ก่อนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ผู้สมัคร ส.ส.เกือบทุกพรรคในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หาเสียงว่าจะแก้ปัญหาอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ทับที่ทำกินชาวบ้าน ซึ่งก็เหมือนกับการเลือกตั้งก่อนหน้านั้น ที่ได้ชูนโยบายนี้หาเสียงด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2542 ที่มีการประกาศตั้งเขตอุทยานดังกล่าวทับที่ทำกินชาวบ้าน
มาวันนี้ ดูเหมือนว่ากระบวนการแก้ปัญหาอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกิน ที่ถูกระบุว่าเป็นเงื่อนไขหนึ่งของความไม่สงบในพื้นที่ รุดหน้าไปในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นความพยายามทั้งจากฝ่ายรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชาวบ้านในพื้นที่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.51 มีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สไหงปาดี กรณีพื้นที่นำร่องอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินระดับอำเภอ ตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550
ในที่ประชุมได้รับฟังรายงานผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวไปแล้ว เพื่อจะร่วมกันจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอให้เพิกถอนสภาพอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินของชาวบ้านให้ทันการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 ม.ค.51 ผ่านทางคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ของศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาชนบทตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือ ศจพ. ที่มี พล.อ.
การประชุมในวันดังกล่าว เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่ต่อเนื่องมา เกี่ยวกับการสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อนกรณีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินของชาวบ้านในพื้นที่อำเภอบาเจาะ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2550
นายสายัณห์ ชนะชัยวงศ์ นายอำเภอบาเจาะบอกว่า การแก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการที่เมื่อปลายปี 2549 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ได้เข้าจับกุมชาวบ้านที่กำลังตัดโค่นต้นยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทน จึงส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากชาวบ้านยืนยันว่าได้เข้ามาทำกินในที่ดินดังกล่าวก่อนประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี
ในการเข้าสำรวจของทางอำเภอพบว่า พื้นที่สวนยางของชาวบ้านบางรายมีเอกสารแสดงการครอบครองอยู่ก่อนที่จะมีการประกาศตั้งเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี เมื่อปี 2542 และก่อนที่จะประกาศกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาบูโด เมื่อปี 2508 เสียอีก โดยประกาศตั้งเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดีนั้น ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขาบูโดด้วย นั่นเป็นเหตุให้ชาวบ้านที่ทำกินอยู่ในที่ดินของตน กลายเป็นผู้บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทันที
เขาบอกว่า ทางอำเภอจึงหยิบกรณีที่ดินของนาย
ทั้งนี้ การดำเนินการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินระดับอำเภอได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 19 (นราธิวาส) และศูนย์ปฏิบัติการที่ดินจังหวัดปัตตานี จากเดิมที่แต่ละหน่วยงานพยายามแก้ปัญหาทับที่ทำกินชาวบ้านเฉพาะในพื้นที่ของตนเอง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ โดยเป็นไปตามมติของคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ของ (ศจพ.) เมื่อวันที่ 9 พ.ย.50 ด้วย ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวที่มี พล.อ.
จากการสำรวจข้อมูลของคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอ สรุปได้ว่า ได้แบ่งกลุ่มปัญหาออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ดินนอกเขตอุทยาน 745 ราย 994 แปลง จำนวน
คณะกรรมการฯ ระดับอำเภอจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ คือ ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติมอบหมายให้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 ไปตรวจสอบ ที่ดินนอกเขตอุทยานแห่งชาติมอบหมายให้กรมที่ดินตรวจสอบ และที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติมอบหมายให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 19 (นราธิวาส) และศูนย์ปฏิบัติการที่ดินจังหวัดปัตตานีตรวจสอบ ภายใน 15 วัน แล้วรายงานผลต่อคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอ ในวันที่ 9 มกราคม 2551
นอกจากนี้ในส่วนมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ของ ศจพ.ที่มีพล.อ.
โดยการลงพิกัดตำแหน่งเขตรอบนอกอุทยานแห่งชาตินั้น ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินระดับอำเภอ เมื่อวันที่ 9 ม.ค.51 มีมติเพิ่มเติมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จครอบคลุมพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ในพื้นที่อำเภอบาเจาะในระยะเวลา 4 เดือน
นายกฤษศักดิ์ฎา สีเพชร์ ปลัดอำเภอบาเจาะ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอ บอกว่า หากลงพิกัดตำแหน่งเขตรอบนอกอุทยานแห่งชาติแล้วเสร็จ จะส่งผลให้กรมที่ดินสามารถรังวัดและออกโฉนดที่ดินนอกเขตอุทยานแห่งชาติฯ ให้ชาวบ้านทั้ง 745 รายได้ เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าไปรังวัดเพราะเกรงจะล้ำเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ เพราะยังไม่ได้กำหนดแนวเขตที่ชัดเจน มีเพียงแนวเขตที่กำหนดขึ้นในภาพถ่ายทางอากาศเท่านั้น
สำหรับพื้นที่นำร่องที่คณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ศจพ. กำหนดขึ้นในการตรวจสอบและลงพิกัดแปลงที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ในเขต 2 ตำบล คือ การเยาะมาตี และตำบลบาเจาะ จากทั้งหมด 5 ตำบล รวม 15 หมู่บ้าน ที่มีปัญหาอุทยานแห่งชาติฯ ทับที่ทำกินชาวบ้านในพื้นที่ 5 ตำบล
สำหรับตำบลกาเยาะมาตีมี 3 หมู่บ้าน ที่ถูกกำหนดเป็นพื้นที่น่าร่อง ได้แก่ หมู่ที่ 3 บ้านกาเยาะมาตี หมู่ที่ 4 บ้านส้มป่อย และหมู่ที่5 บ้านบลูกา ส่วนตำบลบาเจาะ 2 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 4 บ้านสะแต หมู่ที่ 6 บ้านบาดง โดยมีสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี, อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์กรมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทีมทำงานแก้ไขปัญหาที่ดิน ชาวบ้านในพื้นที่ นายพราน ร่วมกันดำเนินการดังนี้
1. ตรวจสอบรังวัดโดยใช้อุปกรณ์ GPS ลงพิกัดตำแหน่งแปลงที่ดินของชาวบ้านที่อยู่ในเขตอุทยานและจัดทำแบบสำรวจการแก้ไขปัญหาที่ดินในเขตป่า ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2550 ถึงวันที่ 8 มกราคม 2551 รวม 15 วัน ได้ข้อมูลดังนี้
ตำบลกาเยาะมาตี
หมู่ที่ 3 บ้านกาเยาะมาตี 206 ราย 242 แปลง จำนวน
หมู่ที่ 4 บ้านส้มป่อย 100 ราย 108 แปลง จำนวน
หมู่ที่ 5 บ้านบลูกา 195 ราย 204 แปลง
รวม 501 ราย 544 แปลง รวมจำนวน
ตำบลบาเจาะ
หมู่ที่ 4 บ้านสะแต 83 ราย 91 แปลง จำนวน
หมู่ที่ 6 บ้านบาดง 303 ราย 356 แปลง จำนวน
รวม 386 ราย 447 แปลง รวมจำนวน
2. นำตัวเลขจากค่าพิกัดตำแหน่งที่ดินมาใส่ในโปรแกรม Autocad และโปรแกรมสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ GIS โดยใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเป็นฐานข้อมูล
สำหรับข้อมูลผู้ครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ที่ผ่านการรังวัดแปลงที่ดินGPS และลงค่าพิกัดGIS แล้วในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านกาเยาะมาตี จากทั้งหมด206 ราย พบว่า ผู้มีที่ดินครอบครองน้อยกว่า
เช่นเดียวกันหมู่ที่ 4 บ้านส้มป่อย จากทั้งหมด 100 ราย พบว่า ผู้ครอบครองที่ดินน้อยกว่า
ส่วนหมู่ที่ 5 บ้านบลูกา จากทั้งหมด 195 ราย พบว่า มีถึง 68 รายที่ครอบครองน้อยกว่า
โดยที่ดินทั้งหมดที่ลงพิกัดแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสวนยางพาราเก่า รองลงมาเป็นสวนผลไม้ โดยส่วนยางพารานั้น ส่วนใหญ่มีกำหนดโค่นในช่วงปี 2551-2560 แต่สวนยางพาราเก่าที่มีอายุครบกำหนดแล้วก่อนหน้านั้นก็ยังไม่สามารถโค่นได้ เพราะผิดกฎหมายเนื่องจากอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาตินั่นเอง
นายสายัณห์ บอกด้วยว่า เหตุที่ต้องรีบเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณานั้น เนื่องจาก ศจพ.ซึ่งมีคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินที่มี พล.อ.
"ที่ผ่านมาปัญหาอุทยานแห่งชาติทับที่ทำกินชาวบ้าน ก็สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับชาวบ้านมามากแล้ว เพราะเขาคิดว่าถูกกฎหมายไทยรังแก ถ้าแก้ปัญหานี้ได้ ข้าราชการก็จะได้ใจชาวบ้านมากอีกอักโขเลย เขาเห็นว่าเราเป็นที่พึ่งได้"
แน่นอนว่า การเริ่มกระบวนการแก้ปัญหากันใหม่อีกรอบ อาจไม่ส่งผลดีในด้านความรู้สึกของชาวบ้าน แต่ในวันที่ 22 มกราคม 2551 พวกเขาเชื่อมั่นว่า คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเรื่องนี้ได้ เพราะนั่นเป็นความหวังที่พวกเขาจะได้ทำมาหากินบนที่ดินเพียงรายละหยิบมือที่ใช้เลี้ยงสมาชิกในครอบครัวได้อย่างสบายใจ
แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เปิดสภาเป็นครั้งแรกหลังจากการเลือกตั้ง ส.ส.ครบ 30 วัน ซึ่งทุกคนล้วนกำลังใจจดใจจ่อและตั้งหน้าตั้งตารอดูว่า รัฐบาลใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร หรือไม่พวกเขาต้องรอความหวังจากผู้แทนคนใหม่นักเลือกตั้งชายแดนใต้อยู่ดี
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)