Skip to main content
sharethis

ส.ว.หนุน “อุโมงค์สตูล-เปอร์ลิศ” อดีตผู้ว่าฯออกหน้าหนุนสร้าง เผย“มหาเธร์-สุลต่าน” สนใจโครงการ ชาวบ้านหวั่นละลายงบประมาณ-ผู้นำศาสนากลัววิถีอิสลามเพี้ยน เครือข่ายภาคประชาชนแนะศึกษาร่วมมาเลย์ นายสุริยา ปันจอร์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสตูล พูดแสดงความเห็นสนับสนุนโครงการอุโมงค์ –เปอร์ลิศ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 ที่ห้องประชุมตะรุเตา โรงแรมพินนาเคิลวังใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล จังหวัดสตูล ร่วมกับกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บริษัท เอ็มเอเอ คอนซัลแคนท์ จำกัด บริษัท ไทย เอ็มเอ็ม จำกัด และบริษัท พรีดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแคนท์ จำกัด จัดการประชุมปฐมนิเทศโครงการการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างอุโมงเชื่อมทางหลวงระหว่างจังหวัดสตูล – รัฐเปอร์ลิศ ประเทศมาเลเซีย โดยมีส่วนราชการ ผู้นำส่วนท้องถิ่น นักธุรกิจภากเอกชน และประชาชน ร่วมประมาณ 100 คน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสมาชิกอาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) ประมาณ 50 นาย นายสุเมธ ตันติชัยเลิศวนิชกุล อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวก่อนกรมทางหลวง และบริษัทที่ปรึกษาชี้แจงว่า หลังจากที่ตนเกษียรอายุราชการจากผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลเมื่อปี 2553 ตนได้ทำหนังสือไปยังสภาพัฒน์ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ความสำคัญของโครงการอุโมงค์สตูล – เปอร์ลิศ ตอนที่ตนเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลได้เข้าไปคุยกับสุลต่านรัฐเปอร์ลิศ นายมหาเธร์ มูฮำหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ซึ่งทั้ง 2 ท่านให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง นายสุเมธ กล่าวอีกว่า นายมหาเธร์ แนะนำตนว่าให้ไปคุยกับประเทศจีนให้เข้ามาลงทุน เนื่องจากจีนทั้งสนใจและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการเจาะอุโมงค์ และให้ทางรัฐบาลไทยและมาเลเซียออกค่าใช้จ่ายฝ่ายละครึ่ง แล้วให้ทางจีนมารับสัมปทานโครงการ 30 ปี “นายสมเกียรติ เลียงประสิทธ์ ถามผมว่าทำไมผมถึงสนใจโครงการนี้นัก ผมแค่ต้องการทำเพื่อจังหวัดสตูล ทำเพื่อแผ่นดินเท่านั้น ดังนั้นหากโครงการนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ขอให้ขึ้นป้ายว่าผู้ริเริ่มโครงการนี้คือ ผู้ว่าสุเมธ ตอนที่ผมตายไปแล้วด้วย” นายสุมเมธ กล่าว นายประสิทธิ์ เสวนาพฤกษ์ ผู้จัดการโครงการฯชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอุโมงเชื่อมทางหลวงระหว่างจังหวัดสตูล – รัฐเปอร์ลิศ ประเทศมาเลเซีย เป็นโครงการทางหลวงหรือถนน ที่ตัดผ่านพื้นที่ป่าชายเลน พื้นที่อุทยานแห่งชาติ พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 A ตามมติคณะรัฐมนตรีจึงต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประสิทธิ์ ชี้แจงอีกว่า กรมทางหลวงจึงว่าจ้างบริษัท เอ็มเอเอ คอนซัลแคนท์ จำกัด บริษัท ไทย เอ็มเอ็ม จำกัด และบริษัท พรีดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแคนท์ จำกัด เพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ และตำแหน่งที่เหมาะสมในการก่อสร้าง นายนิรัตน์ ตันสวัสดิ์ วิศวกรโครงสร้าง ชี้แจงว่า ใช้ระยะเวลาดำเนินการศึกษาโครงการ 12 เดือน โดยเริ่มจากวันที่ 28 เมษายน 2554 ถึงเมษายน 2555 โดยมีการจัดสัมมนา 3 ครั้ง คือในวันที่ 22 กันยายน 2554 ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554 และมีการประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการในช่วงเดือน เมษายน 2555 มีการประชุมกลุ่มย่อย 2 ครั้ง ในช่วงเดือนมิถุนายน 2554 และเดือนมกราคม 2555 มีการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับประชาชนตลอดระยะเวลาในการศึกษา zผ่านโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ www.satun-perlisfunnul.com อีกด้วย นายมนูญ แสงเพลิง ผู้ชำนาญการด้านสิ่งแวดล้อม ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอุโมงเชื่อมทางหลวงระหว่างจังหวัดสตูล – รัฐเปอร์ลิศ ประเทศมาเลเซีย มีแนวศึกษา 3 เส้นทาง คือ 1.ถนนวังประจัน – วังเกลียน ประเทศมาเลเซีย 2.ถนนเชื่อทางหลวงอุโมงค์สตูล –เปอร์ลิศ บริเวณบ้านนาแค ตำบลคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 3.ถนนสะพานเชื่อมทางหลวงตำมะลัง – ปูยู –เปอร์ลิศ ซึ่งทั้ง 3 เส้นทางต้องผ่านอุทยานแห่งชาติทะเลบันทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องขอเพิกถอนพื้นที่หากมีการก่อสร้างโครงการ นายสุริยา ปันจอร์ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสตูล แสดงความเห็นว่า ถ้าหากว่าไม่ส่งผลกระทบถึงขนาดชาวบ้านจังหวัดสตูลลุกขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน ตนสนับสนุนและเห็นด้วยกับโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง สำหรับทฤษฎีการพัฒนาต้องมีผลกระทบแน่ๆ โครงการนี้ต้องเกิดเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดสตูล แต่ทั้งประเทศไทย “มีเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภาบอกกับผมว่าสตูลสงบ ทั้งๆที่เป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่นเดียวกับปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แต่ผมมองว่าจังหวัดสตูล สงบจนเงียบหายไปเลย ภาครัฐมองเป็นแค่จังหวัดไส้ติ่งไร้ประโยชน์ สตุลเป็นจังหวัดที่อาภัพมากๆ” นายสุริยา กล่าว นายหมาดโหด ละใบแด ตัวแทนชมรมโต๊ะอีหม่ามจังหวัดสตูล แสดงความเห็นว่า หากโครงการนี้เกิดขึ้นตนกังวลเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคง และสังคมจากการเปิดประตูเมือง ธรรมดาแล้วเมื่อความเจริญหลั่งไหลเข้ามาอบายมุขก็เข้ามาด้วย ตนมองว่าสตูลต้องสงบและสะอาดทั้งสิ่งแวดล้อม คุณธรรมและจริยธรรมของศาสนาอิสลาม “ผมบังเอิญเดินทางผ่านที่ด่านสะเดา ผมเห็นผู้หญิงตามสถานบันเทิง นักเที่ยวผู้ชายที่เมามาย มีสถานบันเทิง ลามกอนาจาร อบายมุขเต็มไปหมด ผมอายถึงขนาดต้องถอดหมวกกะปิเยาะ ทั้งที่ผมแต่งชุดดะวะฮ์ ผมนึกแล้วน้ำตาไหล ผมไม่อยากให้จังหวัดสตูลเป็นแบบนั้นเลย” นายหมาดโหด กล่าว นายสมบูรณ์ คำแหง คณะทำงานเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล แสดงความเห็นว่า ตนเห็นด้วย และไม่ปฏิเสธการพัฒนาเส้นทางระหว่างสตูล – เปอร์ลิศ แต่ไม่ควรตั้งธงล่วงหน้าว่าต้องสร้างออกมาในรูปแบบอุโมงค์ ต้องพิจารณาว่าเส้นทางวังประจันสามารถพัฒนาต่อได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจจุบันตลาดนัดด่านวังประจันก็มีนักท่องเที่ยวคึกคักอยู่แล้ว ถ้าสร้างด่านใหม่ด่านวังประจันจะซบเซาหรือไม่ ต้องปิดหรือไม่อย่างไรและมีการนำชาวบ้านที่วังประจันมาร่วมเวทีด้วยหรือเปล่า “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเคยตั้งข้อสังเกตุในวันที่มารับฟังคำชี้แจงว่าเป็นฝ่ายไทยวิ่งเต้นฝ่ายเดียวหรือเปล่า ตนมองว่าควรมีการศึกษาร่วมกันระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียพร้อมๆกัน ตนยังกังวลถึงงบประมาณ 35 ล้านบาทที่ใช้ในการศึกษาว่าจะไม่ไปถึงไหนอีก ที่ผ่านมาได้ศึกษามาหลายครั้งแล้วเปลืองงบประมาณไปโดยใช่เหตุ” นายสมบูรณ์ กล่าว นายอะหมาด หลงจิ กำนันตำบลฉลุง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล แสดงความเห็นว่า 15 ปีที่ผ่านมาได้มีการศึกษาโครงการนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่รู้เสียงบประมาณในการศึกษาไปมากเท่าไหร่แล้ว ทั้งเมื่อปี 2553 ตนได้รับคำสั่งจากนายสุเมธ ตันติชัยเลิศวนิชกุล อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ให้นำกล่องเพื่อรับบริจากเกี่ยวกับการเจาะอุโมงค์สตูล – เปอร์ลิศ แต่ตนก็ไม่นำกล่องดังกล่าวไปรับบริจาค “การรับบริจาคดังกล่าว เคยเป้นข่าวออกทีวี แต่ผมไม่รู้ว่าจำนวนเงินจากกล่องรับบริจาคตรงนั้นไปอยู่ที่ไหน แล้วถ้าหากผมรับไปวางไว้ที่มัสยิดให้ชาวบ้านบริจาค แล้วตอนนี้ผมจะตอบชาวบ้านว่าอย่างไร” นายอะหมาด กล่าว ข้อสังเกตต่อการศึกษาเส้นทางหลวงสตูล-เปอร์ลิสผ่านเวทีการศึกษาโครงการเจาะอุโมงค์ ต้องยอมรับว่าการเดินทางระหว่างประเทศไทย และมาเลเซีย ผ่านเส้นทางชายแดนด่านวังประจัน เป็นความจำเป็นระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศการพัฒนาเส้นทางเพื่อให้มีการสัญจรที่สะดวก และมีระบบการจัดการผ่านแดนที่มีศักยภาพจึงเป็นสิ่งที่คนสตูล และคนมาเลเซียเรียกร้องตลอดเรื่อยมา ทั้งนี้หากจะมีการสร้างเส้นทางใหม่ หรือจุดผ่านแดนใหม่ หรือจะเพิ่มจุดผ่านแดนอย่างไรก็แล้วแต่ จะต้องมีการศึกษาถึงผลได้ ผลเสียในมิติต่างๆอย่างรอบด้าน ซึ่งจะเป็นการป้องกันความเสียหายที่ไม่อาจเรียกกลับได้ หรือเพื่อมิให้มีการใช้งบประมาณสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น จึงขอเสนอข้อสังเกตที่คนสตูลจะต้องหาคำตอบดังนี้ คือ ๑. เส้นทางหลวงที่จะเชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซียเดิม(ด่านวังประจัน) มีปัญหา หรือข้อจัดกัดอย่างไรจึงต้องสร้างเส้นทางใหม่ด้วยว่า - ด่านวังประจัน เป็นด่านแห่งการค้าของคนสตูล และมาเลเซีย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกปีจากทั่วประเทศซึ่งสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสตูลจะมีการศึกษาความเสียหายตรงจุดนี้หรือไม่ และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายเหล่านี้พ่อค้า แม่ค้าที่ด่านชายแดนได้มีส่วนรับรู้กับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ - ตลอดเส้นทางไปสู่ด่าน (จากสามแยกควนโดน) เป็นย่านชุมชนเกษตร ที่มีการปลูกผลไม้ท้องถิ่นของจังหวัดสตูล ทั้งทุเรียน ลองกอง เงาะ จำปาดา และยังมีแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงระดับประเทศ เมื่อถึงฤดูกาลจะมีการนำผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้มาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวโดยตรงตลอดทาง ซึ่งสร้างความคึกคัก และสร้างเศรษฐกิจให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้จะสูญหายไปหรือไม่ อย่างไร - เส้นทางเดิม (ด่านวังประจัน) ที่มีอยู่แล้ว หากจะพัฒนาให้มีศํกยภาพมากขึ้น จะประหยัดต้นทุน หรืองบประมาณของทางประเทศมากกว่าหรือไม่ อย่างไร ` ๒. การสร้างเส้นทางใหม่ หรือการจะพัฒนาเส้นทางให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น ขณะนี้ได้มีการศึกษาเส้นทางเลือกที่เหมาะสมไว้กี่เส้นทาง เพราะมีเส้นทางที่คนสตูลยังถกเถียงกันอย่างไม่ลงตัวอย่างน้อย ๓ เส้นทางคือ ๑ เส้นเดิม ด่านวังประจัน ๒ เส้นเลียบชายฝั่งผ่านตำบลปูยู ๓ เส้นที่จะเจาะอุโมงค์ (ซึ่งไม่ชัดว่ามีการเลือกจุดที่จะเจาะไว้แล้วหรือไม่อย่างไร) ด้วยว่า - รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติงบสำหรับศึกษา ออกแบบ หรือศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมาแล้วจำนวน ๓๕ ล้านบาท เสมือนเป็นบทสรุปสุดท้ายแล้วว่าจะต้องต้องเจาะอุโมงค์เท่านั้น หรืออย่างไรแล้วเส้นทางอื่นมีข้อจำกัดอย่างไร - หากจะเจาะภูเขา ฝั่งประเทศมาเลเซียได้การตอบรับ หรือมีข้อตกลงระหว่างประเทศที่เป็นทางการระหว่างรัฐต่อรัฐแล้วหรือไม่ อย่างไร ตลอดถึงการศึกษาเบื้องต้นของโครงการก็ควรจะเสนอให้มีการทำร่วมกัน เพื่อให้ได้บทสรุปการศึกษาร่วมเพื่อเสนอต่อรัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ใช่ต่างคนต่างทำ หรือทำเพียงฝ่ายเดียว การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวนี้ ยังมีประเด็นรายละเอียด ซึ่งอาจจะคาดการณ์ได้ในอนาคตอีกหลายประเด็น เช่น - มีด่านใหม่ แล้วด่านเก่าจะยกเลิก หรือจะคงไว้หรือไม่อย่างไร - ความคับคั่งที่เคยมีที่ด่านวังประจันจะต้องลดน้อย และหายไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือความเสียหายที่จะเกิดขึ้น - ด่านใหม่ หรือเส้นทางอุโมงค์ จะมีการพัฒนาเป็นแหล่งการค้าใหม่หรือไม่ ถ้ามีใครจะได้ประโยชน์ พ่อค้า แม่ค้าที่มีการค้าขายอยู่ที่ด่านเดิมจะได้รับสิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ ซึ่งการตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ก็มิได้หมายความว่าจะคัดค้านการพัฒนาเส้นทางระหว่างประเทศไทย – มาเลเซียไม่ หากแต่ต้องการความชัดเจนต่อข้อสงสัยเหล่านี้ และเชื่อว่าหากมีการพิเคราะห์อย่างรอบด้านแล้ว จะทำให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างมีศักยภาพมากที่สุด หรือไม่ก็จะยังผลประโยชน์โดยรวมให้กับคนในจังหวัดสตูลอย่างแท้จริง จึงขอให้พวกเรา ชาวสตูลได้ร่วมกันหาคำตอบ และร่วมติดตามสิ่งเหล่านี้อย่างสร้างสรรค์ และ คำนึงถึงผลได้ ผลเสีย อย่างมีเหตุผล และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net