Skip to main content
sharethis
เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเสนอนายกรัฐมนตรีที่สั่งห้ามตำรวจนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว และขอให้เร่งปฏิรูปตำรวจและระบบงานสอบสวน
 
24 มิ.ย. 2560 เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเสนอนายกรัฐมนตรีที่สั่งห้ามตำรวจนำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว และขอให้เร่งปฏิรูปตำรวจและระบบงานสอบสวน โดยระบุว่กรณี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี ได้สั่งห้ามมิให้ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาคดีต่างๆ มาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกต่อไปนั้น
 
คป.ตร.ขอขอบคุณและสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว ที่เห็นและเข้าใจว่าการปฏิบัติของตำรวจต่อผู้ต้องหาในการสอบสวนที่นิยมทำกันมาอย่างยาวนานนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  โดยเฉพาะไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรรคสองและทุกฉบับ ที่บัญญัติว่า “ ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” แต่ตำรวจผู้ใหญ่ก็ไม่เคยนำพาต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศดังกล่าว 
 
แม้จะมีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 855/ 2548 เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน และแก้ไขเป็นคำสั่งที่ 465 / 2550 ห้ามอนุญาตหรือจัดให้สื่อมวลชนทุกแขนง ถ่ายภาพ หรือให้ข่าวของผู้ต้องหา แต่ยังคงเปิดช่องยกเว้นให้อ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งคดี หรือหากได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหาและเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งตามข้อเท็จจริง ผู้ต้องหาทุกคนที่ถูกจับล้วนตกอยู่ในสภาพกดดันไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และความยินยอมในสภาวะดังกล่าว แท้จริงคือการจำยอม ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจอย่างแท้จริง
 
ส่วนข้ออ้างเพื่อประโยชน์แห่งคดีนั้น การนำผู้ต้องหามาแถลงข่าว ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสอบสวน ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการ แม้กระทั่งการพิจารณาของศาลด้วย เนื่องจากสังคมได้ถูกตำรวจทำให้เชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำผิดโดยปราศจากข้อสงสัย ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว พนักงานสอบสวนจะไม่กระทำทำเช่นนี้เป็นอันขาด
 
นอกจากนั้น การที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีวิทยุด่วนที่สุด 0001(ศปก.ตร.)/96 กำชับการปฏิบัติในการนำตัวผู้ต้องหาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เท่ากับตอกย้ำว่า ตำรวจได้ละเลยและฝ่าฝืนคำสั่งของตัวเองในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติอีกเรื่องที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เนื่องจากหลายกรณีเมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาชั้นศาลและพิพากษายกฟ้อง นอกจากความเสียหายที่เกิดกับตัวผู้ต้องหาในการนำมาแถลงข่าวประจานหรือทำแผนประทุษกรรมยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างร้ายแรง โดยไม่มีการแสดงความรับผิดชอบ และไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้กับผู้บริสุทธิ์และได้รับผลกระทบเหล่านั้นได้
 
การสั่งห้ามของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว จึงเป็นการยุติการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการสอบสวนของตำรวจลงอย่างเด็ดขาด ซึ่งประชาชนจะไม่ยอมทนเห็นการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาในลักษณะที่ป่าเถื่อนดังกล่าวอีกต่อไป และการนำผู้ต้องหาไปทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพก็ควรห้ามมิให้กระทำด้วยเช่นกัน 
 
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ควรเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศในชั้นสอบสวนให้เป็นมาตรฐานสากลเป็นที่เชื่อถือยอมรับของประชาชน ด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังนี้ 1. ให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีอาญาสำคัญ กรณีที่ประชาชนร้องเรียนว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นธรรมตั้งแต่เริ่มคดี 2. การออกหมายเรียกบุคคลมาแจ้งข้อหาหรือการเสนอศาลออกหมายจับ ให้กระทำได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ 3. ให้มีการบันทึกภาพและเสียงการสอบสวนในการสอบปากคำผู้เสียหาย ผู้ต้องหาและพยานเก็บเป็นหลักฐานไว้ให้อัยการและศาลตรวจสอบได้เมื่อจำเป็นทุกคดี และ 4. ปรับระบบงานสอบสวนให้เป็นอิสระ โดยแยกออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ งานสอบสวนต้องไม่อยู่ในโครงสร้างองค์กรและระบบการบังคับบัญชาที่มีชั้นยศแบบทหาร ทั้งนี้ เพื่อสร้างหลักประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและใช้ดุลยพินิจทางคดีได้ตามกฎหมายในลักษณะเดียวกับพนักงานอัยการ
 
คป.ตร. หวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเสนอเพื่อยกระดับการสอบสวนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาชั้นต้นของประเทศให้มีเป็นที่เชื่อถือยอมรับของประชาชน และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับประเทศที่เจริญทั่วโลกดังกล่าว จะได้รับการพิจารณาและดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วในรัฐบาลชุดนี้ 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net