รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ข้อมูลต่อสาธารณะว่า ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ จะเป็นการนำร่องเพื่อทดสอบระบบ จำนวน 100 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 50 เมกะวัตต์ และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 50 เมกะวัตต์ (และยังแบ่งเป็นภาคธุรกิจ 40 เมกะวัตต์ / ที่อยู่อาศัย 10 เมกะวัตต์) โดยจะให้เป็นการใช้เพื่อประหยัดไฟในส่วนของตัวเองก่อน ยังไม่อนุญาตให้มีการขายไฟฟ้าเข้าระบบสายส่ง ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้ น่าจะดำเนินการให้เห็นผลได้ หลังจากนั้นจึงจะมีการพิจารณาว่าควรจะให้มีการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบหรือไม่
ทั้งนี้ในเดือน ก.พ. 2559 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เคยกล่าวต่อสาธารณะไว้ว่า แนวโน้มสำหรับโครงการโซลาร์รู้ฟท็อปเสรีนี้น่าจะมีการประชาสัมพันธ์โครงการเพื่อประกาศเชิญชวนเข้าร่วมโครงการได้ในช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค. 2559 และกำหนดเงื่อนไขการผลิตไฟฟ้าในเดือน ก.ค. 2559 และคาดว่าจะเริ่มติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเสรีได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2560
หักข้อเสนอ สปช. ให้ประชาชนขายไฟ กฟผ.อย่างเสรี
จากการแถลงต่อสาธารณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงา พบว่า การดำเนินนโยบายโซลาร์รูฟท็อปเสรีนี้กลับไม่เป็นไปตามข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เคยเสนอไว้ โดยหลักการสำคัญที่ สปช. เสนอคือประชาชนทั่วไปสามารถที่จะผลิตไฟฟ้าบนหลังคาและขายให้กับการไฟฟ้าได้โดยเสรี (อ่านรายงานย้อนหลังของ TCIJ เพิ่มเติม : สปช. ดัน ‘โซลาร์รูฟ' หวัง 20 ปี ล้านหลังคาเรือน พลิกประเทศหรือขายฝัน? และ การส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟของรัฐ)
ทั้งนี้มีกระแสข่าวว่าประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันในคณะทำงานพิจารณาโครงการนี้ และทำให้การดำเนินการโครงการโซลาร์รูฟท็อปเสรีในช่วงแรกยังไม่ให้มีการขายไฟฟ้าส่วนเกินเข้าสู่ระบบนั้น คือเรื่องของอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ และเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจะต้องจ่ายภาษีส่วนนี้ให้กับกระทรวงการคลังด้วย ทำให้มีขั้นตอนเรื่องของกฎระเบียบต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ในภาพรวมของโครงการดังกล่าวหากมีการเปิดให้มีการขายไฟฟ้าส่วนเกินเข้าระบบอย่างเสรี ได้นั้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือ ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น ในขณะที่ผู้รับภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นคือประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการที่มีจำนวนมากกว่า
รวมทั้งข้อวิจารณ์ของโครงการนี้ในช่วงที่ สปช. ได้ผลักดันโครงการ คือค่าไฟฟ้าโดยภาพรวมจะแพงขึ้น เพราะการรับซื้อไฟฟ้าจากหลังคาบ้านนี้จะต้องบวกรวมไปในค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) ที่ประชาชนทุกคนต้องจ่ายทุกเดือน และหากมีการติดตั้งตามเป้า 100,000 - 1,000,000 ชุด นั้นก็จะมีผลกระทบต่อค่า FT ในอัตราที่สูงขึ้น รวมทั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ก็ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก และเมื่อครบอายุสิ้นสุดโครงการโซลาร์รูฟ 25 ปีแล้ว แผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมดจะกลายเป็นขยะอันตรายหรือไม่ และผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ก็ต้องมีกำลังทรัพย์พอสมควร เนื่องจากใช้เงินลงทุนหลักแสนบาทขึ้นไป ซึ่งกลุ่มคนที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการได้อาจจะกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง ไม่กระจายไปตามชนบท อาจจะยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานมากขึ้นไปอีก เพราะกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟได้นั้น จะมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลดลงแถมยังมีรายได้เพิ่มจากการเป็นผู้ขายไฟฟ้าอีก ส่วนประชาชนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ติดตั้งโซลาร์รูฟจะต้องมาเสียค่าไฟฟ้าเพิ่มเพื่อให้รัฐนำเงินไปซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการ
อ่านเพิ่มเติม: หักเหลี่ยมธุรกิจโซลาร์เซลล์ ยุค คสช. เมื่อ'โซลาร์รูฟท็อป'แค่ใช้เอง-ห้ามขาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)