Skip to main content
sharethis

กษิตเปิดใจไม่ลาออก แจงอัลจาซีราห์ลงคำพูดไม่กี่วินาทีจึงคาดเคลื่อน ขอรอคดีปิดสนามบินถึงศาล หากรับฟ้องไม่หน้าด้านอยู่ ชี้ข้อกล่าวหาต้องสมเหตุสมผล ลั่นไม่อยากเทียบ “นพดล” ย้ำต่างจาก “วิฑูรย์” ที่ปลากระป๋องเน่าแต่ตนแค่ข้อกล่าวหา โฆษก ปชป. ชี้กษิตมีจิตสำนึกจึงมาพบพนักงานสอบสวน ไม่เหมือนทักษิณ สุริยะใสชี้ไม่จำเป็นต้องลาออกเพราะเป็นแค่หมายเรียก แถมตั้งข้อหาเกินจริง

 

 

นพดลจี้กษิตพ้นรัฐมนตรี
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววานนี้ (6 ก.ค.) ว่า การที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นเรื่องร้ายแรง นายกษิต ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่หากรัฐบาลยังให้อยู่ในตำแหน่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ควรทบทวนกฎ 9 ข้อ ที่เคยสัญญาไว้กับประชาชน
 
เพราะหากยังปล่อยไว้ นายกรัฐมนตรี ก็ควรรับผิดชอบเสียเอง ซึ่งย้อนกลับไปในอดีตหาก นายกษิต อยู่กับร่องกับรอยได้เคยพูดไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มีการบันทึกไว้ในสื่อหนังสือพิมพ์เป็นเอกสารชัดเจน
 
ดังนั้น เมื่อถูกแจ้งข้อหา ถึงเวลาควรแสดงความรับผิดชอบตามที่พูด เพราะความผิดครั้งนี้ เทียบกับ นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องปลากระป๋องเน่า ถือว่าเสียหายมากกว่าเพราะปลากระป๋องเน่า เสียหายไม่กี่หมื่น แต่ นายกษิต สร้างความเสียหายปิดสนามบินกว่าหมื่นล้านบาท
 
ดังนั้น ถ้านายกรัฐมนตรีใช้มาตรฐานเดียวกัน ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยให้รอฟังความเห็นของอัยการ ว่าจะสั่งฟ้องเมื่อไร เพราะต้องใช้เวลานานต่อข้อถามที่ว่า หากเป็นตนเองโดนข้อหาเช่นเดียวกับ นายกษิต จะทำอย่างไร นายนพดล กล่าวว่าลาออกทันที ไม่ต้องให้ใครบอก เช่นกรณี คำแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคำแถลงการณ์ร่วมไม่ทำตามขั้นตอนแต่ไม่มีความผิด ครั้งนั้นตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังตัดสินใจลาออกทันที
 
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเรียกร้องให้นายกษิต พิจารณาตัวเองลาออกจากตำแหน่งจนกว่าคดีความจะเสร็จสิ้น จากการตั้งข้อหาก่อการร้ายและสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติของพนักงานสอบสวน พร้อมเรียกร้องนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปรับคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะมีการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน เพื่อแสดงความรับผิดชอบ
 
 
กษิตปัดสัมภาษณ์สื่อหลังกลับจากกาตาร์ เลขาออกหน้าแทน
ขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 36 แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกหมายเรียกของพนักงานสอบสวนในข้อหาการก่อการร้าย เลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังเดินทางกลับจากการปฏิบัติภารกิจที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยเที่ยวบิน QR-0612 เมื่อเวลา 07.24 น. วันที่ 6 กรกฎาคม โดยนายกษิต ไม่ได้เดินออกมาทางอาคารห้องรับรองพิเศษ แต่เดินออกมาที่ชั้น 2 ของอาคารดังกล่าวแทน
 
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับนายกษิตแล้ว โดยนายกษิตขอพักผ่อนก่อน เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับมา ส่วนที่ไม่ได้เจอกับสื่อมวลชนที่ไปรอรับคงไม่ใช่ต้องการหลบ แต่อาจเกิดจากสถานที่นัดคลาดเคลื่อนกัน และนายกษิตไม่ได้วิตกกังวลกับข้อกล่าวหาที่ได้รับ ยืนยันว่าการไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำในฐานะวิทยากร
 
 
วิฑูรย์ไม่ขอวิจารณ์ เทพไทอ้างกษิตชุมนุมก่อนรับตำแหน่ง
นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ลาออกจากตำแหน่ง กรณีปัญหาปลากระป๋องเน่า กล่าวถึงกรณีนายกษิต ยังไม่ยอมลาออก ว่า ตนเองคงพูดอะไรไม่ได้มาก ซึ่งกรณีตนเองนั้นต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์สบายใจ และยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี ส่วนคดีของนายกษิต เป็นเรื่องยาวนานแล้ว ไม่ขอวิจารณ์ ส่วนตัวเห็นว่าควรให้เรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะอยู่พรรคเดียวกัน จึงทำให้น้ำท่วมปาก
 
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า นายกษิตยังไม่จำเป็นต้องลาออก หลังถูกหมายเรียกของพนักงานสอบสวนในข้อหาการก่อการร้าย กรณีการชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการออกหมายเรียก อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนรับตำแหน่ง
 
ส่วนที่มีข่าวว่านายกษิต เคยบอกว่า จะลาออกหากมีการแจ้งข้อกล่าวหานั้น นายเทพไท กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องที่นายกษิต ต้องชี้แจงเอง
 
 
โฆษกประชาธิปัตย์ชี้กษิตมีจิตสำนึกจึงมาพบพนักงานสอบสวน ไม่เหมือนทักษิณ
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีของนายกษิต ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงบรรทัดฐานการทำงานของรัฐบาลว่า ไม่มีการแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่รักษากฎหมาย และที่มีการถามหาจิตสำนึกของนายกษิตนั้น จะเห็นได้ว่า นายกษิต ซึ่งอยู่ต่างประเทศก็รีบเดินทางกลับมา เพื่อเตรียมพบกับพนักงานสอบสวน หากนายกษิต มีจิตสำนึกเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็คงไม่เดินทางกลับมา
 
 
กษิตเข้ารับทราบข้อหา
พ.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง เปิดเผยว่านายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หนึ่งในแกนนำพันธมิตรที่ถูกออกหมายเรียก ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าวแล้ว ที่ สน.ทุ่งสองห้อง
 
เบื้องต้นนายกษิตให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร แก้ข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน
 
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมแกนนำพันธมิตรและแนวร่วม ที่ถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียก ในคดีบุกรุกสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกไปยังบ้านของผู้ต้องหา ทั้ง 2 คดี รวม 36 คนแล้วแต่ในช่วงนี้ติดวันหยุดราชการ หลังจากเปิดงาน ในช่วงวันที่ 9 ก.ค. ตนจะนัดประชุมกับผู้ต้องหาถึงแนวทางการจัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนก่อนวันนัด คือวันที่ 16 กรกฎาคมนี้
 
 
คำพูดกษิต 23 ก.พ. ไม่ยึดติดเก้าอี้
อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 สื่อหลายสำนักรายงานคำให้สัมภาษณ์นายกษิตว่า นายกษิตพร้อมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี หากถูกหมายเรียกในคดีก่อเหตุชุมนุม
 
โดยนายกษิต ภิรมย์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวหากเป็นหนึ่งในคนที่จะถูกออกหมายเรียกจะทำอย่างไรต่อไป นายกษิตกล่าวว่า "ก็ไม่เป็นไร กระบวนการยุติธรรมก็ต้องให้การเคารพ ผมก็จะไม่อยู่ในเก้าอี้รัฐมนตรี เพราะผมไม่ยึดติดกับเก้าอี้ ผมไม่เป็นรัฐมนตรีผมก็ต้องไปต่อสู้กับสิ่งที่มันเลวร้ายกเฬวรากในวงการการเมือง ต่อไป ไม่กังวลใจ เพราะเราไม่ได้รับอามิสสินจ้างอะไรใครมา เพื่อที่จะได้เกาะเก้าอี้ เกาะตำแหน่ง เพื่อทะนงตนในสังคม ผมทำในหมวกในไหนก็ได้ในสิ่งที่ถูกต้อง"
 
 
เปิดคำพูดกษิตบอกอัลจาซีราห์จะลาออกอย่างไม่มีข้อสงสัย
ขณะที่เมื่อ 5 ก.ค. เวลา 13.54 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (20.54 น. ตามเวลาประเทศไทย) สำนักข่าวอัลจาซีราห์เผยแพร่ข่าวรัฐมนตรีต่างประเทศไทยลาออก (“Thai foreign minister to 'resign'”) โดยระบุว่า กษิต ภิรมย์ กล่าวกับอัลจาซีราห์เมื่อวันอาทิตย์ว่าเขาจะลาออกอย่างไม่ต้องสงสัยหลังตำรวจออกมาหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาในการใช้กำลังปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง
 
อัลจาซีราห์อ้างคำพูดของกษิตที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า “ผมมาถึงจุดที่ผมถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร และผมคงต้องลาออกอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ” ("I have come to a point where I am being criminalised, and I would have to resign without doubt,")
 
 
เลขาอ้าง “อัลจาซีราห์” ตัดต่อคำพูด ยันไม่ออก
เวลาประมาณ 20.00 น.วานนี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาอ้างคำยืนยันของนายกษิตล่าสุดว่าจะไม่ลาออก โดยชี้แจงคำให้สัมภาษณ์ตามที่สำนักข่าวอัลจาซีร่าห์มีการระบุเป็นการตัดต่อคำพูด ทำให้ความหมายออกไปเช่นนั้น ซึ่งได้คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามนั้น และนายกษิตยืนยันว่า หากทำความผิดจริงก็จะรับผิดชอบ แต่ขณะนี้เป็นเพียงข้อกล่าวหายังไม่ได้ชี้ว่าผิด ถ้ามีการชี้มูลก็จะยืนยันพิสูจน์ข้อเท็จจริงกัน
 
ส่วนจะกระทบกับภาพพจน์รัฐบาลและประเทศไทยในการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นหรือไม่ นั้นคาดว่าทุกประเทศจะเข้าใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงการกล่าวหา ทุกประเทศเข้าใจว่ายังไม่ได้ชี้ความผิดให้เป็นผู้ต้องหา และพร้อมอธิบายได้
 
 
กษิตเปิดใจที่เอ็นบีทีลั่นไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย มีแค่ปากกับปากกา ไม่มีอาวุธ
เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. วันนี้ (6 ก.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวเปิดใจ ในรายการคุยนอกทำเนียบ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถึงการถูกออกหมายเรียก คดีปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ว่า วันนี้ทนายของตนบอกว่า ภายใน 30 วันจะให้ข้อมูล ตามข้อกล่าวหา โดยชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ตามสิทธิของตน และต้องพิจารณาว่าข้อกล่าวหานั้นถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ เกินความเป็นจริงหรือไม่
 
ต่อข้อถามว่า นายกษิต เคยบอกว่าหากศาลประทับรับฟ้องจะตัดสินใจ นายกษิต กล่าวว่า ต้องดูข้อกล่าวหาด้วย หากกล่าวหาว่าตนเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นไปไม่ได้ ที่บอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ตนต้องปฏิเสธ ประเด็นที่สอง ต้องดูว่าข้อกล่าวหาสมเหตุสมผลหรือไม่ รวมถึงข้อกล่าวหาของอัยการ การตีความเรื่องการก่อการร้าย ตนไปร่วมงานของพันธมิตรฯ มีอยู่สองอย่าง คือ ปาก สมอง กับปากกา ไม่มีอาวุธ
 
เมื่อถามถึงขั้นตอนที่คิดว่าควรลาออก นายกษิต กล่าวว่า ประเด็นที่หนึ่ง ขึ้นกับตนและทนาย ประเด็นที่สอง ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเด็นที่สาม อยู่ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาแบบโดดเดี่ยว และมีกรอบกติกา และได้รายงานให้ นายกรัฐมนตรี รับทราบว่าได้ไปพบกับตำรวจแล้ว
 
 
แจงอัลจาซีราห์ลงคำพูดไม่กี่วินาทีจึงคาดเคลื่อน
นายกษิต กล่าวอีกว่า เมื่อวานตนไปการ์ตา และ ไปออกรายการสดของอัลจาซีรา ที่การ์ตา ที่เป็นสำนักงานใหญ่ ซึ่งถามตนว่ามีคดี ตนได้ตอบว่า ตามกระบวนการไปถึงจุดหนึ่ง ถ้าสมเหตุสมผลต้องลาออก ซึ่งการพูดในทำนองนั้นไม่ได้หมายความว่า ทันทีที่ตำรวจเชิญไปวันนี้ แล้วต้องลาออก ตนไม่เห็นด้วยและปฏิเสธข้อกล่าวหา อัลจาซีรา ออกแค่ไม่กี่วินาที จะอธิบายขั้นตอนอย่างที่คุยกันอย่างนี้คงไม่ได้
 
ต่อข้อถามว่า ในลักษณะที่ติดพันข้อกล่าวหา กระทบการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหา เพราะไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย จะฟังคนหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์? หรือจะฟังเสียงส่วนใหญ่ ตนคิดว่าสังคมไทยไม่ไร้ ซึ่งความรู้ และ ไม่ไร้ซึ่งความยุติธรรม และการปรากฏตัวที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่เปิดเผย ทุกสิ่งที่พูดบนเวที พูดด้วยเหตุผลสองอย่าง คือสิทธิ และ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และ ต่อต้านระบอบทักษิณ และในวันพรุ่งนี้ยังปฏิบัติหน้าที่
 
 
ลั่นถ้าถึงศาลจะไม่หน้าด้านอยู่ในตำแหน่ง จะไม่หนีศาลและไม่หนีคดี
เมื่อถามย้ำว่าเมื่อถึงขั้นตอนส่งฟ้องศาล จะทำอย่างไร นายกษิต กล่าวว่า "แน่นอน คงไม่หน้าด้านอยู่ในตำแหน่ง ผมเป็นลูกผู้ชาย พูดจริง ทำจริง ผมไม่หนีศาล และไม่หนีคดี"
 
เมื่อถามอีกว่าถึงศาลจะลาออก นายกษิต กล่าวย้ำว่า ต้องดูว่าข้อกล่าวหาเป็นอะไร ถ้าบอกว่าตนเป็นผู้ก่อการร้าย ตนไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และกล่าวหาหลังจากตนไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ช่วงเหตุการณ์เกิดขึ้นทำไมไม่กล่าวหา
 
 
ลั่นไม่อยากเทียบ “นพดล” ต่างจาก “วิฑูรย์” ที่ปลากระป๋องเน่าแต่ตนเจอแค่ข้อกล่าวหา
ต่อข้อถามว่าเทียบเคียงกับ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ลาออก นายกษิต กล่าวว่า ตนไม่อยากเทียบเคียงกับ นายนพดล เมื่อถามว่าเทียบเคียงกับ นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ลาออก กรณีปลากระป๋องเน่า นายกษิต กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่อาจจะมีการทุจริต จับต้องได้ ว่าปลากระป๋องเน่า หรือไม่ได้คุณภาพ แต่กรณีนี้ตนทำอะไรผิด ยังมองไม่เห็น เป็นข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐาน ยังไม่มีใครตีความคำว่าการก่อการร้าย
 
 
ลั่นเป็นจุดแข็งของรัฐบาลต่อสู้สิ่งไม่ถูกต้อง
ต่อข้อถามว่า ใน 6 เดือนที่ผ่านมา นายกษิต เป็นจุดอ่อนที่ฝ่ายค้านในสภาฯ และนอกสภาฯ โจมตี นายกษิต กล่าวว่า ทำไมไม่มองว่าเป็นจุดแข็ง ตนเป็นคนที่ต่อสู้ กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคมไทย
 
เมื่อถามว่าหากให้วัดว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำงานลุล่วง จะต้องมีอะไรบ้าง นายกษิต กล่าวว่า หากเป็นเรื่องงานต่างประเทศ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เผอิญตนเป็นนักการเมือง ชีวิตนักการเมืองของตนเกี่ยวพันกับการเมืองภายในของประเทศไทยอย่างมาก แยกออกไม่ได้ หากว่ากันในเรื่องเนื้อหาในแง่การดำเนินนโยบายต่างประเทศ แต่นี่พัวพันกับตน ในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่ากัน เพราะมีสิทธิที่จะติชม ตนเคยพูดบนเวทีพันธมิตรว่า อดีตรมว.ต่างประเทศของเยอรมนี ขนอาวุธก่อการร้ายอยู่ที่แฟรงเฟิร์ต มาเป็นรมว.ต่างประเทศ ส่วนในไทย มีบุคคลที่เคยเป็นรัฐมนตรีหลายคน เคยอยู่ในป่า เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ถามว่า อดีตของเขาในวันนี้จะทำให้เขามาเป็น ส.ส. เป็นนักการเมือง อธิบดีฯ และนายพลได้หรือไม่
 
 
สุริยะใสชี้ไม่จำเป็นต้องลาออกเพราะเป็นแค่หมายเรียก แถมตั้งข้อหาเกินจริง
ด้านผู้จัดการออนไลน์ รายงานวานนี้ (6 ก.ค.) ว่านายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกพนักงานสืบสวนออกหมายเรียกข้อกล่าวหาฐานร่วมกับแกนนำพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย จัดชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ รวม 36 คนนั้น ว่า ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีการเรียกร้องให้ นายกษิต ลาออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นความต้องการของคนบางคนมาตั้งแต่ต้น โดยที่ผ่านมามีการกดดันให้ตำรวจตั้งข้อหาร้ายแรงเกิดเหตุต่อนายกษิต เนื่องจากการที่ นายกษิต เป็นรัฐมนตรีมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องการไม่ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว
 
ซึ่งในส่วนของ นายกษิตย์ ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะเป็นแค่หมายเรียก และเป็นการตั้งข้อหาเกินจริง และเป็นข้อหาที่ นปช.ตั้งให้ด้วยซ้ำ ถ้าลาออกเท่ากับยอมรับการกลั่นแกล้งของใครบางคน ขณะที่คนบางคนดังกล่าวมีความแน่นแฟ้นกับทางประเทศกัมพูชามากกว่านาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สังเกตได้จากระยะหลัง นายสุเทพ ต้องเป็นฝ่ายไปพบผู้นำประเทศกัมพูชา เพราะคงมีการยื่นคำขาดมาว่าจะไม่คุยกับนายกษิตอย่างเด็ดขาด
 
“พรรคการเมืองใหม่ ยืนยันว่า ไม่ได้ปกป้อง นายกษิต เพราะถึงอย่างไร นายกษิต ก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มาอยู่พรรคการเมืองใหม่อย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้จะมองว่า นายกษิต จะออกหรือไม่นั้นไม่เพียงพอ จะต้องมองถึงความแข็งแกร่งในเรื่องระหว่างประเทศของไทยด้วย หากนายกษิต ลาออก จะเท่ากับรัฐบาลยอมถอยในทางนโยบายต่อกัมพูชา ซึ่งถือว่าเพลี้ยงพล้ำในทางยุทธวิธีต่อคนบางคนที่สามารถคุกคามเสถียรภาพได้ ตลอดเวลา” นายสุริยะใส กล่าว
 
 
อ้าง นปช. บีบกษิตให้ออกจากตำแหน่งเพราะกษิตติดตามยึดพาสปอร์ตทักษิณ
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า การทำงานของ นายกษิต ในการติดตามยึดพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปด้วยความแข็งขัน ซึ่งในจุดนี้ก็มีหลายฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่ม นปช.จึงหาวิธีบีบกดดันให้ออกจากตำแหน่ง เห็นได้จากวันแรกที่ นายกษิต เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันก็ยังมีความพยายามดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาของกลุ่มคนเสื้อแดง ในส่วนของเรื่องคดีความต่างๆ ของพันธมิตรฯ และ นปช.นั้น ตนทราบว่าคนที่รับผิดชอบเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวในตอนแรกเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น พ.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรงจุดนี้ไม่ทราบว่า เพราะเหตุใดจึงได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งตนตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีผู้มีอำนาจบางคนทำการกลั่นแกล้งพันธมิตรฯอยู่ก็ มีความเป็นไปได้
 
ขณะเดียวกัน ในส่วนของพนักงานสอบสวนที่ออกหมายเรียกในข้อหาผู้ก่อการร้ายนั้น ก็ยังไม่มีความเป็นเอกภาพเท่าใด เพราะบางคนตีความเป็นผู้ก่อการร้าย อีกบางส่วนไม่ได้ตีความเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ทั้งนี้ ตนเห็นว่า ควรจะต้องดูที่เจตนามากกว่า นอกจากนี้ ยังทราบว่า ก็มีตำรวจบางคนที่จะยัดเยียดข้อกล่าวหาดังกล่าวให้ได้ อีกทั้งตอนแรกที่ตั้งข้อกล่าวหาก็ไม่พบชื่อของ นายกษิต ภิรมย์ ในรายชื่อของคดีนี้ จึงไม่ทราบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รู้เรื่องดังกล่าวบ้างหรือไม่ซึ่งควรจะมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย
 
“น่าจะมีฝ่ายการเมืองเข้าไปดำเนินการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งอาจมีการเกี่ยวโยงกันกับคดี 7ตุลา ที่ทาง ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ ที่พบว่า ล่าสุด จะมีการขยายผลสอบออกไปอีก 1 เดือน เพราะต้องการให้ผู้ที่มีอำนาจโยกย้ายนายตำรวจทั้งระดับสารวัตร โรงพัก ทั่วทั้งประเทศอีกล็อตหนึ่งหลังวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งผมคิดว่าคดีคดีที่พันธมิตรฯถูกออกหมายเรียกกับคดี 7ตุลา เป็นเกมการเมืองของบางฝ่าย ที่จะใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ทั้งยังทราบมาว่า ลูกชายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติบางคน ที่เป็นตำรวจและเป็นเพื่อนของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ที่ขณะนี้นั่งทำงานอยู่หน้าห้องของ ผบ.ตร.ซึ่งกระโดดข้ามห้วยเพื่อมาวิ่งเต้นช่วยตำรวจบางคน จุดนี้แกนนำพันธมิตรฯก็ได้มีการหารือกัน และคิดว่า เป็นเกมการเมืองอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรีเพียงได้แต่ดูดายไม่สนใจเรื่องดังกล่าว ที่จะทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมอย่างที่เคยกล่าวไว้” นายสุริยะใส กล่าว
 
 
ทนายพันธมิตรเคยยืนยันไม่ได้ก่อการร้าย ชุมนุมอยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าไป
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 17 ธ.ค. 51 นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวในรายรายการ “รู้ทันประเทศไทย” โดยยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้ปิดสนามบินตามที่มีการกล่าวหา โดยมีเหตุการณ์ที่ไล่เรียงได้ วันนั้น (25 พ.ย. 51) พันธมิตรฯ จะไปขัดขวางการประชุม ครม.ที่ทำเนียบชั่วคราว สนามบินดอนเมือง แต่แล้วก็ไม่มีการประชุม โดยมีข่าวว่าจะประชุมที่กองทัพไทย แต่เมื่อไปที่กองทัพไทย ก็ไม่มีการประชุม พอดีมีข่าวว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จะเดินทางกลับมาจากเปรู ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะลงที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง จึงไปชุมนุมในลักษณะล้อมอยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปข้างใน แม้แต่การชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลก็ใช้ที่สนามหญ้า การไปสุวรรณภูมิก็ต้องการไปอยู่ข้างหน้า
 
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า วันนั้นที่พันธมิตรฯ ไป มีกลุ่มคนขับแท็กซี่ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วและมาไล่ตีพันธมิตรฯ บางส่วน แล้วหลังจากนั้นนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ประกาศปิดสนามบินทันที อ้างว่ากลัวความวุ่นวาย และผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกสบาย แต่จริงๆ แล้ว ที่ตนรู้มานายเสรีรัตน์ (ญาตินายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง) ต้องการจะโยนบาปให้พันธมิตรฯ เพราะการปิดสนามบินส่งผลกระทบมาก รวมถึงผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ด้วย แต่ความจริงแล้วพันธมิตรฯ ต้องการไปอยู่ข้างหน้า โดยที่ผู้โดยสารที่อยู่ข้างในสามารถออกมาได้ คนที่จะเข้าไปก็เข้าไปได้
 
ระบบขนส่งสาธารณะไม่มีอะไรที่พันธมิตรฯ เข้าไปแตะ ไม่ว่าจะเป็นรันเวย์ งวง ตัวเครื่องบิน หอบังคับการบิน แต่นายเสรีรัตน์ประกาศปิด ก็หยุดทำงานหมด ผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องแล้วก็สั่งให้ลง ผู้โดยสารบนเครื่องที่อยู่บนท้องฟ้าก็ไม่มีที่ลง เป็นการปิดโดยไม่วางแผนอะไรรองรับ แทนที่จะหาที่อื่นให้ลงเพราะประเทศไทยมีสนามบินนานาชาติตั้งหลายที่ แต่กลับประกาศปิดเช่นนี้ นายเสรีรัตน์ต้องรับผิดชอบ
 
นายสุวัตรฯ กล่าวอีกว่า เท่าที่ทราบมาในบอร์ดของการท่าฯ ได้ตำหนิการกระทำของนายเสรีรัตน์ และเขาจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งศาลจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าใครควรรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ส่งออก ผู้โดยสารทั้งจะไปจะกลับ สามารถฟ้องสนามบินได้ ถ้าจะฟ้องพันธมิตรฯ ด้วย เราก็พร้อมจะพิสูจน์ ศาลจะบอกว่าสนามบินปิดเพราะใคร
 
 
ที่มา: เรียบเรียงจากอัลจาซีร่า, ASTVผู้จัดการออนไลน์, ประชาทรรศน์ และไทยรัฐ
ภาพประกอบหน้าเว็บ: Reuters/daylife.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net