นักกิจกรรม-ศิลปิน จัดกิจกรรมรำลึก 200 ปี คาร์ล มากซ์ และ 88 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ 'ษัษฐรัมย์' ปลุกพลังการเปลี่ยนแปลง ย้ำเราไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากโซ่ตรวน และโลกทั้งใบคอยพวกเราอยู่
เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวาระ 200 ปี คาร์ล มากซ์ ซึ่งเกิดวันที่ 5 พ.ค.เมื่อ 200 ปีที่แล้ว และจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งตายวันที่ 5 พ.ค. โดยในปีนี้เขาอายุครบ 88 ปี ที่หน้าร้าน Art Cafe หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กลุ่มยังเติร์กและเครือข่ายเพื่อนศิลปิน จัดงานรำลึกในโอกาสดังกล่าว ภายใต้ชื่องาน "88 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ และ 200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ กับสังคมไทย" ภายในงานมีการกล่าวพจนากถาหลายคน จึงขอยกตัวอย่างมาดังนี้
ภาพจากเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/metha.matkhao
ษัษฐรัมย์ : ไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากโซ่ตรวน
ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กล่าวว่า ระบบทุนนิยมสร้างความเหลื่อมล้ำมาก สังคมไทยเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น มีการคำนวนเล่นๆ ว่า ถ้าเราอยากมีทรัพย์สินเหมือนกับคนที่ร่ำรวยที่สุด 50 คนแรกนประเทศนี้ คนไทยโดยเฉลี่ยต้องทำงานเป็นเวลา 5 แสนปี เพื่อที่จะสามารถมีเงินเที่ยบเท่ากับคนที่รำรวยที่สุด 50 คนแรกของประเทศนี้ นี่คือปัญหาที่พวกเราเผชิญ เมื่อระบบเศรษฐกิจพัฒนาขึ้น นักเศรษฐศาสตร์เคยทำนายไว้ว่าโภคทรัพย์ดอกผลต่างๆ จะตกกับผู้ใช้แรงงาน
เมธา : จิตรกับมาร์กซ์ กับคนหนุ่มสาวร่วมสมัย
เมธา มาสขาว กล่าวว่า คาร์ล มาร์กซ์ เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลผู้หนึ่งของโลก จากงานเขียนและความคิดของเขาเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ยังผลให้มนุษย์ราวหนึ่งในสามนำไปปฏิบัติ และอีกสองในสามนั้นก็กำลังโต้เถียงในเรื่องนี้ ระหว่างผู้ที่เกลียดชังเขา ผู้ที่ยังฝากความหวังไว้กับทฤษฎีของเขา รวมถึงผู้ที่ไม่รู้จักเขาด้วยเช่นกัน
ผมเคยเดินทางไปในหลายประเทศ พบพานเครือข่ายคนหนุ่มสาวที่ก้าวหน้าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกา เม็กซิโก ในยุโรป สเปน เยอรมนี ฮังการี ออสเตรีย ในเอเชีย อินเดีย เนปาล เกาหลี ในแอฟริกา ในเอเชียอาคเนย์ของเรา พวกเขาหลายคนยังคงตื่นเต้นกับคาร์ล มาร์กซ์ กับทฤษฎีของเขา ที่นักปฏิวัติมากมายนำไปปรับใช้ต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการถูกกดขี่จากระบบทุนนิยมและจักรวรรดินิยมในหลายประเทศทั่วโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ระหว่างปัจจัยการผลิต ระหว่างพลังการผลิตที่ก้าวหน้า กับมูลค่าส่วนเกินและระบบกรรมสิทธิ์ถูกตั้งคำถามไปทั่วพื้นที่ของโลก เลนินนำทฤษฎีของเขาไปประยุกษ์ใช้จนปฏิวัติรัสเซียสำเร็จ เหมาเจ๋อตุงและสหายนำทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้งของเขาไปสร้างชาติจีนใหม่ขึ้นจนสำเร็จ ไม่นับรวมสงครามเพื่อความเป็นธรรมอีกหลายพื้นที่ของโลกในนามของการปฏิวัติ
ในโลกนี้มีวีรบุรุษนัปฏิวัติมากมายที่นำความคิดชี้นำของเขามาต่อยอดปฏิบัติและปรับปรุง
หนึ่งในความทรงจำของผู้คน, เกียรติยศชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ทำให้เขารำคาญ จิตใจที่เสียสละ กล้าหาญ ล้วนคือตำนานของมนุษย์คนหนึ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งในยุคของเรา เขาคือ เช เกบารา ผู้กล่าวว่า "เราต้องฝึกตนเองให้แข็งแกร่ง แต่อย่าสูญเสียความอ่อนโยน"
เรื่องเล่าของวีรบุรุษของคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ที่ยังคงขลังและตราตรึงไม่เสื่อมคลาย สำหรับคนหนุ่มสาวค่อนโลกแล้ว เช เกบารา คือวีรบุรุษในดวงใจของใครหลายคน ตั้งแต่ฮิปปี้อเมริกาต่อต้านสงครามเวียดนาม ถึงกระทั่งขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนไทยหลังการเปลี่ยนแปลง 2516 รวมถึงคนหนุ่มสาวร่วมสมัยในปัจจุบัน ตั้งแต่แผ่นดินละตินอเมริกาถึงชายฝั่งเอเชีย-แปซิฟิค
ภาพของเขาผ่านการก๊อปปี้ครั้งแล้วครั้งเล่า.. เรื่องราวของเขาถูกเล่าผ่านนานนับไม่ถ้วน..
เขาผู้ไม่ยินยอมค้อมหัวให้อำนาจเผด็จการฟาสซิสต์ป่าเถื่อนและจักรวรรดินิยมใดๆ เขาผู้จากบ้านมาแต่ไกลเพื่อปลดปล่อยคิวบาจนได้รับชัยชนะ ทั้งยังทิ้งลาภยศสรรเสริญมุ่งหน้าสู่การปฏิวัติโบลิเวีย เพื่อร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เขาโดนกองกำลังทหารรัฐบาลโบลิเวียร่วมมือกับ CIA ปิดล้อมจับกุมเขาไว้ได้ ภายหลังเพื่อนของเขาตายเกือบหมด..
ด้วยความเป็นวีรบุรุษของฝ่ายซ้ายทั่วโลกในขณะนั้น ศัตรูถึงกลับตัดมือและเท้าของเขาเพื่อทำลายสัญลักษณ์ร่องรอยของศพ เพื่อฝังกลบตำนานแห่งการต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษของเขาให้โลกลืม,..
แต่กระนั้น 30 ปีให้หลัง ศพของเขาก็ถูกค้นพบ..
ฟิเดล คาสโตร ก็เช่นกัน, บุรุษนักรบผู้เคยสร้างประวัติศาสตร์ยืนปราศรัยคนเดียวโดยไม่มีโพยล่วงหน้านานร่วม 10 ชั่วโมง และเจ้าของอมตะวาจาที่เคยกล่าวว่า "ตราบใดที่การปฏิวัติยังไม่สิ้นสุดก็จะไม่ยอมโกนหนวดเคราทิ้ง"
ฟิเดล คาสโตร ได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาขึ้นบริหารประเทศ และประกาศลักษณะสังคมนิยมของการปฏิวัติคิวบา เป็น "สาธารณรัฐสังคมนิยม" ตั้งแต่ปี 2504 และปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง ว่าเป็นจอมเผด็จการและพยายามลอบสังหารเขาหลายร้อยครั้ง ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ถึงขั้นว่าสถานีโทรทัศน์ของอังกฤษเคยนำแผนลอบสังหารเขา มาทำเป็นสารคดีเรื่อง "638 แผนสังหารคาสโตร" เลยทีเดียว
มีรายงานว่า CIA ออกแบบสารพัดแผนลอบสังหารเขาภายใต้ชื่อปฏิบัติการต่างๆ นานับวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางยาพิษ บุกยิงประชิดตัว แอบผสมยาพิษในซิการ์ ใส่ยาพิษในปากกาหมึกซึม ไอศกรีม ในยาแอสไพริน กระทั่งใส่พิษแบคทีเรียในผ้าเช็ดหน้า ถ้วยชาและกาแฟ ก็ทำมาแล้ว รวมไปถึงแผนลอบวางระเบิดขณะไปเยือนพิพิธภัณฑ์เออร์เนส เฮมมิงเวย์ แต่แผนลอบสังหารบันลือโลกก็คือ การแอบซุกระเบิด 90 กิโลกรัม ไว้ใต้แท่นปราศรัยเมื่อครั้งที่เขาไปเยือนปานามาในปี 2543 แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยพบเห็นเสียก่อน เขาจึงรอดจากการลอบสังหารไปอย่างหวุดหวิด
เขาจึงได้ฉายาว่า แมวเก้าร้อยชีวิต และจากไปเมื่ออายุครบ 90 ปี รวมช่วงเวลา 10 ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา!.
แม้ว่าปัจจุบันสงครามเย็นผ่านพ้นไปแล้ว โลกเสรีนิยมยืนหยัดเหนืออุดมการณ์สังคมนิยมทั้งหลาย ผ่านองค์กรโลกบาลที่กำกับทิศทางเสรีนิยมใหม่ในอาณัติของบรรษัทข้ามชาติและกลุ่มนายทุนครอบโลก
แต่คนยืนหยัดสู้ ยังมีอยู่ ประธานาธิบดีอูโก ชาเบซ แห่งเวเนซุเอลา เป็นอีกหนึ่งคนที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกา เขามีแนวคิดสังคมนิยมทางเศรษฐกิจ และต่อต้านท่าทีจักรวรรดินิยมแบบสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาประกาศเมื่อปี 2003 ว่าจะเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับการซื้อขายน้ำมันเป็นเงินยูโร แทนการขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งหมดตามเดิม ซึ่งทำให้โลกเปลี่ยนการซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกเป็นเงินตราสกุลอื่นมากขึ้นในปัจจุบัน
อูโก ชาเบซ (Hugo Rafael Chávez Frías) ประธานาธิบดีแห่งเวเนซุเอลา จากพรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซุเอลา (PSUV) ผู้ประกาศ “แนวทางสังคมนิยมทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21” อันลือลั่น เขาเป็นใคร มาจากไหน ชีวประวัติของเขาจึงน่าติดตามศึกษายิ่งนัก ในฐานะผู้มาใหม่ในดินแดนละตินที่ผู้คนกล่าวถึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำนานมหาวีรบุรุษอย่าง เช เกบารา
ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ปี 2013 ด้วยวัย 58 ปี จากโรคมะเร็งรุมล้อม ชายหนุ่มจากลาตินอเมริกาผู้นี้ ฝากผลงานสังคมนิยมทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ไว้ได้อย่างน่านับถือ ขณะที่เศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยมและกลไกตลาดกำลังสั่นคลอน ไร้ความน่าเชื่อถือ เขานำการปฏิรูปสังคมนิยมไปปฏิบัติในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางการปฏิวัติโบลีวาร์ สร้างสภาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม จัดตั้งระบบสหกรณ์ที่มีกรรมกรเป็นผู้จัดการ รวมถึงโครงการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ โอนอุตสาหกรรมหลักหลายประเภทเป็นของรัฐ (Nationalization) โดยเฉพาะธุรกิจบริษัทน้ำมันและพลังงานซึ่งผูกขาดโดยต่างชาติ ให้กลายเป็นของรัฐและนำรายได้กลับคืนสู่ประเทศ รวมทั้งเพิ่มเงินทุนด้านสาธารณสุขและการศึกษาของรัฐ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนทั้งระบบ
ปฏิบัติการของชาเบซ ทำให้คลื่นของสังคมนิยมในศตวรรษที่ 21 ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นได้ก่อตัวทั่วลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เวเนซุเอลา นิการากัว โบลิเวีย ชิลี บราซิล อาร์เจนตินา เอกวาดอร์ กัวเตมาลา ซึ่งมีจุดยืนร่วมกันคือการปฏิเสธนโยบายทุนนิยมเสรีและการครอบงำจากอเมริกา ทำให้โลกตื่นตัวขึ้นอย่างมากว่า วันนี้โลกมีระบบเศรษฐกิจทางเลือกที่มากกว่าทุนนิยมอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ระบบเศรษฐกิจผสม หรือสังคมประชาธิปไตยในกลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic Countries) ก็ตาม และล้วนเป็นเรื่องน่าศึกษาเปรียบเทียบอย่างยิ่ง
หากเราพูดถึงการจัดการระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม หัวใจสำคัญคงเป็นเรื่อง “ชนชั้น” ที่มาจากความสัมพันธ์ทางการผลิต และ “ระบบกรรมสิทธิ์” ที่เป็นปัญหาสำคัญ และตามหลักการสังคมนิยมแล้ว สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถผลิตหรือสร้างสรรค์ขึ้นได้เอง ไม่ควรนำเข้าสู่ระบบกลไกตลาด เช่น ที่ดิน ทะเล และป่าไม้ ซึ่งควรถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของสังคม และการต่อสู้เรื่องระบบกรรมสิทธิ์นี้ นโยบายเรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของผู้คนเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ประเทศไทยและองค์กรทั้งหลายควรต้องพูดให้ชัดเจน
ระหว่างทางแยกนั้น การเลือกเส้นทางปฏิวัติเศรษฐกิจเพื่อประชาชน ทำให้อูโก ชาเบซ กลายเป็น “รัฐบุรุษ”.
ในประเทศไทยซึ่งเรารำลึกถึงกันในวันนี้ คือ จิตร ภูมิศักดิ์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพราะรัฐไทยไม่ให้พื้นที่เขามีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนหนึ่งที่มีภารกิจธุระทางประวัติศาสตร์ ที่นำเอาทฤษฎีคาร์ล มาร์กซ์มาปรับใช้ปฏิบัติ
เขาเป็นชายหนุ่มที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็น “ปัญญาชนปฏิวัติ” คนสำคัญของประเทศไทย เพราะเขาเป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์ และนักปฏิวัติ ในตัวคนเดียวกัน
เขาจากไปในวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 ในวัย 36 ปี หลังทิ้งผลงานเขียนทางวิชาการ สังคมและประวัติศาสตร์ไว้มากมายเกินคณานับ เขาถูกยิงที่ชายป่าหมู่บ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร หลังลงจากภูเขาแล้วเข้าผิดหมู่บ้านเพื่อขอเสบียงอาหารไปให้มิตรสหายร่วมรบบนภูสูง ทำให้บัณฑิตอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นี้ ถูกสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อ.ส.) ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันไล่ยิงจนเสียชีวิตอยู่ริมชายป่าในเวลาต่อมา
ทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำของผู้คนร่วมสมัย และชีวประวัติอันยิ่งใหญ่ที่สอดคล้องกับภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่เขาแบกรับ หนังสือที่เขาเขียนมากมายหลายเล่มกลายเป็น 1 ใน 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ตามโครงการวิจัยเพื่อคัดเลือกและแนะนำหนังสือดีในรอบศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็น “บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์”, “โฉมหน้าศักดินาไทย” หรือกระทั่งหนังสือที่ว่ากันว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดของจิตร ภูมิศักดิ์ เรื่อง “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” หนังสือที่ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยยกย่องว่า วิทยานิพนธ์ในโลกเกี่ยวกับภาษาไทยไม่มีที่ใดดีเท่านี้มาก่อน
ชีวิตอันมีภาระหน้าที่ของจิตร ภูมิศักดิ์ นั้น โลดแล่นหวาดเสียวมาแต่เยาว์ ด้วยความคิดที่ก้าวหน้า ตั้งคำถามและใฝ่หาคำตอบ เขาเคยสอบวิชาภาษาไทยได้ถึง 100 คะแนนเต็มจน พระยาอนุมานราชธน ครูผู้สอนต้องหักออก 3 คะแนน เพราะกลัวเขาจะเหลิง ในวัย 23 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกนิสิตวิศวกรรมศาสตร์รุมทำร้ายโดยการจับ “โยนบก” กลางหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะทำหน้าที่สาราณียกรให้กับหนังสือประจำปีของมหาวิทยาลัย และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาประเพณีนิยมแบบเก่าๆ เป็นบทความที่สะท้อนปัญหาสังคมมากขึ้น
ต่อมาในปี 2501 เขาถูกเผด็จการทหารโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับกุมคุมขังเป็นนักโทษการเมืองถึง 6 ปีในคุกลาดยาว ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในและภายนอกราชอาณาจักร และกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์ อันเป็นข้อหายอดฮิตของนักศึกษาปัญญาชนในยุคนั้นหลายคน และในพันธนาการนี้เอง เขาได้ใช้เวลาผลิตผลงานที่มีคุณค่าไว้มากมาย
ภายหลังได้รับการปลดปล่อยและพ้นข้อกล่าวหาในปี 2507 จิตร ภูมิศักดิ์ นำแฟ้มงานเขียนเรื่อง “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” ฝากไว้กับ สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของเมืองไทย ให้ช่วยเก็บรักษาต้นฉบับและช่วยจัดพิมพ์ให้เมื่อมีโอกาส หลังจากนั้น จิตร ภูมิศักดิ์ จึงเดินทางเข้าเขตป่าเขาเข้าร่วมกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ใช้ชีวิตปัญญาชนปฏิวัตินับแต่นั้นมา ต้นฉบับดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้โดยใส่กล่องฝังดินไว้ในสวนฝั่งธนบุรี และถูกขุดขึ้นมาจัดพิมพ์อีกครั้งในปี 2519 ก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 ตุลาคมไม่นาน
สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส เคยพูดถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ว่า “ตลอดเวลาหลายปีที่ได้รู้จักกันจนกระทั่งเขาจากไป จิตร ภูมิศักดิ์ มีความสำนึกที่หนักแน่นที่สุดอันหนึ่งที่ว่า เขามีภาระธุระ หรือภารกิจทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ส่วนใหญ่ ต้องทำให้เพื่อนมนุษย์ส่วนใหญ่มีความเจริญก้าวหน้า มีสถาพรภาพ มีความเป็นธรรมในสังคมโดยถ้วนหน้า เขาจึงได้ต่อสู้ตลอดมา เขาได้เคยทดลองต่อสู้ตามแนวที่บัณฑิตทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีรุ่นเก่าได้เคยทำมาแล้ว”
“และในที่สุดเขาก็พบวิธีการตามแนววัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักและเงื่อนไขที่ให้ความสว่างไสวแก่ภูมิปัญญาของเขาอย่างแจ่มชัดที่สุด และเขาได้ยอมรับเชื่ออย่างฝังลึก เนื่องจากมันเป็นหลักและเงื่อนไขซึ่งเกาะแน่นอยู่กับประชาชน”
การที่เขาเป็นทั้งนักทฤษฎีและนักปฏิบัติในตัวเอง และเสียสละภายใต้อุดมการณ์ที่ถือเป็นภาระหน้าที่นี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการยกย่องนับถืออย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการพิมพ์หนังสือของเขาเผยแพร่ซ้ำอย่างมากมายกว้างขวางอีกครั้ง ยิ่งทำให้ชื่อของเขาประทับในใจของคนหนุ่มสาวมากมายในยุคนั้น ไม่ต่างจากการชื่นชมนับถือวีรบุรุษนักปฏิวัติของคนหนุ่มสาวทั่วโลกอย่าง เช กูวารา แต่อย่างใด
ว่ากันว่า หากในโลกนี้ ประเทศจีนมียอดกวีชื่อ “หลู่ซิ่น” รัสเซียมี “แมกซิม กอร์กี” ประเทศไทยก็มี “จิตร ภูมิศักดิ์” ให้นับถือคารวะไม่น้อยหน้ากัน ทั้งสามคนเป็นนักคิดนักเขียน และยังเป็นนักปฏิวัติที่ยอมค้อมหัวเป็นงัวงานอุทิศความรู้รับใช้สังคมจนวาระสุดท้ายของชีวิต ภายใต้เข็มทิศที่เป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์
นั่นทำให้ความตายของจิตร ภูมิศักดิ์ อาจตายจากไปในประวัติศาสตร์ของคนที่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ แต่ไม่เคยตายจากไปจากผู้ใฝ่หาเรียนรู้ผลงานและชีวิตของเขา
ในอดีตท่ามกลางความขัดแย้งของประชาชน แต่บทเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เขาแต่งขึ้น ถูกร้องขับขานในเวทีการชุมนุมทางการเมืองทั้งของ กปปส. และ นปช.
ทั้งหมดนี้ ผมจึงขอยกคุณความความดีทั้งหมดให้ คาร์ล มาร์กซ์ ผู้ซึ่งถูกคิดถึงอยู่ทุกยามเมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยมเสรีที่เกิดขึ้นอยู่ทุกยาม เป็นวงรอบทางเศรษฐกิจ เมื่อทุนนิยมผูกขาดจนอวบอิ่ม และเมื่อทุนนิยมกลืนกินตัวเองไม่สิ้นสุด
“นักปรัชญาทั้งหลายเพียงแต่อธิบายโลกด้วยวิธีการต่างๆ แต่ความสำคัญนั้น อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงโลก” (มาร์กซ์, วิทยานิพนธ์เรื่องฟอยเออแบค บทที่ 6)
แด่ผู้ที่ยังไม่ตายและหายใจอยู่.
เคียงข้างกันเถิดสหาย
ความตายเป็นเพียงเรื่องเล่า
ลมหายใจคือชีวิตลิขิตเรา
นำพาเจ้าออกเดินทางไกล
ภาพจากเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/metha.matkhao
จักรพล : มาร์กซ์และจิตร ในฐานะนักปฏิวัติ
จักรพล ผลละออ ซึ่งตามกหนดการมีชื่อขึ้นพูดในงานนี้ แต่ติดธุระไม่สามารถร่วมได้ อย่างไร็ตามเขาได้เผยแพร่คำปาฐกถาของเขาวไว้ดังนี้
วันนี้ (5 พฤษภาคม) ในอดีตเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา คือวันที่ปิศาจตนหนึ่งได้ลืมตาตื่นขึ้นดูโลกใบนี้ ปิศาจตนนี้มีนามว่าคาร์ล มาร์กซ์ และจวบจนกระทั่วเวลาผ่านมาถึง 200 ปีกระทั่งร่างเนื้อของคาร์ล มาร์กซ์ได้สูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้วหากแต่ชื่อของเขายังคงวนเวียนสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและตามหลอกหลอนโลกใบนี้อยู่มิคลาย เสมือนเช่นปิศาจผู้มีชีวิตและจิตวิญญาณเป็นนิรันดร์อยู่เหนือกาลเวลา
แท้ที่จริงแล้วคาร์ล มาร์กซ์ นั้นก็มิได้เป็นปิศาจหรือผีร้ายตรงตามความหมายที่สื่อไป หากแต่อุดมการณ์และความใฝ่ฝันที่เขาทิ้งไว้ต่างหากที่เป็นเสมือนปิศาจและผีร้ายที่ตามหลอกหลอนผู้คนทั่วโลกอยู่ร่ำไป มาร์กซ์คิดสิ่งใด? และอุดมการณ์กับภาพใฝ่ฝันที่เขาทิ้งไว้นั้นคืออะไร?
คุณูปการสำคัญที่มาร์กซ์ได้ทิ้งเอาไว้ให้เรานั้นคือทฤษฎีและกรอบแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันในนามแนวคิดมาร์กซิตม์-คอมมิวนิสม์ อันเป็นแนวคิดที่ถูกตีตราจากสังคมโลกว่าเป็นระบอบที่ชั่วร้ายของพวกเผด็จการถึงขั้นถูกนำไปนับรวมไว้เป็นพวกเดียวกันกับแนวคิดฟาสซิสม์ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นก็คือแนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์เป็นเฉกเช่นนั้นจริงหรือไม่? คำตอบของผมในฐานะผู้สนใจศึกษาแนวคิดมาร์กซิสม์นั้นคือ ไม่! ในทางกลับกันแล้วคงต้องขอกล่าวย้ำให้กระจ่างชัดกันไปเสียว่าในโลกใบนี้นั้นไม่มีระบอบการปกครองใดที่เข้าใกล้สังคมคอมมิวนิสม์ที่มาร์กซ์ได้วาดฝันถึงไว้เลยแม้แต่สักสังคมเดียว หรือประเทศเดียว บรรดาประเทศทั้งหลายที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นก็เป็นแต่เพียงระบอบเผด็จการผูกขาดที่อ้างเอาคำว่าคอมมิวนิสม์มาใช้บังหน้าเท่านั้นเอง และหากจะมีประเทศใดที่เข้าใกล้คำว่าสังคมคอมมิวนิสม์ที่สุดแล้วก็เห็นจะมีแต่สหภาพโซเวียตในยุคการปกครองของเลนินและทรอสกี้เท่านั้น
แนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์นั้นนอกจากจะเป็นการวาดภาพถึงอนาคตของสังคมมนุษย์อันเจริญรุ่งเรืองขึ้นภายใต้ระบอบคอมมิวนิสม์เสมือนหนึ่งสังคมยูโทเปียแล้ว มันยังเป็นแนวคิดที่วิพากษ์วิจารณ์และโจมตีระบบชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ของระบบทุนนิยมที่เรากำลังเผชิญอยู่จนถึงรากถึงโคน แนวคิดมาร์กซิสม์ในเบื้องแรกนั้นอาจจะฟังดูคล้ายแนวคิดเพ้อฝันที่เป็นนามธรรมไม่อาจจะจับต้อง หรือเป็นจริงไปได้ ทว่าในอีกด้านหนึ่งนั้นตัวมันเองก็มีลักษณะที่เป็นวัตถุนิยม และเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม คือยึดตรงต่อความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจับต้องได้ และด้วยปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธีนั้นก็ทำให้เราสามารถพิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ กลายเป็นศาสตร์ในการอธิบายประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ อันแสดงให้เราได้เห็นประจักษ์ว่าประวัติศาสตร์และความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติที่ผ่านมานั้นถูกสร้างขึ้นจากเลือดเนื้อหยาดเหงื่อและกำลังของชนชั้นแรงงาน มิใช่ว่าสร้างขึ้นจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด
ในทางกลับกันแล้วมาร์กซ์ยังได้เสนอให้เห็นว่าบรรดาปัจเจกบุคคล อันเป็นคนส่วนน้อยที่ดำรงตนอยู่ในชนชั้นปกครองนี้เองที่เป็นเสมือนกาฝากของสังคม อันได้กระทำการกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบชนชั้นแรงงานผู้เป็นคนจำนวนมากของโลกเสมอมา แม้กระทั่งในสังคมปัจจุบันที่เรียกกันว่ายุคโมเดิร์นนี้ ที่มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ และกระแสเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่ป่าวประกาศว่าสังคมทาสและศักดินานั้นได้สูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ผู้เสรีที่จะแข่งขันกันตามเจตจำนงเสรีภายใต้ระบบตลาด หากทว่านั่นก็เป็นแต่เพียงคำหลอกลวงเสมือนดังคำหวานซ่อนยาพิษ เพราะในปัจจุบันนี้พวกเราทุกคนต่างก็ตกอยู่เป็นทาสเบื้องล่างของชนชั้นนายทุน ของระบบทุนนิยมที่เราไม่อาจจะหลีกหนีมันได้ ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในปัจจุบันนั้นได้ก่อให้เกิดกระบวนการเข้มข้นขึ้นของทุน ระบบทุนนิยมสร้างแรงงานฟรีแลนซ์ขึ้นมาพร้อมภาพฝันว่าคนกลุ่มนี้คือแรงงานที่ได้รับอิสรภาพอันสูงสุด ได้เป็นแรงงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง หากแต่นั่นคือคำหลอกหลวงทั้งเพ สิ่งที่เป็นจริงของกลุ่มแรงงานฟรีแลนซ์นั้นคือการผลักภาระและความเสี่ยงออกจากมือของนายทุนไปสู่ชนชั้นแรงงาน แรงงานกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้เผชิญความเสี่ยงในทุกด้าน และต้องทำงานที่หนักขึ้นเพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่มากพอต่อการดำรงชีพ กระบวนการเข้มข้นขึ้นของทุนได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปอย่างมาก จริงอยู่ที่ในปัจจุบันนี้เรามิได้เป็นไพร่ทาสติดที่ดินเหมือนอย่างในระบบศักดินา แต่ทว่าเรากลับกลายเป็นไพร่ทาสติดหนี้ระบบการเงินและบัตรเครดิต ที่บีบคั้นให้เราต้องทำงานอย่างหนักเพียงเพื่อนำมาจ่ายหนี้ที่อาจจะเกิดจากการกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ฯลฯ
และเมื่อมาร์กซ์ได้จุดประกายไฟชูธงนำให้ชนชั้นแรงงานได้รวมตัวกันเข้าเพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยมนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือเรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ชื่อของเขาจะกลายมาเป็นปิศาจที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับบรรดาชนชั้นปกครองและชนชั้นนายทุนที่คอยกดขี่ขูดรีดชนชั้นแรงงานเสมอมา ถึงขั้นจะต้องพยายามหาลู่ทางในการทำลายอุดมการณ์ของเขาลงในทุกวิถีทาง เหมือนเช่นครั้งที่ฟรานซิส ฟูกูยามา ได้เขียนหนังสือชื่อ ‘The End of History’ ที่มีเนื้อความกล่าวอ้างถึงชัยชนะของระบบตลาดเสรีที่ได้กำชัยเหนือแนวคิดมาร์กซิสม์-คอมมิวนิสม์ ว่านี่จะเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์มนุษย์และสังคมมนุษย์จะยิ่งเจริญยิ่งขึ้นไปภายใต้ระบบทุนนิยมตลาดเสรี จนกระทั่งเวลาได้ผ่านมายี่สิบปีจนถึงปัจจุบันนี้ สภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเชิงประจักษ์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าโลกไม่ได้เจริญขึ้นตามอย่างที่ฟูกูยามาได้กล่าวอ้าง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะเรียกปัญหาสงคราม ความยากจน ความอดอยาก ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ที่รุนแรงขึ้นนี้ว่าเป็นความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติ
สำหรับในปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่นั้นมักจะรับรู้กันว่ามาร์กซ์เป็นเพียงนักปรัชญานักทฤษฎีหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และรับรู้กันว่าจิตร ภูมิศักดิ์นั้นเป็นแต่เพียงนักคิด นักประพันธ์เพลง ประพันธ์กลอนกวี หากแต่น้อยคนนักที่จะรู้ในอีกด้านหนึ่งนั้นทั้งคาร์ล มาร์กซ์และจิตร ภูมิศักดิ์ ต่างก็เป็นนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อหวังจะสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าให้กับมนุษย์ทั้งผอง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)