ตัวแทนภาคประชาชนและชาวชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยายื่นเอกสารประกอบคำร้องเพิ่มเติม กรณีโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา โต้มหาดไทย-กทม. ยัน โครงการไม่ดำเนินการตามกรอบที่วางอย่างครบถ้วน ขาดการมีส่วนร่วมตั้งแต่ทำแม่บท ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอ
(เสื้อสีเหลือง) ภารนี สวัสดิรักษ์ เดินทางเข้ายื่นเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมที่ศาลปกครอง
29 เม.ย. 2562 ที่ศาลปกครอง ภารนี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการด้านผังเมือง เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคมพร้อมด้วยทนายความ เดินทางมาเป็นตัวแทนยื่นเอกสารคำชี้แจงเพิ่มเติมกรณีที่เธอ ภาคประชาสังคมและตัวแทนชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาฟ้องศาลปกครองกรณีโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา (ต่อไปเรียกว่า โครงการฯ) ที่ฟ้องไปเมื่อ 21 พ.ย. 2561 ในคดีหมายเลขดำที่ ส.88/2561 ระหว่างเครือข่ายวางแผนผังเมืองเพื่อสังคมกับพวกรวม 12 คน และคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 4 คน
ภาค ปชช. ฟ้องศาลปกครอง พับโครงการทางเลียบเจ้าพระยา
ทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา: สำรวจข้อถกเถียง-การมีส่วนร่วม(ในกรอบที่วางไว้แล้ว)
ผู้ถูกฟ้องในคดีนี้คือคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร โดยทางผู้ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าโครงการฯ มีลักษณะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ระบบนิเวศในกรณีที่โครงการเริ่มดำเนินแล้ว และให้ ครม. มีกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อดำเนินการคุ้มครองและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
หลังจากนั้น ในวันที่ 24 มี.ค. 2562 ผู้ฟ้องที่สามและสี่ (กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ) ได้มีหนังสือชี้แจง กรณีที่คำฟ้องเมื่อเดือน พ.ย. 2561 มีใจความโดยสรุปว่าการดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามข้อสั่งการประชุม ครม. เมื่อ 21 ต.ค. 2557 มติ ครม. 9 ธ.ค. 2557 และ 12 พ.ค. 2558 ที่มีวัตถุประสงค์จะพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในลักษณะสะพานยกสูงเพื่อเป็นทางสัญจรรองรับการเดินทางด้วยจักรยาน (Bike Lane) ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างงานก่อสร้าง และหากศาลมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างหรือระงับการดำเนินโครงการฯ ไว้ก่อนจนกว่าคดีจะสิ้นสุด จะทำให้การดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ซึ่ง กทม. ได้รับงบประมาณก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560-2562 จะทำให้เสียโอกาสพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อให้ปะรชาชนส่วนใหญ่ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน เช่น การชมกิจกรรมทางน้ำในเทศกาลต่างๆ การสันทนาการและการใช้ประโยชน์เพื่อการออกกำลังกายและพักผ่อน เป็นต้น
ในวันนี้ (29 เม.ย. 2562) ผู้ฟ้องจึงส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมให้กับศาลปกครองเพื่อยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวกับแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำที่ถูกจัดลำดับว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติตามอนุสัญญาแรมซาร์จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์แห่งการปฏิบัติต่อพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญระดับชาติ และกฎหมายเกี่ยวกับการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่โครงการฯ กลับดำเนินไปก่อนแล้วในส่วนการจัดจ้างที่ปรึกษาให้ศึกษาโครงการ ชดใช้ค่าเสียหายให้การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปจนถึงขอความเห็นชอบดำเนินการจัดจ้างโครงการ
เอกสารยังระบุว่า ในส่วนของ TOR หรือรายละเอียดและขอบเขตของโครงการฯ ไม่ถูกดำเนินการครบถ้วนโดยเฉพาะขั้นตอนการจัดทำแผนแม่บท แต่กลับทำการออกแบบรายละเอียดโดยประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงหรือได้รับข้อมูลในขั้นตอนการจัดทำแผนแม่บท อีกประการหนึ่ง TOR ระบุว่าจำเป็นต้องศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต กทม. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการออกแบบรายละเอียดโครงการฯ ช่วงสะพานพระราม 7 - สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้านั้น ไม่มีการดำเนินการในกระบวนการที่สำคัญนี้
นอกจากนั้นผู้ฟ้องยังชี้แจงว่าการเร่งดำเนินโครงการจะทำให้เกิดความเสียหายและขาดการบูรณาการตามยุทธศาสตร์ชาติ เนื่องจากขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ได้ดำเนินการตมกระบวนการและสาระที่กำหนดตามข้อกำหนดการศึกษา และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมในการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบ ไม่เคยมีการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อการมีส่วนร่วมแต่อย่างใด การระงับโครงการไว้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวเพื่อให้มีการมีส่วนร่วม ทบทวน และจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ริมน้ำ การจัดทำแผนงาน โครงการ รวมทั้งการออกแบบโครงการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
รู้จักทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา
ทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเป็น 1 ใน 12 แผนงานจากโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของกระทรวงมหาดไทย ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 9 ธ.ค. 2557 โดยให้สำนักการโยธา กทม.รับผิดชอบดำเนินโครงการ
เดิมทีการดำเนินโครงการเป็นไปอย่างเร่งรัด มติ ครม.วันที่ 12 พ.ค. 2558 ระบุว่าจะมีการลงนามในสัญญาจ้างภายในเดือน ธ.ค. 2558 แล้วใช้เวลาก่อสร้างรวม 18 เดือน (ม.ค.2559 - ก.ค.2560) โดยขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการโครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาโครงการอื่น เช่น สะพานปลากรุงเทพ อู่เรือกรุงเทพ ให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับโครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
12 โครงการพัฒนาริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ เจ้าพระยา ฟอร์ ออล (Chaophraya for All)
- ทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา
- ปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อน
- พัฒนาท่าเรือ
- พัฒนาศาลาท่าน้ำ
- พัฒนาพื้นที่บริการสาธารณะ
- พัฒนาเส้นทางการเข้าถึงพื้นที่
- ปรับปรุงพื้นที่แนวคูคลองประวัติศาสตร์
- พัฒนาพื้นที่ชุมชน
- อนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ศาสนสถาน
- พัฒนาพื้นที่นันทนาการและสวนสาธารณะริมน้ำ
- พัฒนาจุดหมายตา (แลนด์มาร์ก) ริมแม่น้ำ
- พัฒนาสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
โดย นัฐพล ไก่แก้ว (คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
เฟสแรกจะดำเนินการโครงการที่ 1-6 ก่อน ในส่วนของทางเลียบฯ นั้นมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนทำให้มีการปรับแผนงานมาตลอด กระทั่งเดือน พ.ย. ปี 2561 มีข่าวว่าโครงการฯ กำลังอยู่ในขั้นตอนขอความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยเพื่อทำประกวดราคาก่อสร้างทางเลียบฯ ในส่วนนำร่อง เริ่มตั้งแต่สะพานพระราม 7 - สะพานพระปิ่นเกล้า ระยะทางฝั่งละ 7 กม. รวมสองฝั่งเป็น 14 กม. จากระยะทางทั้งหมดของโครงการ 57 กม.โดยใช้งบราว 8,363 ล้านบาท ในส่วนโครงการนำร่องแบ่งสัญญาก่อสร้างออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 3.5 กม. ดังนี้
ช่วงที่ 1 จากพระราม7 - คลองบางซื่อ วงเงิน 1,770 ล้านบาท
ช่วงที่ 2 จากคลองบางซื่อ - สะพานปิ่นเกล้า วงเงิน 2,470 ล้านบาท
ช่วงที่ 3 จากสะพานพระราม7 - คลองบางพลัด วงเงิน 2,061.5 ล้านบาท
ช่วงที่ 4 จากคลองบางพลัด - คลองสามเสน วงเงิน 2,061.5 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทยและ กทม. ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เป็นที่ปรึกษา สำรวจ ออกแบบและจัดทำแผนแม่บทโครงการด้วยงบประมาณราว 120 ล้านบาท
ข้อมูลจากกลุ่มภูมิสถาปัตยกรรม สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรระบุว่า ตลอดเส้นทาง 14 กม. มีชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสำคัญ 32 ชุมชน การสำรวจจาก กทม. พบว่ามีบ้านเรือนที่ปลูกสร้างรุกล้ำริมแม่น้ำจำนวน 273 หลังคาเรือนใน 15 ชุมชน มีท่าเทียบเรือหรือโป๊ะเทียบเรืออีก 9 แห่ง จึงให้สำนักงานเขตที่รับผิดชอบ ได้แก่ เขตดุสิต บางซื่อ บางพลัด ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สอบสวนสิทธิ์ ประมาณราคาสิ่งปลูกสร้าง รื้อย้ายและจัดหาที่อยู่ใหม่ให้ผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีการทยอยรื้อย้ายบ้านเรือนตั้งแต่กลางปี 2561
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)