ขณะที่หลายภาคส่วนในสังคมเริ่มเห็นความสำคัญของการปฏิรูปการเมืองรอบสองนั้น นักการเมืองอาจจะให้ความสนใจการปฏิรูปการเมืองเพียงแค่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและจะต้องเร่งทำให้แล้วเสร็จภายในไม่กี่เดือนนั้น แต่ก็มีนักวิชาการ และภาคประชาชนบางส่วนเริ่มท้วงติงแล้วว่าการปฏิรูปการเมืองนั้นไม่อาจทำเพียงด้านเดียวเท่านั้น สิ่งที่สังคมตกหล่นไปคือการปฏิรูปสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย ความหมายก็คือ หากเรามีระบอบการเมืองมีกลไกตรวจสอบโปร่งใส มีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน และเข้าไม่ถึงทรัพยากร สวัสดิการสังคมยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าการปฏิรูปนั้นประสพความสำเร็จแต่อย่างใด เพราะการปฏิรูปหมายถึงการทำให้คุณภาพชีวิตของคนในสังคมดีขึ้นด้วย
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจัดเวทีหารือเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิรูปการเมือง มีหน่วยงานหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันธรรมรัฐ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ในเวทีดังกล่าวได้มีการนำเสนอประเด็นการปฏิรูปการเมืองที่น่าสนใจว่า การปฏิรูปการเมืองจะต้องปฏิรูปสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย โดยจะต้องครอบคลุมประเด็นที่เป็นปัญหาหลักของสังคมไทย ได้แก่การจัดการทรัพยากรดิน น้ำ ป่า พลังงาน ความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ การกำหนดนโยบายสาธารณะ ปฏิรูปสื่อสาธารณะ ที่สำคัญต้องแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในระดับรากหญ้า
ความจริงปัญหาสังคมที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาเนิ่นนาน แต่มาในช่วงที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" นั้นทำให้ปัญหาดังกล่าวโดดเด่น เห็นชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นใคร มาจากไหน จึงเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่ดีที่ภาคประชาชนจะช่วยกันทำให้ประเด็นการปฏิรูปการเมือง และสังคมมีความคมชัด และเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการพูดของนักการเมืองที่เอาไว้หาเสียง สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองเท่านั้น
ประเด็น "สวัสดิการสังคม" เป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาระบบสวัสดิการของสังคมเป็นลักษณะของสังคมสงเคราะห์ คือหน่วยงานรัฐเป็นผู้จัดการ จนกระทั่งปี 2533 รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกันสังคม ทำให้ระบบสวัสดิการเปลี่ยนไปจากที่เน้นการสงเคราะห์มาเป็นแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองโดยการจ่ายเงินสมทบ
แต่ระบบแบบนี้ก็ยังคุ้มครองเฉพาะกลุ่มคนที่มีงานทำ และสังกัดอยู่ในหน่วยงานภาคเอกชน และผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แม้จะมีข้อเสนอให้มีการปรับปรุง พ.ร.บ.ประกันสังคมให้มีขอบเขตกว้างขวางขึ้น แต่ก็ยังไม่มีผลใด ๆ
ระบบสวัสดิการสังคมของไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุครัฐบาลทักษิณที่มีนโยบายประชานิยม แต่เป็นลักษณะสวัสดิการแบบเอื้ออาทร เช่น นโยบายด้านสาธารณสุขภายใต้แนวคิดหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการบ้านเอื้ออาทร กองทุนหมู่บ้าน โครงการพักหนี้เกษตรกร เป็นต้น
การดำเนินนโยบายเอื้ออาทรเหล่านี้ สมารถกระจายไปยังกลุ่มประชาชนในวงกว้างได้ จนทำให้รัฐบาลทักษิณกลายเป็นที่นิยม จนสามารถชนะการเลือกตั้งถล่มทลายถึง 19 ล้านเสียงในสมัยที่แล้ว ซึ่งทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการกุมเสียงเบ็ดขาดในสภา
อย่างไรก็ตามสวัสดิการแบบเอื้ออาทรของรัฐบาลทักษิณ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการจากหลายภาคส่วนว่าเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ในการขยายฐานเสียงของตนเอง เมื่อเร็วๆ นี้ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี และผศ.ดร.วัฒนา สุกัณศีล จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีได้นำเสนอบทความประเด็นดังกล่าวไว้ในเวทีที่จัดโดยศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยอย่างน่าสนใจว่าแม้ว่านโยบายของทักษิณจะมีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือสามารถกระจายทรัพยากรไปให้กลุ่มประชาชนที่เป็นฐานเสียงในวงกว้างได้
แต่ปัญหาของระบบนโยบายดังกล่าวยังไม่กระทบทรัพย์สินในกลุ่มชนชั้นสูง เช่นในตลาดทุน และตลาดการเงิน ดังนั้นอาจารย์ทั้งสองท่านจึงมีข้อเสนอแนะว่าหากจะมีการปฏิรูปนโยบายจะต้องใช้ภาษีก้าวหน้า ภาษีในตลาดทุน และขยายการคุ้มรองการจัดการเรื่องประกันสังคม ประกันการว่างงาน ประกันการศึกษา ประกันสุขภาพอย่างทั่วด้าน ซึ่งจะถือว่าเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการสังคมในแบบใหม่ที่กระจายผลประโยชน์ไปสู่กลุ่มคนในวงกว้างที่เป็นธรรมและยั่งยืนจริงๆ
ด้านจอน อึ๊งภากรณ์ ส.ว.กรุงเทพฯได้เสนอรายงานเรื่องหลักประกันทางสังคมก็ได้แสดงความเห็นว่านโยบายด้านสวัสดิการสังคมของรัฐบาลทักษิณนั้น โดยเฉพาะเรื่อง 30 บาทที่ใช้เป็นนโยบายหาเสียงมาโดยตลอดนั้นพบว่ามีทั้งด้านบวก และลบ ด้านบวกคือเป็นการริเริ่มที่ดี แต่ด้านลบคือในทางปฏิบัติรัฐบาลไม่ได้หางบประมาณพอที่ทุกคนจะใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เกิดปัญหาการบริการที่ไม่ดี
ส่วนสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ นายจอนมีความเห็นว่ายังให้เงินไม่ครบถ้วนทั้งประเทศ และจำนวนเงินไม่เพียงพอคือเพียง 300 บาทต่อหัวต่อเดือน ทั้งนี้อย่างน้อยน่าจะได้ 1,000 บาทขึ้นไปต่อหัวต่อเดือน ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศมีความเห็นว่าไทยสามารถทำได้ แต่ต้องเก็บภาษีคนรวย เช่นภาษีมรดก ภาษีหุ้น แต่รักษาการรัฐบาลชุดปัจจุบันคงปฏิเสธแน่นอน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์
ส่วนสวัสดิการด้านการศึกษา แม้รัฐบาลทักษิณจะชูนโยบายการปฏิรูปการศึกษา แต่ในความเป็นจริงโอกาสด้านการศึกษาของคนจนกลับถอยหลัง ในระดับประถม-มัธยมไม่ได้เรียนฟรีจริง เพราะมีการเก็บค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากมายจากกองทุนกู้ยืมสำหรับมัธยมปลายโดนยกเลิก เช่นเดียวกับกองทุนกู้ยืมระดับอุดมศึกษาที่ถูกยกเลิกไปเป็นกองทุนให้ผู้กู้คืนหลังมีงานทำ ทุนนี้ยังไม่รวมค่ากินอยู่ หรือหอพัก ทำให้คนจนมีโอกาสยากขึ้นที่จะเรียนในระดับมัธยมปลาย และอุดมศึกษา
ดังนั้นในการปฏิรูปการเมือง และสังคมจึงไม่อาจปฏิเสธปัญหาการจัดการด้านสวัสดิการของภาครัฐที่ยังคงเป็นเพียงนโยบายประชานิยม ที่ยังไปไม่ถึงแก่นแท้ของการจัดการสวัสดิการ หากจะมีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง การจัดการด้านสวัสดิการสังคมควรจะมีการนำบทเรียนการจัดการสวัสดิการที่ผ่านมา ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของจากภาคีหลายภาคส่วนที่เสนอไปแล้วมาทบทวนด้วย
ที่สำคัญการจัดการสวัสดิการสังคมควรจะครอบคลุมกลุ่มคนได้อย่างกว้างขวาง และเท่าเทียมจริงๆ มิใช่เป็นเพียงแค่นโยบายหาเสียงอย่างที่ผ่านมา.
สำนักข่าวประชาธรรม
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)