เมื่อวันที่ 14 พ.ย.50 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ฉบับที่เสนอโดยรัฐบาล กับ ฉบับของนาย
ผู้สื่อข่าวรายานว่า ที่ประชุมลงมติรับหลักการฉบับที่รัฐบาลเสนอ ในวาระที่ 1 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 44 เสียง และลงมติรับร่างที่สมาชิก สนช.เสนอด้วยคะแนนเอกฉันท์ 46 เสียง ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 27 คน แปรญัตติเป็นเวลา 7 วัน โดยให้ยึดร่างรัฐบาลเป็นหลักในการพิจารณา
ทั้งที่ องค์ประกอบของกรรมาธิการ อาทิ นาย
นาย
สำหรับความแตกต่างระหว่างร่างกฎหมายฉบับที่รัฐบาลเสนอกับฉบับที่สมาชิก สนช.เสนอนั้ัน นายสมชายกล่าวว่า ฉบับที่ สนช.เสนอไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการเงิน เพราะ สนช.ไม่สามารถเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินได้ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า่ฉบับใดดีกว่ากัน
นอกจากนี้ ในส่วนที่แตกต่างกันคือเรื่องกรรมการจริยธรรม ซึ่งในร่างของรัฐบาลมีกำหนดไว้ แต่ร่างของ สนช.ไม่มี "เพราะเรามองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องสภาวิชาชีพ ผมเชื่อในหลักปกครองตนเอง ต้องมีสภาวิชาชีพ" นายสมชายกล่าว
เขากล่าวด้วยว่า ไม่เห็นด้วยในส่วนของบทเฉพาะกาล มาตรา 90-92 ในร่างของรัฐบาล ที่ให้กรมประชาสัมพันธ์มีส่วนในการทำหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ดูแลการออกใบอนุญาตชั่วคราว กำหนดอายุไม่เกิน 1 ปี
ทั้งนี้ ในร่างเดิมของรัฐบาล จะให้จัดตั้งคณะกรรมการชั่วคราวกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชนและการประกอบกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ (กวช.) มาดูแลวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวี ซึ่งมีตัวแทนมาจากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยได้กำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการ กวช. ให้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการบริการชุมชนชั่วคราว และกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ มีอายุไม่เกิน 1 ปี ซึ่งนายสมชายเห็นว่า ต้องการให้มีการตีความหน้าที่การให้ใบอนุญาตชั่วคราวอายุไม่เกิน 1 ปีอย่างละเอียด เพราะต้องการให้ชี้ชัดลงไปว่า เป็นใบอนุญาตชั่วคราว
เมื่อถามถึงสาระสำคัญในกฎหมายที่มีแนวโน้มว่า กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานรัฐที่กุมคลื่นอยู่อาจจะสามารถครอบครองคลื่นความถี่ได้ต่อไปนั้น นายสมชายกล่าวว่า สาระส่วนนี้ในร่างทั้ง 2 ฉบับมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
"เขาใช้คำว่า ต้องออกให้กรมประชาสัมพันธ์กับรัฐบาล ของเราใช้คำว่า ต้องออกให้ "ตามความจำเป็น" ซึ่งต้องมาพิสูจน์ว่าตามความจำเป็นมีเท่าไร สมมติพิสูจน์ว่า ตามความจำเป็นบอกว่ามี 75 จังหวัด ก็ต้องพิสูจน์ และเมื่อจำเป็นแล้วผลิตเองหรือเปล่า หรือจำเป็นแล้วเอาไปให้เช่า นั่นก็ไม่จำเป็น"
เมื่อถามว่า ทำไมต้องมีมาตรานี้นั้น นายสมชายกล่าวว่า "ตราบใดที่รัฐไทยยังคิดว่าต้องมีกระบอกเสียง เราก็สู้ไม่ไหว เขาจึงไม่ให้ช่อง 11 มาเป็นทีวีสาธารณะ แล้วถ้าให้เขาก็จะไปเอาอีกอันหนึ่งมาทันที เขาจะไปเอาไอทีวีมาทันที เรียบร้อย กรมประชาสัมพันธ์ก็ขายโฆษณา รัฐบาลยังต้องการให้กรมประชาสัมพันธ์ยังมีโทรทัศน์และวิทยุอยู่"
"มันก็ต้องยอมเขาในระดับหนึ่ง เป็นเทคนิคส่วนหนึ่ง แล้วคิดว่าถ้าได้มาระดับหนึ่งอาจจะพอตั้งรับได้ อาจจะไม่ดี พูดได้เลยว่าไม่ดี แต่ถ้าได้มาประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 70% ภาคประชาชนอาจจะช่วยดึงไว้ไม่ให้มันบิดเบี้ยว ทำให้มันตรงขึ้น แต่เขาเห็นตรงกับเราเรื่องปัญหาวิทยุชุมชนที่มันบิดเบี้ยว" นายสมชายกล่าว
เครือข่ายสื่อคัดค้านสภาแต่งตั้ง ออกกฎหมายเกี่ยวข้องสิทธิเสรีภาพ
บ่ายวันเดียวกัน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) และเครือข่ายสื่อภาคประชาชน จากภาคเหนือ ใต้ และอีสาน เดินทางมายังรัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือถึงประธาน สนช. ผ่านนาย
โดยในจดหมายระบุว่า นับจากมีการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 มาจนวันนี้ เหลือเวลาอีักเพียง 43 วันจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ในขณะที่สังคมไทยกำลังฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการมีรัฐบาลและรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ผู้แทนมาทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่ขณะเดียวกัน สนช. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารยังคงเดินหน้าพิจารณากฎหมายหลายฉบับ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อและสิทธิเสรีภาพอีกหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์
คปส. และเครือข่ายสื่อภาคประชาชน ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง และเครือข่ายวิทยุชุมชนภาคเหนือ 17 จังหวัด สมาพันธ์วิทยุชุมชนคนอีสาน และมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) แสดงจุดยืนในการคัดค้านการพิจารณาร่างกฎหมายด้วยเหตุผลดังนี้
1.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่สมควรพิจารณาร่างกฎหมายใดๆ อีก โดยเฉพาะร่างกฎหมายที่มีความสำคัญต่อสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ ที่ควรเปิดกว้างให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรอง ตรวจสอบถ่วงดุล อย่างเปิดเผย โปร่งใส
2.สาระในร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ มีหลายประการที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อวิทยุโทรทัศน์ และสิทธิในการสื่อสารของสื่อภาคประชาชน เช่น การให้อำนาจรัฐสามารถสั่งปิดหรือถอดถอนรายการที่รัฐคิดว่ากระืทบต่อความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของผู้่มีอำนาจรัฐ เป็นต้น
3.ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่มีหลักประกันในการปฏิรูปสื่อวิทยุโทรทัศน์ของรัฐให้เป็นอิสระและมีเสรีภาพแท้จริง ในทางตรงกันข้ามยังคงอภิสิทธิ์ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ กองทัพ รวมถึงเอกชนรายใหญ่ที่ได้รับสัมปทานยังคงครอบครองทรัพยากรสื่อวิทยุโทรทัศน์ต่อไปเช่นเดิม
4.กฎหมายนี้ไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนต่อสิทธิการประกอบกิจการของสื่อภาคประชาชน เช่น วิทยุชุมชน สื่อท้องถิ่น และเคเบิลทีวีรายเล็กอย่างเป็นอิสระและเท่าเทียม
5.กระบวนการเจรจาต่อรองในการเข้าไปเป็น กมธ. เพื่อปรับแก้กฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและกลุ่มธุรกิจสื่อขนาดเล็กได้เข้าถึง เนื่องเพราะตัวแทนของหน่วยงานรัฐที่เป็นเจ้าของสื่อ เช่น กองทัพและกลุ่มทุนโทรทัศน์รายใหญ่ เ้ข้าไปเป็นสมาชิก สนช. และมีอิทธิพลในการเจรจาต่อรองความเป็นไปของร่างกฎหมายดังกล่าว จนไม่สามารถเกิดการถ่วงดุลที่จะนำพาร่างกฎหมายดังกล่าวไปสู่การปฏิรูปสื่อได้แท้จริง
ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวลงนามโดย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์ิเพื่อการปฏิรูปสื่อ นาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)