Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 51 เวลา 10.00 น. ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ผู้พิพากษาศาลปกครองขอนแก่นได้ออกนั่งบัลลังก์ เพื่ออ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.123/2551 ซึ่งนางม้วน พิมพ์คต แม่เฒ่าวัย 62 ปี ยื่นฟ้องโครงการชลประทานหนองบัวลำภู และกรมชลประทาน กรณีได้รับผลกระทบสูญเสียที่ดินทำกินจากการขุดขยายลำพะเนียง ตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง หนึ่งในพื้นที่โครงการผันน้ำโขงสู่อีสานตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียงกว่า 20 คน ร่วมฟังการอ่านคำพิพากษา


โดยผลคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นว่า กรมชลประทานบุกรุกยึดที่ดินขุดลอกลำพะเนียงโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย ให้กรมชลประทานชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในที่ดิน 3 ไร่ 3 งาน 35 ตารางวา เป็นจำนวนเงิน 153,500 บาทให้แก่นางม้วน พิมพ์คต  


            "ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมชลประทาน) ไม่มีอำนาจที่จะบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี (นางม้วน พิมพ์คต) ได้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ หรือได้มีการตกลงซื้อขายที่ดินของผู้ฟ้องคดี และไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะขุดเอาที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยวิธีอื่นๆ


"ข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ว่า ได้มีการประชุมชี้แจงราษฎรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขุดลอกลำน้ำ และผู้ฟ้องคดี (นางม้วน พิมพ์คต) ได้รับทราบและยินยอมให้มีการขุดลอกลำน้ำรุกล้ำเข้าไปในที่นาโดยไม่ขอเรียกร้องค่าชดเชยใดๆ นั้น เป็นเพียงการยกข้อกล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ ไม่มีหลักฐานใดที่ปรากฏตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้าง ดังนั้นการที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นจำนวนเงิน 153,500 ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดจึงชอบแล้ว พิพากษายืน"


นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความผู้ดูแลคดีลำพะเนียง กล่าวว่า การตัดสินในครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานการทำงานให้กับหน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะกับกรมชลประทาน ที่มักดำเนินการโครงการต่างๆ โดยไม่แจ้งรายละเอียดแก่ชาวบ้าน และมักอ้างว่าชาวบ้านได้ให้ความยินยอมแล้ว ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดเพียงที่ลำพะเนียงที่เดียว แต่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เช่น กรณีขุดลอกลำพะเนียง ลำน้ำโมง หรือลำห้วยหลวง ตามโครงการผันน้ำโขงก็จะมีการดำเนินการทำนองนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อชาวบ้านและรัฐเอง ดังเช่นที่ลำพะเนียง ชาวบ้านเสียที่นากันไปรายละหลายไร่ สูญเสียระบบนิเวศ การหาอยู่หากิน ส่วนรัฐเองก็เสียระบบ โครงการดำเนินไปไม่ได้ ต้องระงับเพราะทำไม่ถูกต้อง ดังนั้น หน่วยงานรัฐจะต้องคำนึงและยึดถือบรรทัดฐานตามกฎหมาย เช่น รัฐธรรมนูญที่กำหนดเรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อมิให้นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับรัฐอย่างที่ปรากฏนี้


นางสาว ส.รัตนมณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของลำพะเนียงในขณะนี้ ชาวบ้านได้การรับรองแล้วว่า จะได้รับค่าชดเชย แต่ยังมีปัญหาอีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข คือระบบนิเวศของลำน้ำพะเนียง ความรู้ในการจัดการน้ำของชาวบ้านที่ถูกทำลายจากการขุดคลองที่จะต้องฟื้นฟูขึ้นมา โดยกรมชลจะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ด้วยเช่นกัน


นายวิเชียร ศรีจันนนทร์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง กล่าวว่า ชาวบ้านที่มาร่วมฟังคำพิพากษาในวันนี้ยอมรับและเคารพในคำตัดสินของศาล แม้ว่าค่าชดเชยที่จะได้รับนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่ผ่านมาจากโครงการพัฒนาลำพะเนียงที่ทำแล้ว และไม่ได้เกิดประโยชน์จริงอย่างที่โฆษณาเอาไว้ แต่กลับให้ความเดือดร้อนเสียหายอย่างแสนสาหัส ทั้งเสียที่ดินทำกิน สูญเสียอาชีพและรายได้ สูญเสียระบบนิเวศแหล่งหาอยู่หากินที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย จะใช้น้ำก็ใช้ลำบาก น้ำอยู่ลึก น้ำก็ท่วมหนักขึ้นทุกปีตั้งแต่มีการขุดขยายลำพะเนียง


"ปัญหาจากการบุกรุกขุดลอกทำลายลำพะเนียงนี้ทำให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนยื่นฟ้องกรมชลประทานกว่า 140 ราย วันนี้เป็นการพิพากษาคดีแรก ซึ่งการชนะคดีของชาวบ้านในคดีแรกนี้จะทำให้ชาวบ้านมั่นใจว่า ตนมีสิทธิ สามารถสู้กับการกระทำของรัฐที่ไม่ถูกต้องได้ อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องค่าชดเชยในที่ดินแล้ว ชาวบ้านยังต้องการให้มีการฟื้นฟูระบบนิเวศและการจัดการน้ำของลำพะเนียงด้วย โดยขณะนี้ชาวบ้านกำลังระดมความคิดเห็นกันอยู่และจะจัดทำแผนเสนอต่อกรมชลประทานต่อไป" นายวิเชียร กล่าว


ด้าน นางม้วน พิมพ์คต ผู้ฟ้องคดีนี้กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า "วันนี้ดีใจมาก แม่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะชนะ เพราะที่ผ่านมามีแต่คนบอกว่า ฟ้องเจ้าฟ้องนายก็มีแต่แพ้ จะเอาอะไรไปสู้เขา แต่วันนี้แม่ชนะ แม่ดีใจมาก การต่อสู้นี้ทำให้แม่เกิดความคิดเกิดปัญญา แม่คิดว่าที่ชนะ เป็นเพราะว่าแม่พูดความจริง เราสู้ด้วยความจริง ด้วยความซื่อสัตย์ ทุกถ้อยคำที่แม่ให้กับศาลเป็นความจริง แม่เดือดร้อนจริงๆ ที่นาก็เป็นของแม่จริงๆ แม่อยากขอบคุณศาล ขอบคุณทนาย ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยให้ความเป็นธรรมกับแม่"


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การขุดลอกลำพะเนียงนี้เป็นลำน้ำสายหนึ่งที่ถูกขุดลอกเพื่อเตรียมการรองรับโครงการผันน้ำโขง - น้ำเลย - ลำพะเนียง - เขื่อนอุบลรัตน์ รวมทั้งโครงการผันน้ำโขง -ห้วงโมง - ลำพะเนียง - อุบลรัตน์ ตามโครงการก่อสร้างระบบชลประทานในโครงการผันน้ำเลย-ชี-มูล และปากชม -เขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งเป็นแนวผันน้ำที่ ครม.สมัยรัฐบาลสมัยนายสมัคร สุนทรเวช ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมเพื่อดำเนินการให้ต่อเนื่อง คำพิพากษาครั้งนี้อาจจะเป็นชนวนทำให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนลุกฮือขึ้นต่อต้านการขุดลอกลำน้ำตามโครงการผันน้ำดังกล่าวได้

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net