อุทธรณ์แก้โทษจำคุก 2 ปี เหลือ 8 เดือน แกนนำพธม.ยึดทำเนียบฯ เหตุไม่ใช่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ 6 แกนนำพันธมิตรฯ คดียึดทำเนียบฯ จากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา เหตุกระทำมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (แฟ้มภาพ)

24 ก.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (24 ก.ค. 60) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกรุกทำเนียบรัฐบาลปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี, สนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี, พิภพ ธงไชย อายุ 71 ปี, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 67 ปี, สมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 71 ปี อดีตแกนนำ พธม. และ สุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 365

จากกรณี เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 51 จำเลยกับพวกได้ปราศรัยชักชวนให้ประชาชนกดดันให้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ลาออก แล้วปิดล้อมเข้าควบคุมทำเนียบรัฐบาล ห้ามราชการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินได้รับความเสียหาย  โดยคดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนยื่นขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานัด จำเลยทุกคนมาศาล และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวสนธิมาฟังคำพิพากษา
 

รายงานข่าวระบุว่า ศาลอุทธรณ์พิเคราะแล้วเห็นว่า โจทก์มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย สันติบาล 4 ปาก เบิกความถึงรายละเอียดเหตุการณ์ที่โจทก์ทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำและผู้ชุมนุม ที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและได้นำรถ 6 ล้อเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบนัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้องประตู รวมทั้งผลักดันแผงเหล็กกั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้ เพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ, สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุทนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

รายงานข่าวระบุอีกว่า วันนี้ (24 ก.ค. 60) เป็นการนัดอ่านคำพิพากษา ครั้งที่ 3 หลังจากมีการเลื่อนครั้งที่ 1 จากวันที่ 16 พ.ค. เนื่องจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1 ป่วย และเลื่อนครั้งที่ 2 จากวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจาก สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จำเลยที่ 4 ป่วย ไม่ได้เดินทางมาศาล แต่มอบอำนาจให้ทนายความมาแถลงขอเลื่อนนัดแทน ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4 จะมีอาการป่วยจริง จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 4 เพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมปรับนายประกันเต็ม 200,000 บาท และกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในวันนี้ (24 ก.ค.60) เวลา 09.00 น. โดยศาลได้กำชับคู่ความด้วยว่า หากจำเลยคนใดป่วยอีกให้นำแพทย์มาไต่สวนด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.55 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 51 ได้มีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้ สมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมา สมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน 

ต่อมา เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 51 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ทำลายเครื่องมือ ทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 51 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล แล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยและระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-3 ธ.ค. 51 

ซึ่งมีการจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลและมีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย แล้วยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า-หน้าตึกสันติไมตรีในความดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ 

ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 58 เห็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 358, 365 การกระทำของจำเลยผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยจำเลยทั้งหก ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีดังกล่าว

ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์, ช่อง 7 และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท