เมื่อวันที่ 1 ส.ค.50 นาย
"โครงการพืชสวนโลกนั้นเป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดมาแต่ต้น ขัดต่อเจตนารมณ์ของอุทยานฯ ซ้ำยังมีการปรับพื้นที่ ปรับภูมิทัศน์ ไถป่าซึ่งล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงและทำลายระบบนิเวศน์ ขณะที่การศึกษานั้นก็มิได้เป็นการศึกษานิเวศวิทยาท้องถิ่น แต่เป็นการนำพืช สัตว์ต่างถิ่นมาแสดงให้ประชาชนดู ซึ่งกรณีเหล่านี้ล้วนขัดกับเจตนารมณ์ของอุทยานฯ ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่รัฐบาลชุดนี้เพิกถอนเขตพื้นที่พืชสวนโลกจำนวน 470 ไร่ออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุยจึงเท่ากับไม่เป็นการยอมรับความผิดที่เกิดขึ้น ซ้ำยังเดินหน้าโครงการต่อ นั่นหมายความว่ารัฐกำลังทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย" นายนิคม กล่าว
ผอ.โครงการจัดการลุ่มน้ำปิงตอนบน กล่าวต่อว่า การเพิกถอนพื้นที่พืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุยนั้นจะเกิดปัญหาอย่างน้อย 3 ประการคือ 1.แน่นอนว่าขัดต่อหลักเจตนารมณ์ของอุทยานแห่งชาติ และนั่นย่อมนำไปสู่ผลกระทบด้านระบบนิเวศน์และทรัพยากรธรรมชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้ 2.จะนำไปสู่การนำวิธีการเดียวกันนี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ ส่งผลให้พื้นที่อุทยานฯ ลดลง การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ในเชิงพานิชจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และ 3.ผู้ได้รับประโยชน์จากกรณีนี้ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกลุ่มทุน ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นเหตุผลเหล่านี้ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการเพิกถอนพื้นที่โครงการพืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุย
ศ.เฉลิมพล แซมเพชร ผู้ประสานงานภาคีคนฮักเจียงใหม่ กล่าวว่า กรณีนี้ภาคีคนฮักเจียงใหม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่พืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุย เพราะปัญหาผลกระทบที่จะตามมานั้นมีมากมาย ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมานั้นภาคีคนฮักเจียงใหม่ได้เข้าพบนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งได้พบ ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(อพท.) โดยได้นำเสนอปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการพืชสวนโลกมาแล้ว พร้อมทั้งแสดงจุดยืนว่ากรณีการเพิกถอนพื้นที่พืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุยนั้นเราไม่เห็นด้วย
"หากเพิกถอนพื้นที่พืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯแล้วเราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจจะตามมา และนั่นย่อมส่งผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียงที่ยังเป็นเขตอุทยานฯ ด้วย และในอนาคตก็ยังมีข่าวว่าพืชสวนโลกจะขอพื้นที่เพิ่มเติมจากเดิมอีกกว่า 400 ไร่ ซึ่งนั่นจะทำให้ปัญหาบานปลายไปใหญ่ ดังนั้นเราเห็นว่าเราไม่เห็นด้วยกับการเพิกถอนพื้นที่ครั้งนี้ ขณะเดียวกันเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่ในโครงการพืชสวนโลกก็ควรพัฒนา ฟื้นฟูให้เป็นศึกษาเรียนรู้ แหล่งนันทนาการของประชาชน โดยผลประโยชน์ในทางธุรกิจนั้นให้เอาไว้เป็นอันดับสุดท้าย" ศ.เฉลิมพล กล่าว
ทั้งนี้ แนวคิดการเพิกถอนพื้นที่โครงการพืชสวนโลกออกจากเขตอุทยานฯสุเทพ-ปุยนั้น เกิดจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการนำพื้นที่ดังกล่าวจัดสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติและเปิดให้ประชาชนเข้าชม รวมทั้งจะมีการบริหารจัดการด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมานั้นกระทรวงเกษตรฯได้เสนอเรื่องขอใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่ติดขัดที่เป็นเขตอุทยานฯ จึงไม่สามารถทำกิจกรรมในเชิงพานิชย์เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตัวเองได้ จึงมีการขอเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าวออกจากเขตอุทยานฯ ต่อคณะรัฐมนตรีขึ้น
พร้อมกันนี้ กระทรวงเกษตรฯยังได้เสนอคณะรัฐมนตรีขอใช้เงินจากรายได้งานมหกรรมพืชสวนโลกที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 131 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งวิชาการ การท่องเที่ยวด้วย ซึ่งที่ผ่านมานั้นกรมวิชาการเกษตรได้เสนอแผนการบริหารจัดการพื้นที่ไปยังกระทรวงเกษตรฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการขอใช้เงิน 131 ล้านบาทแล้ว
ขณะเดียวกัน วันนี้(1 ส.ค.) กรมวิชาการเกษตรได้เปิดงานพืชสวนโลกรอบ 2 ขึ้นภายใต้ชื่อ "สวนเฉลิมพระเกียรติฯราชพฤกษ์ 2549" เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยช่วงแรกถือเป็นโปรโมชั่น จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีระยะหนึ่งก่อน และเมื่อทุกอย่างเข้าระบบแล้วจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ โดยเก็บค่าผ่านประตูเพื่อนำเงินรายได้มาพัฒนาปรับปรุงและเป็นค่าบริหารจัดการ ทั้งการบำรุงดูแลรักษาสถานที่ต่อไป.
---------------------------
ที่มา : สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)