Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ความขัดแย้งทางสังคมหลายๆ ประเทศ นั้นมีมายาวนานต่อเนื่องและส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งทั้งทางชาติพันธุ์และ ศาสนา เช่น ระหว่างชาวเซิร์บและชาวโครแอธ ในบอสเนีย ระหว่างชาวไอริชนิกายคาทอลิก กับโปรเตสแตนท์ในไอร์แลนด์เหนือ ระหว่างชาวมุสลิมอุยกูร์และชาวจีนฮั่น ในมณฑลซินเจียงของจีน หรือ ระหว่างชนเผ่า ฮูตู กับ ทุตซี ในรวันดา ความแตกต่างเหล่านี้นำไปสู่การปฏิบัติที่เหลื่อมล้ำทุกมิติในสังคม นอกเหนือจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์และศาสนาแล้ว ในทุกสังคมมักจะปรากฏร่องรอยของความไม่เสมอภาคทั้งทาง สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตามมาเสมอโดยผู้กุมอำนาจรัฐเป็นกลไกสำคัญที่เป็นบ่อเกิดของความเหลื่อมล้ำจน นำไปสู่ความขัดแย้งของคนในสังคม ขัดแย้งรุนแรงขึ้น และต่อเนื่องจนไม่อาจหาข้อยุติได้

ความขัดแย้งในสังคมไทยก็เช่นกันแม้ว่าความหวาดวิตกภัยคุกคามจากลัทธิ คอมมิวนิสต์หมดไป แต่แล้วความขัดแย้งในสังคมไทยได้เคลื่อนตัวออกจากประเด็นของอุดมการณ์ พัฒนาสู่ปัญหาใหม่ภายใต้บริบทของการพัฒนา เมื่อความต้องการของมนุษย์สวนทางกับความยั่งยืนของธรรมชาติโดยมีรัฐเป็นกลไก จัดการทรัพยากร รวมทั้งเป็นผู้กำหนดนโยบายสาธารณะต่างๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิและอำนาจในการจัดการทรัพยากร นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างการคงวิถีความเป็นอยู่ดั้งเดิม กับทิศทางการพัฒนาประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาสาธารณะที่ไม่สามารถจัดการได้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจึงเป็นความขัดแย้งที่เป็นผลพวงจากการ แย่งชิงและการจัดการทรัพยากร อันเกิดจากการจัดการของรัฐที่ไม่มีดุลยภาพภายใต้โครงสร้างอำนาจ นิยม(Authoritarianism) คนยากจนมักจะถูกเบียดขับจากโอกาสทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ไม่อาจเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ จนกระทั่งโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างปกติ

ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นซับซ้อนมากขึ้น ทั้งได้พัฒนาและขยายตัวไปพร้อมๆ กับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศซึ่งเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่โครงสร้างอำนาจนิยม(Authoritarianism) ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแนวโน้มการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับประชาชนจึงหลีกไม่พ้น เรื่องการใช้อำนาจ ด้วยรูปแบบต่างๆ ตลอดมา เช่น เหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ 2535 กระทั่งหลังสุดเหตุการณ์นองเลือดที่ราชประสงค์ ซึ่งล้วนแล้วเกิดจากโครงสร้างอำนาจนิยม(Authoritarianism)ทั้งสิ้น
   
เมื่อการใช้สิทธิและอำนาจตามกฎหมายของรัฐมิได้ใช้อย่างเปิดเผย ชอบธรรม และยุติธรรมด้วยหลักนิติรัฐ รวมทั้งตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาล(good governance) หากแต่มีแนวโน้มที่มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) ซุกซ่อนเป็นประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)เสมอ รัฐกับประชาชนจึงกลายเป็นคู่กรณี(actor) คู่เอกของความขัดแย้งสาธารณะ(Public conflict) การมีส่วนร่วมทางการเมือง(Political Participation) ในหลายมิติที่รัฐพยายามกล่าวถึง ไปๆ มาๆ เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองของผู้ปกครองเท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำในหลายมิติล้วนนำไปสู่ความขัดแย้งที่ได้รุกฆาตวิถีชีวิต ของคนในสังคมตลอดมา ทั้งนี้มีสาเหตุที่นำไปสู่ความขัดแย้งจึงประกอบด้วยเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ กล่าวคือ

เงื่อนไขเชิงภาวะวิสัย (Objective Condition )ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจาก ความเหลื่อมล้ำทั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดความแตกต่างเป็นอย่างมาก ระหว่าง คนรวยกับคนจน คนเมืองกับคนชนบท ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างการมีอำนาจกับไม่มีอำนาจ คนไม่มีอำนาจมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบเสมอมา ทั้งจากรัฐและระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

เงื่อนไขเชิงอัตวิสัย (Subjective Condition ) ที่เป็นทั้งความเชื่อแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางชนชั้น ที่ตระหนักถึงความไม่เป็นธรรม ความไม่เสมอภาค รวมทั้งปฏิเสธการรัฐประหารทุกรูปแบบเพื่อนำสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตย เป็นการปะทะทางอุดมการณ์ระหว่างประชาชนที่ต้องการความเสมอภาคกับรัฐที่มี โครงสร้างเชิงอำนาจนิยม อันเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ประชาชนตกเป็นเบี้ยล่างเสมอมา

และเงื่อนไขเสริม ( Facilitating Condition) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้เกิดการรวมกลุ่มเรียกร้องเข้าสู่ขบวนการ ทางสังคม ไม่ว่าความอ่อนแอของรัฐบาล การแย่งชิงอำนาจของกลุ่มการเมือง การเกิดผู้นำที่ได้รับศรัทธาและมีความสามารถในการรวบรวมมวลชน การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร    รวมทั้งการสนับสนุนจากแนวร่วมกลุ่มอื่นๆ ดังที่เราได้เห็นมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา

ซึ่งทั้งสามเงื่อนไขดังกล่าวนี้ ได้ผลักดันให้เกิดการรวมตัวและเคลื่อนไหวจนนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยก และความรุนแรงในสังคมไทยตามมา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจึงต้องเข้าใจบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่เป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้ง หากที่ผ่านมาปัญหาความขัดแย้งนำไปสู่การเข่นฆ่าทำลายล้างต่อกันได้เตือนอะไร ให้สังคมไทยได้บ้างนั้น จุดเริ่มต้นคือคนไทยทุกคนต้องช่วยกันป้องกันมิให้เงื่อนไขแห่งความขัดแย้ง เกิดขึ้นและช่วยกันชักฟืนออกจากไฟ รัฐและกลไกของรัฐในฐานะผู้ปกครองต้องเริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจนิยม โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ให้ประชาชนได้กำหนดนโยบายสาธารณะตามวิถีของชุมชนเพื่อลดช่องว่างของความ เหลื่อมล้ำลงและสิ่งสำคัญที่สุดทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้น ในสังคมทุกๆมิติ เพื่อนำสังคมไปสู่ “สมดุลยวิถี” เป็นเครื่องมือสลายความเหลื่อมล้ำและขับเคลื่อนสังคมไทยออกจากความขัดแย้งไป สู่ความสันติสุขและสมานฉันท์ต่อไป
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net