"โดยสัดส่วนของงบประมาณที่นำมาลงทุนในการวิจัยสุขภาพช่วงระหว่างปี 2545-2549 นั้นพบว่า หากพิจารณาตามประเภทของานวิจัยแล้ว งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางด้านสาธารณสุข โดยวิจัยเชิงคลินิคได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุด ส่วนในแง่ของภาระโรค หรือโรคที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย เป็นการวิจัยโรคเอดส์และการติดเชื้อเอชไอวี อุบัติเหตุจราจร เบาหวาน และวัณโรค และการวิจัยเพื่อศึกษาไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก เป็นงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนการวิจัยสูงสุดในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่"
ด้าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวว่า งบประมาณในการวิจัยทางสุขภาพยังถือว่าน้อยมาก ไม่ถึงร้อยละ 2-5 ของงบประมาณด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งจำนวนนี้เป็นจำนวนงบประมาณที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายลงทุนกับการหาความรู้เพื่อสร้างสุขภาพ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีการอุบัติของโรคใหม่มากมาย รวมถึงปัญหามลพิษที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของคนไทย
"ดังนั้นจึงควรมองในอีก 10 ปีข้างหน้าว่าอยากจะเห็นเมืองไทยแข็งแรงอย่างไร คุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นอย่างไรผ่านมุมมองด้านสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค ระบบสาธารณสุข ความเป็นธรรม และการบริการด้านสุขภาพ ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อมองเช่นนี้แล้วจึง
จะเห็นว่าทิศทางการวิจัยในอนาคตควรเป็นอย่างไร ซึ่งองค์กรแหล่งทุนต่างๆ ควรนำมาใช้กำหนดทิศทางการวิจัย"
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดสรรงบประมาณการวิจัยด้านสุขภาพนั้นทางรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ มีกลไกในการจัดการงบประมาณอยู่แล้ว สามารถจะตั้งกรรมการการวิจัยสุขภาพร่วมกันในการกำกับและกำหนดทิศทางได้ โดยมีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าร่วมกัน
"อย่างไรก็ตาม การทำการวิจัยเป็นเรื่องสำคัญมาก จึงต้องมีกระบวนการนำไปใช้ประโยชน์ และที่สำคัญแหล่งทุนต่างๆ ต้องสนับสนุนการวิจัยเชิงรุกอย่างมีส่วนร่วม" ศ.นพ.กล่าวในตอนท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)