ ทอพ. จึงเป็นจุดประสานกลางเพื่อทำความเข้าใจหน้าที่ บทบาทการทำงานต่อผู้เกี่ยวข้อง และยังเป็นการประสานกันและกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การบริหารจัดการใหม่ และร่วมสร้างประโยชน์ร่วมกันต่อประเทศด้วย

การประชุมวิชาการองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ถือเป็นเวทีจุดประกายให้เกิดการ ‘สานพลัง’ เครือข่าย แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างความเข้มแข็งในการทำงานร่วมกันของทั้ง 16 องค์กร นำไปสู่การพัฒนาประเทศใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ และกองทุนสนับสนุน เพื่อหนุนเสริมซึ่งกันและกัน โดยในปีนี้มีภาคีใหม่ในลำดับที่ 16 ได้แก่ สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการเพิ่มมิติการทำงานที่ 5 คือด้านสื่อ เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้แก่คนในสังคมโดยส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดสื่อที่ปลอดภัย

ดร.สุปรีดา กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะนี้มี 3 ประเทศในอาเซียนที่เป็นสังคมสูงวัยแล้ว อันดับ 1 คือ สิงคโปร์ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 18% อันดับ 2 คือ ไทย มีสัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 16% หรือจำนวน 10.3 ล้านคน และอันดับ 3 เวียดนามอยู่ที่ 10% ซึ่งคาดว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 20% และส่งผลให้อัตราการพึ่งพิงจะหนักขึ้นเป็นผู้สูงอายุ 1 คน ต่อวัยแรงงาน 3.2 คน ทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่มีผู้สูงวัยมากขึ้น

“ปัจจุบันยังพบช่องว่างในการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยเฉพาะหลักประกันรายได้ยามเกษียณอายุ ที่พบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หรือรายได้ต่ำกว่า 2,647 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โจทย์ใหญ่ที่จะตามมาคือ แรงงานไทย 63% ที่ไม่อยู่ในระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ยามเกษียณ และยังพบกับดักมนุษย์เงินเดือน โดยรายจ่ายของมนุษย์เงินเดือนสูงกว่าเงินสนับสนุนของรัฐขั้นพื้นฐานจากประกันสังคมและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเมื่อเกษียณ อยู่ที่ 8,100 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหากไม่มีการออมสมทบ  รวมถึงระบบรองรับข้อมูลด้านสุขภาพและด้านสังคม จึงเกิดความร่วมมือในหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะทั้ง 16 หน่วยงานในการพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัย ทั้งการจัดระบบและบริการสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ การศึกษาวิจัยและการจัดการความรู้ การพัฒนานโยบายสาธารณะและสร้างเครือข่าย การพัฒนามาตรฐาน และการสื่อสารสังคม เพื่อรองรับสังคมสูงวัยให้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ” ประธาน ทอพ. กล่าว

รศ.ดร.อภิศักดิ์ ธีระวิสิษฐ์ ประธานคณะทำงานด้านการจัดการความรู้และประชุมวิชาการ ทอพ. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากกว่า 10.3 ล้านคน คิด 16% และคาดว่าจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2564  ในสัดส่วนถึง 20% ประเทศไทยยังมีช่องว่างด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรและการพัฒนาระบบเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย อาทิ ในด้านสุขภาพ พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 95% มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง และเบาหวาน และมีโอกาสเกิดโรคประจำตัวสูงขึ้นในบั้นปลาย ส่วนด้านเศรษฐกิจ พบว่า ผู้สูงอายุถึงร้อยละ 34% มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และมีเพียง 15 ล้านคน ที่อยู่ในระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ยามเกษียณ จากประชากรวัยทำงานกว่า 40 ล้านคน รวมถึงผลกระทบด้านสังคม พบว่า ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียวหรืออยู่ตามลำพังกับคู่สมรสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงคนรุ่นใหม่ยังมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้สูงอายุ

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ให้ความสำคัญต่อการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยมีนโยบายและกฎหมายรองรับในหลายมิติ เช่น ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559 ซึ่งเป็นแผนแม่บทด้านสุขภาพของประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงวัยอย่างมาก เป็นกรอบการดำเนินนโยบายด้านสุขภาพของรัฐ

นอกจากนั้น ตามหมวดสิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ยังได้บัญญัติรับรองสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขฯ อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดูแลรักษาล่วงหน้า (Advance Care Plan) และมีความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุแบบประคับประคอง ซึ่ง สช. อยู่ระหว่างการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่องการตายดีและการดูแลแบบประคับประคองให้กับเครือข่ายต่างๆ โดยในการประชุมวิชาการในวันนี้ ที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทอพ.) 16 องค์กร จะมีการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสร้างความอยู่ดีมีสุขในสังคมผู้สูงวัยอีกด้วย

ทั้งนี้ องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. เฉพาะ ทั้ง 16 องค์กรที่เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา สถาบันอนุญาโตตุลาการ และสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

แนะนำ 16 องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ

องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ถือเป็นรูปแบบใหม่ขององค์กรรัฐที่สามารถดำเนินงานได้อย่างยืดหยุ่นคล่องตัวกว่าหน่วยงานที่อยู่ในระบบราชการปัจจุบัน  สามารถรองรับและตอบสนองต่อการปฏิรูปประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลากหลายด้าน ปัจจุบัน องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ มีทั้งหมด 16 องค์กร ได้แก่

1. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เป็นองค์กรที่มุ่งเสริมสร้างการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรม จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคนและโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สวทน. มีเจตนารมณ์ในการจัดทำและขับเคลื่อนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ  โดยสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศน์ที่เหมาะสมต่อการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมในประเทศ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

3. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. มีเจตนารมณ์ในพัฒนานักเรียน เยาวชนไทย ให้มีความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทัดเทียมนานาชาติ  โดยเน้นด้านการคิดวิเคราะห์ การใช้ข้อมูล และแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพ

4. สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ หรือ มว. มีพันธกิจที่สำคัญ คือ พัฒนามาตรฐานการวัดแห่งชาติให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และถ่ายทอดความถูกต้องของการวัดไปสู่กิจกรรมการวัดต่างๆ ในประเทศ รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจด้านมาตรวิทยาแก่สังคมไทย

5. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หรือ สวรส. มีภารกิจในการสนับสนุนการศึกษา ค้นคว้า และวิจัย  เพื่อสร้างความรู้นำไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบายพัฒนาระบบสุขภาพอย่างมีระบบ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาของประเทศ และสามารถแก้ไขปัญหาสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ

6. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เป็นองค์กรที่สร้างหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทย โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อให้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้รับความคุ้มครองหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้าด้วยความมั่นใจ

7. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ หรือ สช. ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “ระบบสุขภาพไทยพัฒนาจากกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมบนพื้นฐานทางปัญญา”

8. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ ประเทศไทยมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน ทุกคนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทั้งในภาวะปกติและสาธารณภัยด้วยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน

9. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. มีภารกิจหลักในการสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การวิจัยเชิงนโยบาย และการวิจัยประยุกต์ต่างๆ  เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ และสังคม

10. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เป็นองค์กรซึ่งทำหน้าที่จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลัง  ให้บุคคลและองค์กรทุกภาคส่วนให้มีขีดความสามารถและเข้ามาร่วมกันสร้างสรรค์ระบบสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะ ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “ทุกคนบนแผ่นดินไทยมีขีดความสามารถ สังคม สิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อสุขภาวะ”

11. สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนและเพิ่มศักยภาพ SME สู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีภารกิจเสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การส่งเสริม SME ของประเทศ

12. สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือ สทบ. เป็นศูนย์กลางและโครงข่ายการเรียนรู้ เงินทุน สวัสดิภาพ สวัสดิการ และการแก้ไขปัญหาของหมู่บ้านและชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ครัวเรือนสมาชิกมีความเป็นอยู่ที่พอเพียง อบอุ่น  เข้มแข็งสู่การเป็นภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

13. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา หรือ คส. มุ่งยกระดับคุณภาพครูสู่คุณภาพการศึกษาไทย เพื่อให้คุรุสภาเป็นสภาวิชาชีพที่เข้มแข็งและทันสมัย สามารถควบคุมและยกระดับคุณภาพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ให้มีมาตรฐานและจรรยาบรรณเป็นที่ยอมรับของสังคม

14. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค.  เป็นองค์กรยุคใหม่ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมสวัสดิการ  สวัสดิภาพ   สิทธิประโยชน์ เกื้อกูล ความมั่นคง ดังปณิธานที่ว่า “เรามีครู...อยู่ในหัวใจ”

15. สถาบันอนุญาโตตุลาการ ให้บริการด้านอนุญาโตตุลาการและและประนอมข้อพิพาทในระดับสากลและส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทให้มีความเข้มแข็ง ได้มาตรฐานสากล เพื่อเป็นทางเลือกในการระงับข้อพิพาทด้วยความสะดวกรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย

16. สํานักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นองค์การมหาชนที่มุ่งรณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัว มีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ และร่วมเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัย

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net