การเลือกตั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไปถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่สนุกสนานที่สุดเท่าที่เคยมีการจัดการเลือกตั้งมาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการหาเสียงที่แปลกใหม่ของพรรคการเมืองต่างๆ อีกทั้งผู้สมัครหลายๆคนที่สร้างก็ได้สร้างสีสันให้การเลือกตั้ง

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องใหม่ไปเสียหมด เพราะสิ่งเก่าที่เคยเป็นพื้นฐานของการเลือกตั้งในครั้งก่อน โผล่มาให้เห็น เป็นวิชามารที่เคยนิยมใช้กันในอดีต ซึ่งแม้จะผ่านเวลามานาน แต่วิธีการเหล่านั้นก็ดำรงอยู่ นั่นคือ สารพัดวิชามารการเมือง

เริ่มต้นด้วยกระบวนท่าแรก

1.การทำลายป้ายหาเสียงคู่ต่อสู้ เป็นวิชามารทางการเมืองที่ไร้สาระที่สุดแต่ได้ผลเกินคาด เพราะสามารถที่จะตัดทุนรอนของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ และหากนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามลืมตัวอาจใช้เงินกับป้ายหาเสียงจนเกินตัวเลขที่ทาง กกต.ได้ตั้งไว้ แต่ก็มีวิธีใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้เกี่ยวกับป้าย นั่นคือ การขโมยป้ายของผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามแล้วนำมารีไซเคิลเป็น ป้ายหาเสียงของตนเองนับว่าเป็นวิธีการที่ร้ายกาจมากนัก

2.ออกแถลงข่าวกรณีป้ายโดนทำลาย วิธีการนี้เป็นวิชามารต่อเนื่องจากวิชามารที่หนึ่งเป็นการแก้เกมส์กันอย่างลงตัว เพราะในช่วงเวลาหาเสียงนั้น การเมืองคือข่าวที่ขายได้ และเมื่อผู้สมัครคนใดถูกทำลายป้ายหากมีการแถลงข่าว นักข่าวมากันตรึม ถือว่าเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสสามารถโปรโมทตัวเองผ่านสื่อต่างๆได้ ซึ่งเมื่อเป็นดังนั้น ผู้สมัครหลายคนก็อยากเอาอย่างบ้าง โดยการ ทำลายป้ายของตนเสียเองเพื่อโปรโมทก็มี

3.วิธีการนี้ก็เป็นเรื่องของป้ายเหมือนกัน นั่นคือ การใส่ร้ายป้ายสี เป็นวิชาที่คนใช้ต้องมีศิลปะในการใช้อาวุธทางวาจาเป็นอย่างดี ด้วยการพูดให้ประชาชนนั้นเข้าใจให้ได้ว่า ผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามนั้น "เลว" โดยไม่สามารถที่เอาผิดกับผู้กระทำได้ในข้อหาหมิ่นประมาท เป็นวิชามารที่ค่อนข้างเสียดแทงใจคนเคร่งศีลธรรม โดยเฉพาะคนที่ถือศีล 5 มุสา

4.ข่มขุ่คุกคาม กระบวนท่าหาเสียงนี้เป็นการโชว์แสนยานุภาพให้ฝ่ายตรงข้ามนั้นได้เห็น มีหลายระดับตั้งแต่เบาะๆจนเจียนตาย ตั้งแต่ส่งคนไปข่มขู่ ยิ่งปืนกราดไปหน้าบ้าน หรือจับหัวคะแนนมาซ้อมเล่นๆ ผลของการปฏิบัติการในวิธีนี้ ได้ผลบ้างเป็นบางครั้งแต่ไม่ทั้งหมดแน่นอน เพราะยังมีหัวคะแนนของผู้สมัครอีกหลายคนที่ยึดถือคติ "ฆ่าได้หยามไม่ได้" นอกจากนั้นยังมีข่มขู่อีกประเภท ชนิดไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่ใช้อำนาจหน้าที่บีบมาเป็นทอด หากคุณช่วยฉัน ฉันก็จะช่วยคุณ หากไม่ช่วยกัน ฝันไปเถอะว่าจะโครงการที่เสนอมาจะผ่าน แบบนี้เสียงร่ำลือก็ออกจะหนาหูเป็นมารที่กัดกร่อนศักดิ์ศรี

5.เด็ดหัวคะแนน วิธีการนี้เฉียบคมที่สุดแต่ก็ส่งผลร้ายต่อตัวเองที่สุด การใช้วิธีนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีการใช้มือสังหารของตัวเอง เพราะสามารถที่จะสืบมาถึงตัวได้ ผู้สมัครส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้บริการของซุ้มมือปืนมากกว่า เพราะมีกระบวนการจ้างงานหลายทอด ยากต่อการที่นตำรวจจะขยายผล

6.บีบน้ำตา วิชามารชนิดนี้ดูเหมือนเป็นวิชามารการเมืองที่มีศีลธรรมมากที่สุด เพราะไม่ได้ไปฆ่าใคร ศีล 5 ที่เคยถือไว้ก็ไม่ขาด เพียงแค่รีดความรู้สึกให้ถึงพร้อม รีดละอองน้ำในตาให้เอ่อท้น ในเวลาที่มีการแถลงข่าวเท่านั้นเอง ก็จะได้เสียงคะแนนความสงสารซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน คือ กลุ่มละครหลังข่าวช่อง 7แต่ก็ต้องระวังเพราะผู้สมัครบางคนเลือกใช้วิธีนี้โดยไม่ดูสารรูปตัวเอง จนกลายเป็นที่หยะแหยงของประชาชนทั่วไป

7. "เงินคือพระเจ้า" หลักการนี้ถือเป็นหัวใจของวิชามารขั้นสุดท้าย ที่มีความแน่นอน ชัดเจน รับรองผลได้ว่าไม่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซนที่ได้ลงทุน เพียงแค่เตรียมเงิน เตรียมหัวคะแนน ส่งเงินพวกนี้ให้ถึงประชาชนผู้มีสิทธิ เท่านี้คะแนนเสียงที่เคยมีอยู่น้อยนิดก็จะพอกพูนจนสามารถชนะคู่แข่งได้ แต่กระบวนท่านี้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง หากมีการจับได้ก่อนเลือกตั้งอาจจะเป็นผู้สมัครที่โดน "ยี้" หากจับได้หลังเลืกตั้งอาจต้องเจอ กกต.

ยังมีกระบวนที่ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอีกมาก และออกจะเป็นวิชามารที่เหนือความคาดหมายเสียด้วย ท่านพบเห็น หรือเจอะเจอสิ่งใด แจ้งบอกสังคมพลเมืองเหนือมาบ้างก็ได้เน้อ !

1.เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ ปชป.เขต 1 ชม. บอกว่าป้ายผ้าของเธอถูกทำลายนับ 10 ในโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง 4 วัน จับวัยรุ่นได้ 1 คน ปฏิเสธถูกจ้างวาน เผยทำไปเพราะเมาสุรา

2.นรพล ตันติมนตรี มหาชนเขต 8 ชม.ร้องถูกปลดป้ายในตอนแรก และหลังจากนั้นรุดเข้าร้องเรียนกกต. คู่แข่งขันหาเสียงแบบแจกสิ่งของและสัญญาว่าจะให้

3.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาชนเขต… …พะเยา ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับสมญานามว่า ผู้กำกับสน.ไอทีวี วันนี้ต้องกรีดน้ำตาเพราะถูกข่มขู่หนัก ถูกตัดสายเบรค ถูกรถตามประกบสารพัด

4.อินทิรา นาทองบ่อ มหาชนเขต..เชียงราย ร้องถูกข่มขู่และเจ้าหน้าที่รัฐไม่เป็นกลาง

ประชาไทรายงาน