ประชาไท - วันที่ 20 ธ.ค. เวลา 10 .00 น. กลุ่มคัดค้านโครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย จัดเวที "หยุดกฎหมายเหยียบย่ำศาสนา ท้า "สรุยุทธ์"ให้จุฬาฯมาสบถ !" ที่ ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา มีชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วม กว่า 500 คน
การเสวนาเริ่มต้นด้วยการเปิดเทปภาพเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของชาวบ้านเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.45 เนื่องจากเป็นวันครบรอบ 4 ปี เหตุการณ์ดังกล่าว จากนั้นจึงมีเวทีอภิปรายเรื่องหลักการศาสนาโดยมุ่งเน้นในประเด็นเรื่องที่ดินวะกัฟ ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามแล้วคือที่ดินที่เจ้าของเดิมได้อุทิศให้พระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเจ้าของเดิมหรือผู้หนึ่งผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองอีกต่อไป อีกทั้งไม่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน โอน หรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้
การจัดงานครั้งนี้เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 49 สมัยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีการออกกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพที่ดินสาธารณะประโยชน์ซึ่งอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการฯ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินวะกัฟตามหลักศาสนาอิสลาม ทั้งนี้ในเวทีมีตัวแทนชาวบ้านและทายาทการวะกัฟที่ดินออกมากล่าวยืนยัน
นาย
นาย
หลังจากนั้นเวลา 12.00 น. นาง
ดังนั้นเมื่อตอนนี้รัฐบาลทักษิณซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้ออกกฎหมายฉบับนี้ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว รัฐบาลนี้ที่อ้างว่าจะเข้ามาแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้ และการพิสูจน์ความจริงตามหลักการศาสนานั้น ไม่อาจกระทำแต่เพียงพอเป็นพิธีเหมือนอย่างรัฐบาลที่แล้วที่เพียงแต่ถามความเห็นจุฬาราชมนตรี แต่ถ้าหากว่า พล.อ.
หลังจากนั้นเวลา 13.30 น. จีงเริ่มมีเวทีในภาคบ่าย นาย
ที่มาของการฮุบ "ดินวะกัฟ"
4 เดือนสิงหาคม 2546 บริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย(ประเทศไทย)จำกัด(ทีทีเอ็ม) เริ่มดำเนินการขออนุญาตผ่านทางหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอโอนแลกเปลี่ยนและขอถอนสภาพที่ดินสาธาราณประโยชน์ ตามมาตรา 8 วรรคสอง(1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นเส้นทางอยู่ภายในพื้นที่เป้าหมายโครงการที่ทางบริษัทใช้ก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยมีพื้นที่อยู่ใน หมู่ที่ 6 ตำบลสะกอม หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 8 ตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และพื้นที่เป้าหมายดังกล่าวทับเส้นทางสาธารณประโยชน์จำนวน 4 เส้นทาง
ต่อมาทางบริษัทได้ดำเนินการล้อมรั้วปิดกั้น รวมทั้งเปลี่ยนแปลง ทำให้เสื่อมสภาพในเส้นทางทั้งหมด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือคอยดูแลอารักขา ยังผลให้ประชาชนไม่สามารถสัญจรไป-มา และใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้เหมือนเดิม เช่น ในการทำมาหากินเช่น เดินทางไปทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงวัว หาของป่า หากระจูดไปจักสาน จับสัตว์น้ำในพรุ รวมทั้งขนส่งสินค้าการเกษตร
ขณะนั้นชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านฯโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์ตำบลสะกอมและตำบลตลิ่งชันได้ดำเนินการยื่นหนังสือคัดค้านการขอแลกเปลี่ยนที่ดินของบริษัทและชี้แจงประเด็นที่ดินวะกัฟไปยังอบต. อำเภอจะนะ ที่ดินจังหวัดสงขลาสาขาจะนะ ประธานกรรมการอิสลามจังหวัดสงขลา ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย สำนักงานจุฬาราชมนตรี และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อร้องทุกข์ถึงความเดือดร้อนจากการปิดกั้น และการขอโอนแลกเปลี่ยนและขอถอนสภาพที่ดินดังกล่าว เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่ "ดินวะกัฟ" เป็นดินที่อุทิศให้เพื่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันตามหลักการศาสนาอิสลาม ซึ่งผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองอีกต่อไป อีกทั้งไม่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน โอน หรือเปลี่ยนแปลงใดๆได้ หากมุสลิมรู้ว่ามีที่ดินวะกัฟแล้วนิ่งเฉย ยอมให้มีการครอบครอง ไม่ช่วยปกป้อง ไม่ช่วยกันยืนยันและไม่เผยแพร่ความจริงแก่สาธารณะ "ถือว่าเป็นบาป" มุสลิมต้อง "วายิบ" ร่วมกันรับผิดชอบ เป็นสิ่งจำเป็นตามหลักการศาสนาปฏิเสธไม่ได้
แต่สุดท้ายทางบริษัททีทีเอ็มอ้างว่า ได้ขอแลกทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตลิ่งชัน และองค์การบริหารส่วนตำบลสะกอมเองก็ไม่ขัดข้อง รวมทั้งจากการสอบถามเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ พบว่าที่ซึ่งทางบริษัทกว้านซื้อเหล่านี้มีทางสาธารณประโยชน์ติดมาแต่เดิมแล้ว โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ได้นำเสนอต่อสำนักจุฬาราชมนตรีเพื่อให้วินิจฉัยเรื่อง "ที่ดินวะกัฟ" และจุฬาราชมนตรีสรุปว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทางสาธารณะดังกล่าวได้มาโดยการวะกัฟของชาวมุสลิม และหากการแลกเปลี่ยนนั้นไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนและเกิดประโยชน์มากขึ้น ก็สามารถแลกเปลี่ยนเส้นทางดังกล่าวได้ รวมทั้งชี้แจงว่าได้ส่งตัวแทนมาพยายามพบกับผู้ที่อ้างว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นทางวะกัฟ แต่ก็ไม่ได้พบกับใคร
ส่วนทางอำเภอจะนะเองก็เห็นด้วยในการแลกเปลี่ยนดังกล่าว โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าเส้นทางเดิมนั้นประชาชนก็ไม่ได้ใช้สัญจรไป-มาแล้วเนื่องจากเป็นทางเดินขนาดเล็ก ใช้สัญจรเป็นระยะทางสั้นๆสภาพเส้นทางไม่ดีนัก
อาศัยกฎหมายสร้างความชอบธรรม ดิ้นจาก "มาตรา
ต่อมาเมื่อประชาชนร่วมกันยืนยันว่า ยังใช้ประโยชน์ในเส้นทางดังกล่าวอยู่จนถึงปัจจุบันก่อนที่บริษัทจะเข้ามาดำเนินการ และยื่นหนังสือคัดค้าน ชี้แจงข้อเท็จจริง และขอมีส่วนร่วมในการดำเนินการไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อม ๆ กับเปิดเผยการดำเนินการที่ลัดขั้นตอนของทางบริษัท ภายหลังทางบริษัทเห็นว่าไม่สามารถขอแลกเปลี่ยนได้ต่อไปโดยง่าย จึงอาศัยกฎหมายหาช่องทางดำเนินการด้วยการขอใช้ที่ดินดังกล่าว ตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สาขาจะนะ ได้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547
ล่าสุดมีประกาศเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 มีการดำเนินการขอใช้ที่ดินดังกล่าวตามมาตรา 9 อีกครั้ง ซึ่งอบต.ตลิ่งชัน อบต.สะกอมและชาวบ้านได้ทำหนังสือคัดค้านการขอให้ที่ดินดังกล่าวไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดสงขลา สาขาจะนะ จึงชัดเจนว่าการดำเนินการก่อสร้างที่ผ่านมาของบริษัทเป็นการกระทำก่อนได้รับอนุญาตอย่างชัดเจน
หลังจากได้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีการแลกเปลี่ยนที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ไทย -มาเลเซีย ดังนี้ ปรากฎว่าบริษัทกระทำการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการใดๆ และยังเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งให้บริษัทดำเนินการปรับสภาพที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
แต่บริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย(ประเทศไทย)จำกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการใดๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2549 นายทักษิณ ชินวัตร ได้ออกพระราชกฤษฏีกา "ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลตลิ่งชัน และตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา พ.ศ.
จะเห็นได้ว่าการออกพระราชกฤษฏีกา "ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ เป็นการถอนสภาพดินของชาติเพียงเพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อบริษัททีทีเอ็มและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลย์เท่านั้น โดยยอมทำลายหลักการศาสนาและเหยียบย่ำความรู้สึกของพี่น้องมุสลิม โดยมีหน่วยงานรัฐและจุฬาราชมนตรีทั้งที่เป็นผู้นำศาสนาและเป็นผู้มีรู้เกี่ยวกับหลักการศาสนาแต่กลับร่วมมือกับบริษัททีทีเอ็ม โดยที่ไม่กล้ายืนยันในหลักการศาสนาและไม่ "วายิบ"ร่วมกันกับพี่น้องมุสลิม ทั้งที่ดินดังกล่าวมี "วะเระ"(ทายาทการวะกัฟ)ยืนยันชัดเจนซึ่งตามหลักการศาสนาอิสลามถ้ามี"วะเระ"(ทายาทการวะกัฟ)การวะกัฟ(การอุทิศแก่พระผู้เป็นเจ้า)ถือว่าสมบูรณ์แล้ว
000
แถลงการณ์
หยุดกฎหมายเหยียบย่ำศาสนา !
ท้า ! "สุรยุทธ์" นำตัว "จุฬา" มาสบถ !
เวลา 3 เดือนแล้วที่พล.อ.
ไม่ว่าถึงที่สุดแล้วรัฐจะวิเคราะห์สาเหตุของปัญหามุสลิมในภาคใต้ว่าอย่างไร แต่ก้าวแรกที่สำคัญของใครก็ตามที่คิดจะเข้ามาแก้ไขปัญหา ก็คือต้องทำความเข้าใจต่อหลักการศาสนาอิสลามเสียก่อน
หลักการสำคัญข้อหนึ่งของศาสนาอิสลาม ก็คือมุสลิมทุกคนมีหน้าที่ปกป้องทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เพราะผืนแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ที่อัลลอฮฺทรงประทานมา ก็เพื่อให้มนุษย์ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต ได้ทำมาหากินจากทรัพยากรทั้งหลายอย่างพอเพียง แต่ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดเกิดความละโมบแย่งชิงทรัพยากรของผู้อื่นมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ก็เท่ากับผู้นั้นทำลายผืนแผ่นดินแห่งนี้ เท่ากับผู้นั้นทรยศต่อองค์อัลลอฮฺ ฉะนั้นมุสลิมต้องถือเป็นหน้าที่ ต้องถือเป็นหลักปฏิบัติตามบทบัญญัติอัลกุรอานในการดำเนินชีวิต ว่าเราต้องทำในสิ่งที่พระเจ้าใช้ให้ทำ และไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าห้าม หลักการนี้ ย่อมไม่อาจไปกันได้กับแนวทางการพัฒนาที่ไล่ตามโลกของทุนนิยมเสรีอย่างในปัจจุบัน ซึ่งถือเงินและอำนาจเป็นใหญ่ เอารัดเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่า ถือเอาผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง แย่งชิงทรัพยากรและพยายามรื้อถอนวิถีดั้งเดิมของชุมชน
กว่าเก้าปีที่ผ่านมา พวกเราต้องต่อสู้กับวิถีทุนที่มาในรูปของโครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่ดำเนินโครงการมาได้ด้วยการเหยียบย่ำ ทำลายหลักการศาสนาอิสลาม ไปพร้อมๆกับละเมิดกฎหมาย ตั้งแต่ระเบียบประชาพิจารณ์ กฎหมายสิ่งแวดล้อมในเรื่องการทำอีไอเอ กฎหมายที่ดิน และที่สำคัญขัดรัฐธรรมนูญ เราได้ต่อสู้เรียกร้อง ฟ้องร้องต่อสังคมมาตลอดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งต่อสู้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เรายิ่งกลับถูกรัฐใช้กลไกกฎหมายมาเล่นงาน กฎหมายถูกตีความ ถูกหยิบใช้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมหรือศีลธรรม ด้วยฝีมือของมนุษย์กลุ่มไหนก็ได้ที่มีอำนาจอยู่ในมือ
และ ณ วันนี้ หลังจากที่เราต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากข้อหาสารพัดที่ถูกยัดเยียด ตลอดมาไม่รู้กี่คดี เราพบว่าการย่ำยีครั้งล่าสุดที่กำลังจะทำให้เราหมดความอดทนแล้ว ก็คือการที่รัฐออกกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินสาธารณะประโยชน์ภายในบริเวณโครงการโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ทั้งที่ในทางกฎหมายเราได้เคยยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อยืนยันการใช้ประโยชน์ของประชาชนในที่ดินผืนนี้มาแล้ว แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่กลับไม่สนใจ และไม่มีกระบวนการสอบสวนกันอย่างซึ่งหน้า แต่กลับไปแอบออกกฎหมายเพิกถอนกันโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
แต่ที่เป็นความเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าสำหรับพี่น้องมุสลิมก็คือ ที่ดินนี้เป็นที่วะกัฟหรือที่ดินอุทิศตามหลักศาสนาอิสลาม การออกกฎหมายฉบับนี้เท่ากับทำลายหลักการศาสนา ผิดฮูก่มตามบทบัญญัติของอัลกุรอ่านว่าด้วยเรื่องที่ดินวะกัฟ อันเป็นการอุทิศเพื่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเจ้าของเดิมหรือผู้หนึ่งผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองอีกต่อไป อีกทั้งไม่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน โอน หรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ จนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก ด้วยมติทั้ง 4 มาซาฮับ บทบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่อาจถูกบิดเบือนหรือประนีประนอมเพื่อเอื้อประโยชน์แก่นายทุนได้เหมือนอย่างบทบัญญัติที่เขียนโดยมนุษย์ผู้เพียงแต่ประกอบอาชีพทางกฎหมาย
เจตนาในการออกกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย โดยที่ข้อเท็จจริงก็ฟ้องอยู่ตำตาว่า ทั้งที่เพิ่งจะมีกฎหมายถอนสภาพที่ดินเพียงไม่กี่วัน แต่ ณ วันนี้โครงการฯกลับตั้งอยู่บนเส้นทางวะกัฟของเราแล้ว
ในเมื่อตอนนี้รัฐบาลทักษิณซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้ออกกฎหมายฉบับนี้ไม่อยู่ในอำนาจแล้ว รัฐบาลนี้ซึ่งอ้างว่าจะเข้ามาแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องนั้น ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้ และการพิสูจน์ความจริงตามหลักการศาสนานั้น ไม่อาจกระทำแต่เพียงพอเป็นพิธีเหมือนอย่างรัฐบาลที่แล้วที่เพียงแต่ถามความเห็นจุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งหัวโขนที่กลายเป็นเครื่องมือของรัฐไปแล้ว ดังคำวินิจฉัยของสำนักจุฬาราชมนตรีในเรื่องที่ดินวะกัฟที่กล่าวว่า "ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทางสาธารณะดังกล่าวได้มาโดยการวะกัฟของชาวมุสลิม" เนื่องจาก "ได้ส่งตัวแทนมาพบกับผู้ที่อ้างว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นทางวะกัฟ แต่ไม่พบใคร" นี่หรือคือเหตุผลสำคัญในการตัดสินของจุฬาราชมนตรี นี่หรือคือหลักการตัดสินที่ตั้งอยู่บนหลักการศาสนา การตัดสินที่ละเมิดหลักการศาสนาเช่นนี้จะให้พวกเรายอมรับได้อย่างไร ทั้งนี้ พวกเรายืนยันว่าทางดังกล่าวมีวะเระ (ทายาท) และพยานอย่างชัดเจนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินวะกัฟอย่างแท้จริง
หลักการศาสนาไม่อาจมีชะตากรรมเช่นเดียวกับกฎหมายของมนุษย์ หลักการศักดิ์สิทธิ์ที่บัญญัติถึงสัจธรรมแห่งความถูกต้องดีงามที่มนุษย์พึงยึดถือปฏิบัติตามนั้น ไม่อาจถูกละเมิดหรือบิดเบือนไปตามเจตนาอันฉ้อฉลชั่วร้ายได้ และผู้มีอำนาจใดในรัฐก็ไม่มีสิทธิอหังการ์มาทำลายหรือบิดเบือนไปได้ เพราะหลักการศาสนาไม่ได้ยึดเหนี่ยวผู้คนไว้ได้ด้วยความเกรงกลัวต่อโทษปรับหรือโทษจำคุก หากแต่ด้วยศรัทธาที่มีต่ออำนาจแห่งความดีงามสูงสุดที่มนุษย์พึงยำเกรง และละอายที่จะละเมิดเพียงเพื่อแลกกับเม็ดเงินหรืออำนาจหัวโขนเฉพาะหน้าในทางโลก
แต่ถ้าหากว่าพล.อ.สุรยุทธ์เชื่อว่าการออกกฎหมายของอดีตนายกทักษิณถูกต้อง พี่น้องมุสลิมขอท้าให้พล.อ.สุรยุทธ์ นำตัวจุฬาราชมนตรีมาสบถกับวะเระและพี่น้องกลุ่มคัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงและยืนยันฮูก่มของอัลเลาะห์(ช.บ.)ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะมาเปลี่ยนแปลงได้
ด้วยสลามและดุอา
เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ โรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
20 ธันวาคม 2549
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)