เปิดสรุปข้อมูล 1 ปี ความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับการแก้ไขปัญหาของคนจน พร้อมประกาศ 1 ต.ค.นี้ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) จะมาทวงคืนนโยบายคนจน ด้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินอีสานร้องชาวบ้านยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐข่มขู่ คุกคาม
ความล้มเหลวในเชิงนโยบายของรัฐบาล
ประเด็น |
ความเป็นมา (ความเดิม) |
ผลการดำเนินงาน |
ปัญหา/อุปสรรค |
ข้อเสนอ |
---|---|---|---|---|
การดำเนินงานเรื่องโฉนดชุมชน |
-เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการจัดโฉนดชุมชน ให้แก่ชุมชนที่ประสบความเดือดร้อนด้านการเข้าถึงสิทธิในที่ดิน ซึ่งเป็นแนวคิดดั้งเดิมของภาคประชาชนที่คิดค้นริเริ่มตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๑ โดยเป็นหลักการภายใต้สิทธิชุมชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ -มีการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.๒๕๕๓ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ดินที่ยั่งยืนและเป็นธรรม -ขปส.ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสานต่อนโยบายโฉนดชุมชน และให้มีการผลักดันเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ |
-หลังจากการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯมีชุมชนที่เดือดร้อนและยื่นคำขอจัดให้มีโฉนดชุมชนจำนวน ๔๓๕ ชุมชน ในพื้นที่ ๔๗ จังหวัด -มีชุมชนที่ผ่านการอนุมัติให้จัดโฉนดชุมชนโดยคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน(ปจช.) แล้วจำนวน ๕๕ ชุมชน -มีชุมชนที่รับการจัดให้มีโฉนดชุมชนแล้วจำนวน ๒ ชุมชน คือชุมชนคลองโยง จ.นครปฐม และชุมชนแม่อาว จ.ลำพูน -มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ โดยเปลี่ยนประธานจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และส่งผลให้เป็นการยกเลิกคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนชุดเดิม -๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ขปส.เข้าเจรจากับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) โดยรองนายกฯให้คำยืนยันจะดำเนินการสานต่อโฉนดชุมชนต่อ |
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.) ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้เร่งรัดการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน โดยเสนอรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการโฉนดชุมชนเข้าเป็นคณะกรรมการ และเร่งรัดให้มีการเปิดประชุมพิจารณาการจัดให้มีโฉนดชุมชนโดยเร่งด่วน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีผลความคืบหน้าใดๆในเรื่องดังกล่าว -มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ อนุมัติงบประมาณจำนวน ๕๐ ล้านบาทเพื่อให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามโครงการปราบปรามการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ต้นน้ำลำธารเพื่อปลูก
|
-เร่งรัดการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน(ปจช.) -ผลักดันให้ระเบียบสำนักนายกฯเป็นกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติเพื่อการบังคับใช้ได้ทั่วไป |
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน พ.ศ.๒๕๕๓ |
ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยได้เสนอข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ขอให้มีการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินของราษฎร โดยเสนอให้มีการดำเนินการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินและการไม่สามารถเข้าถึงที่ดินของเกษตรกรรายย่อยและคนยากจนอย่างยั่งยืน ด้วยการดำเนินการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดิน เพื่อเป็นองค์กรที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการเกี่ยวกับที่ดินโดยตรง โดยใช้งบประมาณ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
|
๑) คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน(องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการเพิ่มเติมบทบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้มีการจัดสรรรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) และธนาคารที่ดินที่จะตรากฎหมายขึ้นต่อไปด้วย ๒) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลใช้บังคับแล้ว วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๓)ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
|
ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการจัดซื้อที่ดินให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ยากไร้ที่ดินตามโครงการนำร่องงบประมาณ ๑๖๗ ล้านบาทได้ รวมทั้งเป้าหมายอื่นๆตามพระราชกฤษฎีกาได้ |
-ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ภายใต้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน พ.ศ.๒๕๕๔ โดยให้ผู้แทนของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.)เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในสัดส่วนผู้แทนองค์กรชุมชน -ผลักดันการจัดตั้งธนาคารที่ดินโดยให้มีเป้าหมายเพื่อการกระจายการถือครองที่ดินให้แก่คนจนและผู้ด้อยโอกาส และจัดสรรที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน -ผลักดันภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าเพื่อเป็นช่องทางในการกระจายการถือครองที่ดิน และนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการเก็บภาษีเป็นกองทุนในธนาคารที่ดิน |
โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน งบประมาณดำเนินการ ๑๖๗ ล้านบาท |
|
๑) มติคณะรัฐมนตรี ๒๒ กุมภาพันธ์ และ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้มีการดำเนินงานโครงการนำร่องแก้ไขปัญหาที่ดินของเกษตรกรรายย่อยไทยเข้มแข็ง ภายใต้นโยบายกองทุนธนาคารที่ดิน ในพื้นที่ ๕ ชุมชน วงเงินงบประมาณ ๑๖๗ ล้านบาท ๒) วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่ประชุมการเจรจาระหว่างรัฐบาลซึ่งมีรองนายกฯ(นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)เป็นประธาน กับตัวแทนของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงหน่วยงานการเบิกจ่ายจากสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน มาเป็นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) แทนและได้มอบหมายให้พอช.ไปจัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบรปะมาณสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว ขณะนี้พอช.ได้จัดทำโครงการฯเสร็จแล้ว
|
-คณะรัฐมนตรียังไม่มีการพิจารณาโครงการนำร่องดังกล่าว -มีความพยายามของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ในการยกร่างแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน โดยยกเลิกแนวทางการจัดสรรที่ดินให้ในรูปแบบโฉนดชุมชน /มีการเปลี่ยนสาระสำคัญจากเดิมที่ส่งเสริมภาคเกษตรเปลี่ยนเป็นการส่งเสริมภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรม นอกจากนี้ร่างพ.ร.บ.นี้ยัง ไม่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
|
-ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวในพื้นที่ ๕ ชุมชน ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์และ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยให้พอช.เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ |
กรณีบ้านมั่นคง นโยบายที่อยู่อาศัย/คนไร้บ้าน |
กรณี คนไร้บ้านได้ดำเนินการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดรัฐบาลในยุคที่ผ่านได้สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาคุณชีวิตและสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับคนไร้บ้าน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง
|
ได้มีข้อสรุปร่วมกันกับรัฐบาลโดยรองนายกรัฐมนตรี(นายยงยุทธ วิชัยดิษ) ให้ พอช.ไปจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการดังกล่าว |
พอช.ไม่สามารถเนื่องจากมีข้อจำกัดในการจัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณประจำปีของกระทรวงได้ |
ให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ (งบกลางรายการเงินฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วน)เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว |
กรณีการแก้ปัญหาเขื่อนปากมูลตามมติคณะรัฐมนตรี |
เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้มีการเจรจากับนายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) โดยในการเจรจาดังกล่าวได้มีข้อสรุปร่วมกันดังนี้ ๑)เห็นควรทดลองเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนปากมูลเป็นระยะเวลา ๕ปี โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ศึกษาเกี่ยวกับการฟื้นตัวของระบบนิเวศและวิถีชีวิตของชุมชน รวมทั้งผลกระทบจากการเปิดเขื่อนปากมูลดังกล่าว ๒)ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุดที่ นร๐๕๐๖/๑๐๑๔๑ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๐ แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด นร ๐๕๐๖/๑๒๔๘๙ ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ทั้งฉบับ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรี คำสั่งหรือประกาศอื่นใด ที่ขัดแย้งกับแนวทางการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของขปส. ๓) เห็นควรเยียวยาตามหลักมนุษยธรรมให้แก่ผู้มีอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนปากมูล รายละ ๓๑๐,๐๐๐ บาท โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการเยียวยาดังกล่าว
|
คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นได้มีการประชุมไปแล้ว หนึ่งครั้งเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แต่ยังไม่มีข้อสรุปและจากนั้นก็ยังไม่มีการจัดประชุมขึ้น |
คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นได้มีการประชุมไปแล้ว หนึ่งครั้งเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แต่ยังไม่มีข้อสรุปและจากนั้นก็ยังไม่มีการจัดประชุมขึ้น |
๑.ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๒.ให้นำมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และมติการเจรจาเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ มาใช้ในการแก้ไขปัญหา |
กรณีคนไทยผลัดถิ่น ตามพระราชบัญญัติคืนสัญชาติ |
หลังการยุบสภาของ รบ.ปชป.ช่วงเลือกตั้งพรรคการเมือง บันทึกความร่วมมือที่จะดำเนินการต่อหากได้เป็น รบ.หลังเลือกตั้ง รบ.ได้มีมติครม.ยืนยันความจำเป็นที่ต้องมี กฎหมายสัญชาติไปยังวุฒิสภาๆตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณากฎหมายสัญชาติก่อนนำเข้าสู่การพิจารณา จนผ่านวาระ ๒และ๓วุฒิสภาและประกาศในกิจจานุเบกษา ๒๑ มีนาคม ๕๕ พร้อมตั้ง กก.รับรองความเป็นไทยพลัดถิ่นและออกกฎกระทรวงหลักเกณฑ์และวิธีการพร้อมเข้า ครม.และมีมติเมื่อ ๑๗กค.๕๕ประกาศในกิจจานุเบกษา ๑๘ กค.๕๕ พร้อมรับคำขอเพื่อพิจารณารับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น กย.๕๕ในจ.ตราด ระนอง ชุมพร ประจวบฯ ตาก |
-มีคณะกก.รับรองฯ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ฯ โดยเฉพาะในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ -มีการออกกฎกระทรวงฯ
|
๑) มีคณะกก.รับรองฯ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ฯ โดยเฉพาะในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ ๒) กฎกระทรวงฯ ไม่เป็นตามเจตนารมณ์ฯ ๒.๑) กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นถูกแบ่งเป็น ๔ กลุ่ม คือกลุ่มที่ถูกบันทึกในทะเบียนประวัติว่ามีเชื้อสายไทย, กลุ่มที่ถูกบันทึกในทะเบียนประวัติว่าเป็นคนต่างด้าวกลุ่มต่างๆ, กลุ่มที่ตกหล่นการสำรวจ ๒.๒) ความไม่ชัดเจนกรณีคนไทยพลัดถิ่นที่แม่สอด ๒.๓) การกำหนดให้ต้องมีพยานบุคคลที่มีเชื้อสายไทย ๒.๔) การกำหนดให้มีพยานบุคคลที่มีเชื้อสายไทย รับรองการไม่มีสัญชาติของประเทศอื่น |
๑)ทบทวนองค์ประกอบของกรรมการรับรองฯ ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ๒)ทบทวน/ปรับเปลี่ยนฝ่ายเลขาฯ ๓)ทบทวนกฎกระทรวงฯ ฉบับปัจจุบัน ๔)ออกกฎกระทรวงฯ เพื่อการแก้ปัญหาคนไทยพลัดถิ่นที่มีลักษณะอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ๕)มีมติครม.เพื่อสำรวจคนไทยพลัดถิ่นที่ตกหล่น |
แถลงการณ์ ฉบับที่ ๑๕
๑ ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับความล้มเหลว ในการแก้ไขปัญหาของคนจน
นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ซึ่งเป็นเครือข่ายของเกษตรกรรายย่อยและคนจนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาประเทศที่ผิดพลาดในอดีต ประกอบด้วย เครือข่ายสลัม ๔ ภาค, สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.), เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.), สมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล (สคจ.), เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.), เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด (คปบ.), สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.), เครือข่ายเกษตรพันธสัญญา, เครือข่ายสิทธิสถานะบุคคล และกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวล อันเป็นปัญหาความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ปัญหาที่เกิดจากการสร้างเขื่อน ปัญหาการไร้สิทธิสถานะและชาติพันธุ์ปัญหาจากเหมืองและโรงไฟฟ้า ปัญหาการทำเกษตรพันธสัญญา รวมทั้งปัญหาความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ทั้งคนจนจากชนบทและคนจนในเมืองได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อให้สานต่อการแก้ไขปัญหาของพวกเรามาแล้วหลายครั้ง
โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ตอบสนองข้อเรียกร้องของพวกเรา ด้วยการบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาลซึ่ง ได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ อาทิเช่น นโยบายข้อ ๔.นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต (ข้อ๔.๕. .....นโยบายความมั่นคงของชีวิตและสังคม ข้อย่อยที่ ๔.๕.๒ การให้โอกาสประชาชนที่มีฐานะยากจนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง.....) ข้อ ๕.นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อ ๕.๑ ......สนับสนุนการจัดการอย่างมีส่วนร่วมและให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันในลักษณะที่ทำให้คนมีภารกิจดูแลป่าให้มีความยั่งยืน โดยการปรับปรุงกฎหมายป่าไม้ 5 ฉบับให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ..... ข้อ ๕.๔ สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากร..... .....ให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน โดยใช้มาตรการทางภาษีและจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย...... .....ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาการดำเนินคดีโลกร้อนกับคนจน......) และ นโยบายข้อที่ ๘.นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ข้อ ๘.๒.๒ ....ส่งเสริมกองทุนยุติธรรมเพื่อการคุ้มครองช่วยเหลือคนจนและคนด้อยโอกาส....) ซึ่งผูกพันให้รัฐบาลต้องดำเนินการ
ต่อมารัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานคณะกรรมการฯ และมีการแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นอีกจำนวน ๑๐ คณะ เพื่อใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหาแต่ก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้
อย่างไรก็ตามตลอดช่วงเวลากว่า ๑ ปีที่ผ่านมา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการติดตามและผลักดันให้กลไกการแก้ไขปัญหาทั้งคณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการฯ ดำเนินการตามข้อตกลงและแนวทางเพื่อสานต่อการแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงเป็นรูปธรรม แต่ในท้ายที่สุดจนถึงปัจจุบันพวกเราได้พบกับอุปสรรคในการแก้ไขปัญหา อันเกิดจากความตั้งใจของผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานราชการ ที่ไม่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ขณะที่หลายกรณีปัญหา เช่น การจัดให้มีโฉนดชุมชนและการจัดตั้งสถาบันธนาคารที่ดิน ได้ถูกแช่แข็ง และแปลงเปลี่ยนหลักการจนผิดเพี้ยน ขณะที่หลายกรณีปัญหามีข้อยุติไว้ชัดเจนแล้ว แต่กลับถูกขัดขวางจากระบบราชการที่ล้าหลัง และทัศนคติของบุคคลากรของรัฐที่ไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชนทำให้ไม่สามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไปได้ เช่น กรณีโครงการบ้านมั่นคง กรณีคนไทยพลัดถิ่น และกรณีเขื่อนปากมูล ในขณะที่อีกกว่า ๕๐๐ กรณีปัญหาก็ยังคงย่ำอยู่กับที่
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอยืนยันว่า
๑. นโยบายการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อปัญหาของพวกเรามีความชัดเจน แต่รัฐบาลไม่ยอมนำไปปฏิบัติ
๒. รัฐมนตรีบางคน และหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน บิดเบือน และมีการแปลงสาร โดยไม่คำนึงถึงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก
๓. แนวทางที่มีอยู่แล้วถูกล้มเลิก และมีการขัดขวางการดำเนินงาน
ดังนั้นขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้เร่งดำเนินการ ดังนี้
๑. รัฐบาลต้องปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
๒. นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้กำกับและผลักดันการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
๓. รัฐบาลต้องปรับปรุงกลไกการแก้ไขปัญหาให้สามารถปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาได้จริง โดยรัฐบาลจะต้องเปิดการเจรจาขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการเจรจาดังกล่าว พร้อมกันนี้พวกเราจะเดินทางมาปักหลักรอฟังคำตอบจากรัฐบาลอย่างสงบที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)
อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
๒๖ กันยายน ๒๕๕๕
|
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)