สารคดีประวัติศาสตร์ที่ห้ามพูดถึงและห้ามถกเถียงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายา (CPM)
ตติกานต์ เดชชพงศ
ข้อมูลจาก Apa Khabar Orang KamPung
สงครามแย่งชิงมวลชนระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายา CPM: Communist Party of Malaya (หรือมาเลเซียในปัจจุบัน) กับรัฐบาลมาเลเซีย-ผู้สร้างประวัติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ให้แก่กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในยุคแรกๆ ที่มีการสถาปนาประเทศมาเลเซีย เป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูกหยิบมาถกเถียงเพื่อแสดงความคิดเห็นกันอยู่เรื่อยๆ ในหมู่นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์
สารคดีบันทึกบทสัมภาษณ์ของอดีตสมาชิก 10 คนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาเรื่อง
ผู้กำกับชาวมุสลิม "อาเมียร์ มูฮัมหมัด" กล่าวถึงชะตากรรมของผลงานเรื่องล่าสุดว่า "ผมไม่แปลกใจที่มันโดนแบน" เพราะเนื้อหาหลักของสารคดีเรื่องนี้คือถ้อยคำของอดีตคอมมิวนิสต์ที่ถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินของตัวเอง หลังจากที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังที่ต่อสู้เพื่อต้านการยึดครองของประเทศญี่ปุ่น (ปี 1942-1945) และการกลับมาปกครองพื้นที่มาเลเซียของสหราชอาณาจักร (ปี 1945-1957)
สารคดีเรื่องนี้ถูกรัฐบาลมาเลเซียสั่งห้ามฉายในประเทศ แม้ว่ามันจะเป็นที่ยอมรับในเวทีหนังระดับสากล เช่น เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินก็ตาม
เหตุผลที่รัฐบาลใช้ในการห้ามฉาย คือการระบุว่าเนื้อหาในสารคดีเรื่องนี้เป็นการ "บิดเบือนประวัติศาสตร์" และให้น้ำหนักแก่อดีตลูกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาจนเกินควร
ความหวาดระแวงต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาในยุคที่มีการสถาปนารัฐชาติมาเลเซียขึ้นมา เป็นเพราะกองกำลังติดอาวุธที่เคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นและอังกฤษนี้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน และสมาชิกพรรคที่มีอำนาจในการตัดสินใจก็คือชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน
การชูประเด็นความแตกต่างทาง "ความเชื่อ" และ "ศาสนา" โดยการโจมตีว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาไม่มีพระเจ้า ไม่มีศรัทธา และมีเชื้อชาติที่ไม่เหมือนกับชาวมาเลย์-มุสลิมส่วนใหญ่ในมาเลเซีย
นอกจากนี้ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาหลายคนเป็นชาวมุสลิม เมื่อพวกเขาเข้าไปสังกัดพรรคที่ไม่ศรัทธาในสิ่งใด ความผิดนี้ย่อมร้ายแรงไม่น้อยในหมู่ชาวมุสลิมผู้เคร่งศาสนา
ผลก็คือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายาต้องหลบหนีเข้าทางชายแดนใต้ของประเทศไทย เพื่อตั้งกองบัญชาการอย่างลับๆ และต่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาลมาเลเซียที่ต้องการกวาดล้างพวกเขาให้สิ้นซาก แต่ความเจ็บปวดและจำยอมครั้งสำคัญที่สุดของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์คือการที่รัฐบาลจีนหันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียและลงนามในสัญญาสงบศึกเมื่อปี 1989
เมื่อถูกตัดอาวุธและความช่วยเหลือจากจีนซึ่งเป็นแขนขาของกองกำลัง อดีตนักรบบางส่วนพยายามลี้ภัยกลับไปในมาเลเซีย แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร
มีเรื่องเล่าลือกันในหมู่ญาติพี่น้องของอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ บ้างก็ว่าครอบครัวของพวกเขาถูกฆ่าอย่างโหดร้ายด้วยฝีมือของกองกำลังรัฐบาล ในขณะที่หญิงสาวอีกมากของกองกำลังถูกข่มขืนและฆ่าตายเช่นกัน
แต่การชำระประวัติศาสตร์ของผู้สูญหายที่เป็นอดีตพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อตั้งประเทศมาเลเซีย ไม่เคยมี และไม่เคยเกิดขึ้นเลย...
อดีตหัวหอกสำคัญกว่า 10 ชีวิตของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมาลายา ไม่ว่าจะเป็น อับดุลลาห์ ซีดี, ราชิด มาอิดิน, อาบู ซามาห์, ชามสิอะห์ ฟาเคห์, กามารุซมัน เตห์, สุริอานี อับดุลลาห์, ชุนซุน แซ่เหวย และอดีตสมาชิกพรรคอีกหลายคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เลือกที่จะตั้งรกรากอยู่ในฝั่งไทย และทำเกษตรกรรมเลี้ยงชีพโดยไม่ได้กลับไปยังแผ่นดินเกิดของพวกเขาอีกเลยเป็นเวลากว่า 50 ทศวรรษ
สืบเนื่องมาจากการตั้งกองกำลังลับๆ ในฝั่งชายแดนไทย ซึ่งผู้กำกับไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นจังหวัดไหน ทำให้ประชากรในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบนี้มีช่องว่างระหว่างวัยอย่างเห็นได้ชัด
ชาวมาลายาที่กลายเป็นชาวไทยไปแล้วในหมู่บ้านแห่งนี้ ถ้าไม่อายุ 60 ปี ขึ้นไป ก็จะเป็นเด็กๆ และวัยรุ่นในวัยประมาณ 15 ปี เพราะการที่กองกำลังลับๆ จะส่งเด็กทารกไปให้คนภายนอกเลี้ยง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
ผู้กำกับมูฮัมหมัดให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ The Sun ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่นำสารคดีเรื่องนี้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ของตัวเองในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เขาบอกกล่าวด้วยมุมมองของผู้สังเกตการณ์ว่า ความเชื่อมโยงระหว่างเด็กๆ ในหมู่บ้านอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งนี้กับความเป็นชาวมาเลเซีย นับวันยิ่งถูกกลืนหายไปเรื่อยๆ
เด็กวัยรุ่นเติบโตมากับบทเรียนวิชาภาษาไทยในโรงเรียน พวกเขาฟังละครวิทยุแบบไทยๆ ที่พูดถึงราชาแห่งแคว้นหนึ่งในตำนาน ผู้สงสัยว่าราชินีของตัวเองกำลังทรยศ พระองค์เลยสั่งขังนาง และเรื่องราวชิงรักหักสวาทของละครวิทยุไทยก็อบอวลอยู่ในบรรยากาศตลอด 72 นาทีของสารคดีเรื่องนี้
เมื่อมองจากสายตาของผู้กำกับชาวมาเลเซียที่เป็น "คนนอก" ของรัฐไทยอยู่เสมอ (บางครั้งภาพแห่งการเป็นศัตรูผู้แทรกแซงความมั่นคงก็ถูกโยนเข้าใส่ชาวมาเลเซียด้วย) สารคดีเรื่องนี้อาจถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวไทยบางกลุ่มเช่นกัน
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้กำกับและทีมงานชาวมาเลเซียสามารถเข้านอกออกในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ก็อาจถูกแปรเป็นความตระหนกตกใจเรื่องภัยต่อความมั่นคงได้อีกเช่นกัน
แต่จากบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับอาเมียร์ มูฮัมหมัด เขาได้ถ่ายทอดความเชื่อบางอย่างที่น่ารับฟัง และเราอาจต้องเงี่ยหูสดับสำเนียงที่แตกต่างกันออกไปบ้าง
"ประวัติศาสตร์ชาติแห่งมาเลเซีย ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ของชาติอื่น ประวัติศาสตร์ไม่ควรปิดกั้นเสียงที่แตกต่างจากการบอกเล่าของรัฐ ไม่อย่างนั้น เราคงลงเอยด้วยการเป็นผู้ที่ความจำเสื่อมเรื่องประวัติศาสตร์
การมีประวัติศาสตร์เพียงชุดเดียวอาจง่ายต่อผู้มีอำนาจในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันจะเป็นความเสียหายร้ายแรงต่อการปะติดปะต่อชุดจินตนาการของเรา
เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ นักการเมืองของปลุกปั่นวาทกรรมเรื่องเชื้อชาติให้เป็นที่พูดถึงในหมู่ชาวมาเลย์ เพื่อที่เราจะได้จำกัดขอบเขตของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเกิดสมมติว่าในมาเลเซียมีมากกว่าชนชาติเพียงสองกลุ่มคือ มาเลย์-มุสลิม ล่ะ เราจะทำอย่างไร?
สิ่งที่ผมแสดงให้เห็นในสารคดีเรื่องนี้ ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือหลายต่อหลายเล่ม มันเป็นมุมมองที่แตกต่างออกไป ท้ายที่สุด สาธารณชนควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตัวเอง
การแสดงออกซึ่งความเห็นที่แตกต่างเป็นปัจจัยหนึ่งของประชาธิปไตย แต่ดูเหมือนว่าประชาธิปไตยของเรามันช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ" อาเมียร์กล่าวปิดท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)