Skip to main content
sharethis

รายงานเวทีเสวนาโครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้: ร้อยเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ปาตานี ฟังแง่มุมประวัติศาตร์จากผู้รู้ในชายแดนภาคใต้ โครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้: ร้อยเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ปาตานี ได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งในแหล่งค้นคว้าต่างๆ ไม่ว่าในกรุงเทพฯ จนออกนอกประเทศถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งมีการรวบรวมรายชื่อพร้อมทั้งคำอธิบายเอกสารแต่ละชิ้นได้ส่วนหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ก่อนเที่ยงวันที่ 18 สิงหาคม 2554 ที่ใต้ถุนห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลรูสะมิแล ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี บรรดาผู้คนประมาณ 50 ชีวิต จากหลากหลายที่มาเดินทางมาร่วมกิจกรรม “โครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนใต้: ร้อยเอกสารสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี” หรือ 100 Important Documents about Patani History Project อันเป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยภาควิชาประวัติศาสตร์ แผนกวิชามลายูศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ร่วมกับหน่วยวิจัยภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยการสนับสนุนของมูลนิธิเอเชีย งานในวันนั้น นอกจากจะนำเสนอเอกสารเกี่ยวประวัติศาสตร์ปัตตานี 100 ชิ้น ทั้งที่เป็นภาษามลายู ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศแล้ว ยังมีการเสวนาในหัวข้อเดียวกับชื่อโครงการ จากผู้รู้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีแง่มุมที่น่าสนใจยิ่ง .................................................................................................................... ดร.อาหมัดอูมาร์ จะปะกียา รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา สมัยก่อนการเรียนประวัติศาสตร์ปัตตานี ต้องเรียนกันอย่างลับๆ แต่วันนี้เราสามารถพูดเรื่องประวัติศาสตร์ปัตตานี เพื่อกำหนดทิศทางในอนาคตได้บ้างแล้ว ผมคิดว่าการพูดคุยเรื่องประวัติศาสตร์ ควรแยกจากการเมืองปัจจุบัน และไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกระทบต่อจิตใจ จนกลายเป็นเรื่องที่พูดกันไม่ได้ ในช่วง 20–30 ปีที่ผ่านมา หลายคนไม่กล้าเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี เพราะเกรงจะถูกเพ่งเล็ง ผมจึงชื่นชม “อ.บางนรา” (อับดุลลอฮ ลออแมน) ที่กล้าบุกเบิกเขียนออกมา ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่ดี เพราะเป็นการปลดแอกวัฒนธรรมความกลัวที่จะเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี แต่ถึงอย่างไรยุคที่อ.บางนรา ลุกขึ้นมาเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี ก็ยังไม่สามารถใช้ชื่อจริงได้ เพราะการพูดประวัติศาสตร์ปัตตานีสมัยนั้น เป็นเรื่องผิดกฎหมาย อับดุลลอฮ ลออแมน หรืออ.บางนรา เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี และเป็นงานเขียนที่มีคนนำไปอ้างอิงจำนวนมาก มีผู้นำไปแปลจากภาษามลายูเป็นภาษาอื่นๆ จนกลายเป็นงานเขียนสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผลจากงานเขียนของอับดุลลอฮ ลออแมน ทำให้คนรุ่นหลังกล้าที่จะออกมาเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีอย่างเปิดเผย สุดท้ายออกมาเป็นเรื่องมหานครปัตตานีของ พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม เป็นงานเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีที่เปิดเผยและชัดเจนมาก รวมทั้งงานของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอย่าง ศ.ดร.ครองชัย หัตถา วันนี้วัฒนธรรมความกล้าที่จะเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีได้กระจายออกไปแล้ว และเวทีนี้เป็นอีกเวทีปลดแอกวัฒนธรรมความกลัวที่จะเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี งานนี้จะทำให้การเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานี เป็นวัฒนธรรมปกติธรรมดาของการเขียนและเรียนรู้ทางวิชาการ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี ผมคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว อย่าเอาประวัติศาสตร์มาเป็นปัญหาอุปสรรคในการกำหนดทิศทาง และการพัฒนาในอนาคต ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ เป็นบทเรียน จะต้องแยกแยะให้ได้ ประวัติศาสตร์เป็นความจริง เอกสารประวัติศาสตร์จึงสำคัญมาก การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในด้านวิชาการ ต้องแบ่งให้ชัดเจน ระหว่างประวัติศาสตร์กับการเมืองปัจจุบัน ผลที่เกิดจากวัฒนธรรมความกลัวในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ปัตตานี ทำให้ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันอย่างลับๆ เพราะไม่สามารถเรียนรู้โดยเปิดเผยได้ วัฒนธรรมนี้ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีอำนาจก็ต้องมีท่าทีที่ชัดเจนต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ด้วย ต้องดูบทเรียนในประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์มีจุดอ่อน จุดแข็งในตัวมันเอง ความหมายของผมคือ ผู้มีอำนาจต้องดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว อะไรเป็นจุดแข็งที่จะนำมาพัฒนาต่อ และอะไรเป็นจุดอ่อนที่จะต้องลบเลือน สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เคยผิดพลาดในประวัติศาสตร์ กลายเป็นอคติเป็นความไม่พอใจ นี่คือความผิดพลาดทางนโยบายในสมัยนั้น ที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ สมัยปรีดี พนมยงค์ เขานำประชาธิปไตยมาเป็นตัวตั้ง ทำอะไรก็ปรึกษาหารือกับผู้นำใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการกำหนดทิศทางอนาคตร่วมกัน สมัยนั้นมีเรื่องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ปีค.ศ.1145 มีกฎหมายอิสลาม กำหนดให้มีจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ผู้นำมุสลิมสมัยนั้นคือ นายหะยีสุหลง โต๊ะมีนาตอบรับ และได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีเป็นคนแรก สุดท้ายจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ก็ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของพื้นที่นี้ นี่เป็นตัวอย่างที่เป็นจุดแข็งของประวัติศาสตร์ สมัยนั้น การเมืองในภูมิภาคนี้ อยู่ในภาวะย่ำแย่ ประเทศอินโดนีเซียประกาศเอกราชในปีค.ศ. 1947 และประเทศมาเลเซียประกาศเอกราชตามมา แต่คนมลายูในปัตตานี ยะลา นราธิวาส กลับยอมรับกฎหมาย ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เข้าไปมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของที่นี่ นี่เป็นตัวอย่าง ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คนที่เป็นรัฐบาลมาจากทหารคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม มองเป็นเรื่องไม่ดี กลับมองเป็นด้านลบ จนหะยีสุหลง โต๊ะมีนา ซึ่งยื่นข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อรัฐบาล ถูกจับและถูกฆ่า การฆ่าหะยีสุหลง โต๊ะมีนา ส่งผลไม่ดีทางการเมือง เพราะหลังจากนั้น 3 ปีคือ ปี ค.ศ.1960 ก็เกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดน ก่อนหน้านั้นไม่มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน สมัยอับดุลกอเดร์ (เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน หรือ พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตประเทศราช เจ้าผู้ครองปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2442 - 2445 ถือเป็นเจ้าผู้ครองปัตตานีองค์ที่ 5 และเป็นเจ้าผู้ครองปัตตานีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กลันตันที่ปกครองปัตตานี-วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ไม่ได้เป็นขบวนแบ่งแยกดินแดน ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เกิดหลังจากฆ่าหะยีสุหลง โต๊ะมีนา เพราะรัฐไม่ยอมรับข้อเสนอของหะยีสุหลง โต๊ะมีนา อคติที่มีต่อกันในสมัยนั้นมีสูงมาก มีเอกสารฉบับหนึ่ง เป็นมติของคณะรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมในสมัยนั้นดำเนินการ ระบุความต้องการของรัฐที่จะเปลี่ยนศาสนาของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาพุทธ อคติแบบนี้นำไปสู่การตัดสินใจทางการเมืองในสมัยนั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เป็นบทเรียนแก่ผู้มีอำนาจและรัฐบาล ไม่เพียงแค่ของภาคใต้ แม้กระทั่งเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 ก็ต้องเก็บรับมาเป็นบทเรียน เพราะนักการเมืองหลายคนในปัจจุบัน ก็เคยจับปืนเข้าป่า ต่อสู้กับรัฐบาลในสมัยนั้นมาแล้ว แต่นโยบาย 66/23 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนคนที่ถืออาวุธในสมัยนั้นยอมจำนน คนที่ต่อต้านรัฐบาล ไม่ใช่แค่คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น กรณีถังแดง ที่จังหวัดพัทลุง สถานการณ์ก็ย่ำแย่ แต่วันนี้เราจะพูดในแง่ของประวัติศาสตร์ปัตตานี ในฐานะผู้สนับสนุนกิจกรรมนี้ จะต้องเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีออกมาให้ชัดเจน จากการสนับสนุนของพล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม หรืออาจารย์ครองชัย หัตถา และผู้ใหญ่หลายๆ คน นับเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่จะเดินต่อไปในอนาคต เพื่อที่จะทำให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ขอชื่นชมรัฐบาลปัจจุบัน ที่กล้ายอมรับความจริง ผู้นำขบวนการก็ต้องยอมรับความจริงเช่นกัน เหมือนกับยัสเซอร์ อาราฟัต ที่ทำสงครามกับอิสราเอลเป็นเวลาหลายปี สุดท้ายต้องมาเจรจากัน เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริง จะฝังความเป็นจริงไม่ได้ แต่เรื่องการเมืองต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ เป็นตัวอย่างที่อยากจะบอกว่า ขอเรียนถึงหน่วยงานทางด้านความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องยอมรับความจริงว่า เรื่องของประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ต้องเปิดกว้าง ขอชื่นชมที่ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่แปลหนังสือประวัติศาสตร์ปัตตานีของอิบรอฮิม ชุกรี และหนังสือเล่มอื่นๆ ที่แปลไปก่อนหน้านี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญอย่างมาก และต้องทำเรื่องเล่านี้ให้เป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องปกติ ในอนาคตรัฐบาล ควรทำให้การเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ปัตตานี เป็นวิชาหนึ่งในหมวดวิชาสังคมศึกษา ความสัมพันธ์ของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับปัตตานี มีเขียนกันไว้เยอะมาก จากที่ผมได้วิจัยมาแต่ก่อนนั้น มีเยอะใน Colonial office (ทบวงบริหารเมืองขึ้น) ในศตวรรษที่ 18–19 สมัยอังกฤษเข้ามาปกครองแหลมมลายู อังกฤษได้ตั้ง Colonial office ไม่ว่าจะเป็นที่สิงคโปร์, ปีนัง มีบันทึกในColonial office เยอะมาก หรือใน forien office (FO) มีหนังสือโต้ตอบกับกษัตริย์มลายูในสมัยที่มีปัญหากับอังกฤษ เช่น ต่วนกูอับดุลกอเดร์ที่เป็นราชวงค์องค์สุดท้ายกับ Sveten Hang เป็น General Govermore ตัวแทนของอังกฤษที่ดูแลแหลมมลายู เป็นการโต้ตอบที่น่าสนใจมาก อยากบอกว่าความสัมพันธ์ทางเอกสารที่เกี่ยวข้องกับปัตตานีนั้น ได้จาก Ferry office และ Colonial office เยอะมาก ในศตวรรษที่ 20 อังกฤษมีบทบาทสูง โดยเฉพาะในแหลมมลายู อังกฤษมีข้อมูลเยอะมาก เมื่อกล่าวถึงกีตาบยาวี (ตำราภาษายาวี) จะนึกถึงกีตาบเรื่องศาสนา เรื่องการทำพิธีกรรมต่างๆ แต่หากศึกษากีตาบเหล่านี้อย่างชัดเจน เช่น งานเขียนของเชคอะหมัด อัลฟอนี จะพบว่ากีตาบหรือหนังสือของท่าน ไม่ได้มีเฉพาะด้านการทำอิบาดะห์อย่างเดียว แต่มีด้านอื่นด้วย เช่น ด้านสังคม หนังสือชื่อฮาดิสกอตุล ของเชคอะหมัด มีการกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้สังคมมลายูตกต่ำ เข้าใจว่าช่วงนั้นโลกมุสลิมตกต่ำอย่างยิ่ง เพราะช่วงศตวรรษที่ 18–19 โลกอิสลามอยู่ในช่วงที่ตกต่ำอย่างมาก โดยเฉพาะมาเลเซียมีความล้าหลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าตะวันตก ขณะที่ตะวันตกสามารถผลิตหนังสือได้เป็นแสนเล่ม ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่มาเลซียยังคัดด้วยมือ อ่านแล้วทำให้มองเห็นสภาพปัญหาของสังคมตอนนั้นได้ พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ ทำไมเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ปัตตานี จึงไม่เป็นเอกสารสำคัญของประเทศไทย นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก ปัญหาอุปสรรคของการศึกษาประวัติศาสตร์ปัตตานีคือ เอกสารที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานีถูกทำลายไปมาก ทั้งสมัยก่อนหะยีสุหลง โต๊ะมีนา หรือยุคหลังหะยีสุหลง โต๊ะมีนา กระทั่งเอกสารของคุณพ่อของผมคือ ต่วนกูจิ ต่วนวาลี ซึ่งเป็นทนายความ เวลามีลูกความมาคุยที่บ้านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี ก็จะจดบันทึกไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง บันทึกตั้งแต่ยุคสร้างปืนพญาตานี มีคนนั้นเล่าคนนี้เล่าว่า การสร้างปืนเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ พ่อจะบันทึกไว้ตลอด ท้ายที่สุดทางราชการมาขอยืม จากนั้นก็หายไปจนถึงทุกวันนี้ เอกสารทางประวัติศาสตร์ปัตตานี มักจะถูกซุกซ่อน หรือทำลาย นำไปฝังไว้ในอ่างบ้าง ในดินบ้าง สมัยโบราณซ่อนไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้ารัฐรู้ ผมเคยเป็นพนักงานสอบสวน ผมรู้ว่าเวลาเจ้าหน้าที่ไปค้นหาบ้าน จะไปหาเอกสารทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะหนังสือภาษายาวี เมื่อเจอหนังสือภาษายาวีก็จะจับเจ้าของ ก่อนที่จะมีการแปลหนังสือภาษายาวี หากแปลแล้วเป็นเอกสารที่ไม่สำคัญก็จะปล่อยตัว ถ้าเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ปัตตานี จะแจ้งข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดในการก่อการร้ายหรือเป็นกบฏ จึงทำให้ไม่มีใครเก็บเอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานีไว้เลย นี่คือปัญหา ทำไมประวัติศาสตร์ปัตตานีไม่ปรากฏในมือของคนปัตตานี ก็เพราะความกลัวตรงนี้ คนปัตตานีจึงนำเอกสารทางประวัติศาสตร์ไปให้พี่น้องทางฝั่งกลันตัน ประเทศมาเลเซียเก็บไว้ ฉะนั้นเอกสารทางประวัติศาสตร์ของปัตตานี จะไปอยู่สถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาเลเซีย ท่านทราบหรือไม่ว่า มีเอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานีที่เขียนด้วยมือ บนแผ่นกระดาษ 4 แผ่น เขียนโดยคนกรือเซะ ปรากฏว่าเอกสารชิ้นนี้ขายไปในราคา 3,000 บาท ให้กับพิพิธภัณฑ์ที่ตรังกานู เพราะไม่กล้าเก็บไว้ที่บ้าน นี่คืออุปสรรคสำคัญในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ปัตตานี เพราะเอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานี เป็นเอกสารต้องห้ามในประเทศไทย โดยเฉพาะเอกสารภาษายาวี ซึ่งเป็นเอกสารต้นฉบับ ผมได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ปัตตานี จากการนำกองกำลังที่สงขลา ไปล้อมค่ายเปาะเยะที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี แต่เปาะเยะหนีไปมาเลเซีย และเสียชีวิตที่นั่น จากการค้นเอกสารต่างๆ ในนั้น ผมไม่อยากบอกว่ามีเอกสารอะไรบ้าง แต่ที่สำคัญคือ ทำให้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ ตอนนั้นคุณสุวิทย์ ไวทนงศักดิ์ เจ้าของเอกสาร Sejarah Kerajaan Pattani นำเอกสารประวัติศาสตร์กษัตริย์ปัตตานีมาให้ผมอ่าน ประกอบกับเอกสารที่ผมเจอในค่ายเปาะเยะ ทำให้ผมสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ ปัญหาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ปัตตานีเกิดจาก 1.เพราะเอกสารถูกทำลาย ถูกซ่อนเร้น ถูกฝัง เนื่องจากเป็นสิ่งต้องห้าม ในฐานะผมเป็นข้าราชการตำรวจ ผมรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของต้องห้าม 2.นับวันการเขียนเรื่องประวัติศาสตร์จะน้อยลง และรวบรวมได้น้อยลง รู้แล้วก็เล่าต่อๆ กันมา แต่ไม่มีคนนำมาเขียน รู้ไว้ฝังใว้ในหูแล้วก็เล่า ผิดกับอดีตในสมัยเชค ดาวุด เชด อะหมัด และอีกหลายๆ คน เมื่อรู้แล้วจะเขียนเก็บไว้ เรื่องเล่าจะเปลี่ยนไปตลอดจากคนที่ 1 คนที่ 2 ทุกวันนี้หานักเขียนยากขึ้น แต่ก็มีหลายคนเริ่มเขียนแล้ว อาจารย์ครองชัย หัตถา อาจารย์นิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน และอาจารย์อุดม ปัตนวงศ์ ตั้งแต่ปีค.ศ.1960 มา ไม่มีใครเขียน คนแรกที่เขียนคือ แบลอฮ (อับดุลลอฮ ลอแม) ทำอย่างไรที่จะให้มีนักเขียนมากๆ เราต้องผลิตนักเขียนให้มากขึ้น เอกสารของปัตตานีส่วนใหญ่ที่เชื่อถือได้ เป็นเอกสารที่จดบันทึกโดยชาวต่างประเทศ เพราะชาวต่างประเทศบันทึกโดยไม่มีอคติ เช่น ของฮอลันดา หรืออังกฤษ เป็นต้น จดหมายของอังกฤษที่เขียนเรื่องปัตตานีแตก ในปี พ.ศ.2329 เป็นจดหมายของฝรั่งที่มาทำงานเหมืองแร่ในปัตตานี เล่าเรื่องและเขียนส่งให้ Governor ที่อินเดีย เอกสารฉบับนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ เหตุการณ์วันนั้นเกิดอะไรขึ้น มีคนวิ่งออกจากปัตตานีประมาณ 10,000–20,000 คน คนที่บาดเจ็บยังไม่ตาย ทำอย่างไรให้ตาย เป็นเอกสารบันทึกของฝรั่ง ไม่ใช่เขียนขึ้นโดยใช้จินตนาการ เป็นเอกสารที่มีจริง คนที่ไปพบคือ ดร.นิอานูวา เปิดเผยแล้วก็นำมาเขียนต่อ คนที่เขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีได้ดีคือฝรั่ง เพราะเขาไม่มีอคติ เขาไม่ก้าวข้ามเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง นี่เป็นเรื่องสำคัญ ถึงวันนี้ยังไม่มีสถานที่เก็บเอกสารเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ในปัตตานีหรือยะลา ถึงมีก็ไม่กล้าที่จะเก็บไว้ รัฐบาลก็ไม่ได้เก็บเอกสารไว้ที่นี่ เพราะกลัวว่าคนที่นี่จะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ และการเสียสละของผู้ที่ต่อสู้ เกิดอารมณ์กับรัฐ โรงเรียนอนุบาลยะลาเมื่อปี 2 ปีที่แล้ว ขึ้นป้ายใหญ่ ดับไฟใต้ต้องดับประวัติศาสตร์ปัตตานี นี่เป็นปัญหาของภาครัฐ เป็นความคิดของผู้นำภาครัฐ ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ประวัติศาสตร์ปัตตานีมักจะถูกบิดเบือน เช่น กรณีกรือเซะ นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ปัตตานีมักจะเขียนด้วยภาษามลายูอักษรอาหรับ หรือภาษายาวี ตรงนี้เป็นปัญหาของคนยุคปัจจุบันคือ เด็กรุ่นใหม่ได้ทิ้งภาษาของพ่อแม่ตัวเอง เข้าไปค้นหาศึกษาประวัติศาสตร์ที่เป็นต้นฉบับด้วยภาษายาวีไม่ได้ ต้องอ่านจากเอกสารภาษาไทย ซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาไปแล้ว จึงไม่มีโอการเรียนรู้อรรถรสของภาษา และอรรถรสของวรรณกรรม เราจะทำอย่างไรที่จะให้เด็กรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับภาษามลายู หากอ่านประวัติศาสตร์ปัตตานีด้วยภาษายาวี ซึ่งมีอรรถรสของมันอยู่ จะเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งมากกว่าอ่านผ่านภาษาไทย นายอุดม ปัตนวงศ์ มูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ การบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยศรีวิชัยใช้ภาษาสันสกฤต ด้วยอักขระปัลวะ ซึ่งเป็นภาษาโบราณ เมื่อ 800 กว่าปีก่อนมีการเปลี่ยนภาษาในการบันทึกประวัติศาสตร์จากอักษรปัลวะเป็นภาษายาวี ตอนเซนต์ ฟรานซิส ซาเวียร์ เผยแพร่ศาสนาคริสต์ ยังต้องเผยแพร่ด้วยภาษายาวี ผมขอฝากถึงคนรุ่นหลังให้เขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีให้มากขึ้น เนื่องจากการเขียนประวัติศาสตร์ เป็นการสร้างประจักษ์พยานในทางวิชาการ เอกสารทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นประจักร์พยานร่วมสมัย ไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์บุคคลที่มาทีหลัง ส่วนใหญ่แล้วเอกสารทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ขณะนี้คนมลายูปัตตานี แทบไม่มีเอกสารยืนยันให้บุคคลภายนอกเชื่อมั่นว่า ประวัติศาสตร์ของเรามีหลักฐานรองรับ โครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนใต้ จึงเป็นงานในมิติใหม่ เป็นงานยืนยันความเป็นตัวตนของคนมลายูปัตตานี ในช่วง 500 กว่าปีที่ผ่านมา เอกสารสำคัญที่บันทึกโดยอาณาจักรมุสลิม โดยเฉพาะอาณาจักรซามูดไร ปาใส ที่สุมาตรา เริ่มต้นขึ้นหลังจากสุลต่านรับอิสลามแล้ว มีการนำอักษรปัลวะ มาดัดแปลงเป็นภาษายาวี หรือเรียกว่ามลายูยาวี หลังจากนั้นเป็นต้นมา ประมาณ 800 กว่าปี อาณาจักรมุสลิมทั้งหมดในเขต Nusantara ซึ่งมีอาณาจักรมากมาย ใช้ภาษามลายูอักษรยาวีทั้งหมดเป็นภาษาของราชอาณาจักร แม้แต่การเผยแพร่ศาสนาคริสเตียน ยังเผยแพร่เป็นภาษามลายูอักษรยาวี หากมลายูกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหม่ การรวบรวมเอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานีที่ เกี่ยวข้องกับโลกมลายู 300 กว่าล้านคน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คนอื่นจะได้เห็นว่าคนมลายูไม่ได้อ้างอะไรลอยๆ โดยเฉพาะงานเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีเดิม ไม่ใช่คนปัตตานีเขียน แต่ผู้เขียนเป็นชาวฝรั่งทั้งสิ้นไม่มีการเบี่ยงเบน ไม่มีอคติ เขียนตรงไปตรงมา แต่ผู้ปกครองฝ่ายรัฐสยามกล่าวหาว่า เป็นประวัติศาสตร์เบี่ยงเบน แม้แต่นักศึกษาบางคนบอกกับผมว่า ประวัติศาสตร์ปัตตานีเชื่อไม่ได้ เป็นประวัติศาสตร์ที่ขึ้นอยู่กับผู้เขียน ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจ เป็นประวัติศาสตร์ที่มีวาระซ่อนเร้น เอกสารต่างๆ ที่มีการบันทึกเอาไว้ในอดีต สามารถยืนยันได้ว่า สภาพการณ์ในสมัยนั้นเป็นอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องสำศัญ ผมอ่านประวัติศาสตร์สุลต่านที่มีอยู่ ใน Nusantara ทั้งหมด ที่มีอยู่ในโลกมลายู ก็มีความชัดเจนว่า ปัตตานีในสมัยที่มาละกาล่มสลายแล้ว สุลต่านมาฮมุดหนีไปตั้งหลักที่ยะโฮร์ ตั้งอาณาจักรใหม่ก็เคยร่วมกับปัตตานี และปาหัง ยกกองทัพไปรบกับอาเจะห์ ทั้งๆ ที่อาเจะห์เป็นอาณาจักรมุสลิม สมัยก่อนนั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ ขอให้ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินก็แล้วกัน นั่นเป็นสมัย City state ไม่ใช่ Nation state หลักฐานเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับปัตตานี หลักฐานเหล่านี้บอกได้ว่า ปัตตานีเป็นแนวขอบของ Nusantara เท่านั้นเอง Nusatara หมายถึง ภูมิภาคมลายู ที่เป็นหมู่เกาะส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากคนมลายูมีสายโยงใยคาบเกี่ยวกัน คนจากสุมาตราเข้ามาอยู่มุมแหลมมลายูกันเยอะ นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการด้านสันติวิธี โครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนใต้เป็นงานยาก เป็นงานบุกเบิก และต้องฝ่าวัฒนธรรมความกลัว ข้ามเขตแดนที่จะพูดเรื่องตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้ว่า ตัวเองเป็นอะไรบ้าง มาอย่างไร ผมไม่อยากให้ยึดติดกับประวัติศาสตร์ อยากให้มองว่าประวัติศาสตร์เป็นทุนทางสังคม ที่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ งานวิจัยนี้ถ้าจะร้อยเรียงออกมา จะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับปัตตานีบ้าง มันต้องมีเรื่องการศึกษาแน่นอน เพราะปัตตานีเป็นระเบียงของมักกะห์ มีเอกสารอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ทางด้านเศรษฐกิจมีเอกสารชิ้นใดบ้างที่กล่าวถึง ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ในการปลูกข้าวอย่างไร ถึงทำให้รัฐทางตอนเหนือต้องมาปล้นเอาไป มายด์แม็ป(แผนที่ความคิด) ของปัตตานี ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างไร วิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร อุลามะห์(นักปราชญ์) ที่เล่นแร่แปรธาตุ ที่มีการพูดกันว่า เชด มูฮำหมัดดีน เขียนกีตาบ (หนังสือหรือตำรา) เล่มหนึ่ง สามารถแปรเป็นทองได้ ลูกศิษย์แย่งกันจนต้องเผาทิ้ง เป็นเรื่องในอดีต เรื่องของโลกาภิวัตน์ที่อาจารย์อาลีอัสกล่าว การมองภาพสังคมมุสลิม แล้วสามารถสะท้อนสังคมได้อย่างไร การขึ้นเรือของเชค ดาวุด กลับมาปัตตานี เพื่อต่อสู้กับรัฐตอนเหนือ ยุคนั้นไม่ได้เป็นการยึดดินแดนคืน แต่เป็นการยึดบารมีคืน บังเอิญปัตตานีสูญเสียอำนาจการปกครอง เมื่อปี 2329 ซึ่งเป็นยุคของการล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นยุคของการยึดครอง ฉะนั้นบาบอ(โต๊ะครู) ที่อยู่ทางยะหริ่งจึงพูดว่า ปัตตานีถูกยึดครอง เอกสารประวัติศาสตร์ปัตตานี มีคุณค่าหลายประการ เอกสารร้อยเรียงตรงนี้ นอกจากแบ่งเรียงตามไทม์ไลน์(ลำดับเวลา)แล้ว น่าจะแบ่งเรื่องของมิติ หรือมุมมองที่ได้จากเอกสาร เพราะมีเอกสารมากมาย ที่หลายท่านอ่านแล้วจะเข้าใจ ผมเขียนเรื่อง “จากกรือเซะสู่บางกอก” จากมุมของเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์ไปจากปัตตานี มันเจ็บปวดมากในความรู้สึก ผมเขียนพลางเช็ดน้ำตาไปพลางหลายครั้ง คนพิมพ์ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ต้องล้างหน้าเป็นสิบครั้งกว่าจะเสร็จ เอกสารเพียง 9 หน้าเอง ผมไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์มีไว้ เพื่ออ่านแล้วร้องไห้กับความทุกข์ทรมานในอดีต อยากให้มองว่าจากจุดนั้น มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการที่ดีขึ้นมาแล้วอย่างไร และเราจะวางอนาคตให้แก่ลูกหลานอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องภาษา ผมเคยอ่านหนังสือของนักภาษาศาสตร์คนหนึ่ง กล่าวถึงการใช้ภาษาว่า ภาษาอะไรก็ตามที่ไม่ได้พูดใน 30 ปี ภาษานั้นจะสูญหายไป เอกสารประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของทุนทางสังคม ที่เราอยากจะบอกกับคนรุ่นใหม่ ผมเชื่อว่ามีคนอ่านไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ อยากให้เอกสารเหล่านี้เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คนทั่วโลกรับรู้ว่า ขณะนี้เรากำลังต่อสู้เรื่องศักดิ์ศรี ผ่านภาษามลายูท้องถิ่น เพื่อให้คนภายนอกรับรู้ว่า เรากำลังต่อสู้ ฉะนั้นอยากให้เอกสารเหล่านี้นำมาสู่งานวิจัย เพื่อให้เอกสารเหล่านี้เผยแพร่ออกไป จะได้มีเอกสารตอบโต้ออกมา ซึ่งเราจะได้เอกสารเพิ่มอีกเยอะมาก ศ.ดร.ครองชัย หัตถา อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ก่อนอื่นผมต้องบอกว่า ผมเรียนหนังสือที่กรุงเทพมหานคร แต่เลือกสอบบรรจุมาสอนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อมาอยู่ที่ปัตตานี ผมรู้ว่าผมไม่รู้เรื่องราวของปัตตานีเลย ผมเริ่มเดินหาความรู้เกี่ยวกับปัตตานี จากสิ่งที่เราไม่รู้ สำหรับผมการได้อ่านจาก 100 เอกสารนี้คุ้มมาก เพราะทำให้ผมรู้มากยิ่งขึ้นว่า จะลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังอย่างไร เมื่อนำไปลำดับเหตุการณ์เรื่องราวทั้งหมดที่ค้นมา จะนำมาสร้างองค์ความรู้ที่เป็นขั้นเป็นตอนสมบูรณ์ได้อย่างไร นั่นคือหยิบมาปะติดปะต่อ ขึ้นมาจนเป็นองค์ความรู้ ในการเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีผมทำผิดมาตลอด เพราะการเขียนร้อยเรียงเป็นเรื่องราวของปัตตานี ถ้าไม่ผ่านเอกสารเหล่านี้ โอกาสผิดพลาดสูงมาก ผมเป็นคนต่างถิ่น ผมอยากจะรู้จักที่นี่ ผมขับรถผ่านไปเห็นอะไร ได้ฟังอะไร ผมก็มาบอกต่อ เหมือนกับเขียนประวัติแบบขับรถผ่านทาง หรือชาวบ้านบอกมา พูดอย่างไรผมก็จะบันทึกเอาไว้ ถามว่าทำอย่างนี้ได้หรือไม่ คำตอบคือทำได้ ในช่วงที่ยังไม่มีหนังสือประวัติศาสตร์ ยังไม่มีตำราหนังสือที่หนักแน่น งานวันนี้ไม่ได้อยู่ที่รอให้ 100 เอกสารครบเท่านั้น แต่มันจะอยู่การปะติดปะต่องานของแต่ละยุคสมัยของเรื่องราวต่างๆ อะไรก่อน อะไรหลังอย่างไร แล้วก็นำความรู้เหล่านี้มาสร้างเป็นความรู้ท้องถิ่น สร้างเป็นเฉพาะเรื่อง สร้างเป็นประวัติศาสตร์อารยธรรมได้อีกมากมาย หลายร้อยเอกสาร ฉะนั้นจากร้อยยกกำลังเข้าไป อาจจะเป็นพันเรื่อง ซึ่งต้องรอรุ่นน้องศึกษาค้นคว้าต่อไป ผมว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นบุกเบิก ผมเองถูกกล่าวถึงว่า ช่วยเปิดประวัตศาสตร์ปัตตานี ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นเกียรติสำหรับผมก็ยอมรับ ในฐานะนักวิชาการท้องถิ่นที่จากที่อื่น ผมไม่ได้มองประวัติศาสตร์ปัตตานี เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผมมองประวัติศาสตร์ปัตตานี เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก ผมคิดถูกที่ผมทำประวัติศาสตร์การค้าการปกครองของปัตตานีในอดีตเป็นเล่มแรก การศึกษาประวัติศาสตร์ปัตตานีอีกร้อยปีก็ศึกษาไม่หมด ไม่ใช่ร้อยเรื่องสุดท้าย แต่เป็นร้อยเรื่องที่จะนำมาเปิดเผยเรื่องราวต่อไป สำหรับรุ่นน้องผู้สนใจ เวทีวันนี้เปิดศักราชใหม่ที่หยิบความจริงมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วมาศึกษากัน จากเรื่องของประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มาเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนต้องเรียนรู้ พอถึงจุดนั้นความร้อนต่างๆ จะกลายมาเป็นความเย็น เปลี่ยนมาเป็นความเข้าใจกัน วันนั้นปัตตานีจะเป็นแผ่นดินที่น่าอยู่ เป็นแผ่นดินที่คนที่นี่ภาคภูมิใจ นายมันโซร์ สาและ นักวิชาการอิสระ ผมขอตั้งข้อสังเกตจาก 2 เหตุการณ์ ในปีค.ศ.1975 ผมร่วมกับรุ่นพี่ มีนายมุข สุไลมาน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานี และอีกหลายๆ คน มาประท้วงที่ปัตตานี 45 วัน อยู่ที่หน้าศาลากลางจังหวัด จุดที่โดนระเบิด วันสุดท้ายของการประท้วง เราถูกล้อมด้วยทหาร ทั้งๆ ที่เป็นการชุมนุมโดยสันติวิธีครั้งแรก ในรอบหลายสิบปี เวลานั้นมีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกับ NHK และผู้สื่อข่าวสำนักต่างๆ มาทำข่าว ผมเชื่อว่าหนังสือพิมพ์ได้บันทึกเกี่ยวกับการชุมนุมที่ปัตตานีไว้ หลังจากปี 2519 ผมขึ้นกรุงเทพมหานคร กับท่านอับดุลลอฮ ลอแม ได้พบงานเขียนประวัติศาสตร์ปัตตานีอดีตปัจจุบัน เป็นเล่มแรกที่ถูกอ้างอิง มีหนังสือ 2 เล่มที่สำคัญ หนังสือ ซือโกะ เซกอ (Sakut Saka) เป็นหนังสือเชิงวรรณกรรม ที่เขียนถึงการฆ่ามุสลิมง่ายๆ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขณะเดียวกันก็มีหนังสือที่ควรจะอ่าน แต่คงจะหาได้ยาก อ้างอิงงานเขียนของดร.อารง สุทธาศาสตร์ ชื่อหนังสือปกปิดมัสยิดเป็นหนังสือแปล ต่อมาปี 2519 ก็กลายเป็นหนังสือต้องห้าม นอกจากนี้มีหนังสืออีก 2–3 เล่ม ที่ผลิตในช่วงประท้วงใหญ่ปี 2518 และยังมีบันทึกของนักศึกษาที่มาลงพื้นที่ชนบท มาจากกรุงเทพมหานคร นักศึกษากลุ่มนี้ไม่เคยรู้ว่าคนที่นี่พูดภาษามลายู พวกเขาคิดว่าคนที่นี่พูดภาษาไทยได้หมด นี่คือภาพสะท้อนในช่วงที่พวกเขาออกพื้นที่ สิ่งที่เราเห็นก็คือ เมื่อปรากฏเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในพื้นที่ ก็จะมีหนังสือเปิดเผยความจริงอะไรบางอย่างทีละนิดทีละหน่อย ปรากฏการณ์ 4 มกราคม ค.ศ.2004 เป็นปรากฏการณ์ที่ประวัติศาสตร์ปาตานีถูกเปิดเผยอย่างรุนแรงที่สุด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา หนังสือที่เกี่ยวกับปัตตานี มีคนเขียนด้วยมุมมองที่แตกต่างกันมากมาย มีเป็นร้อยๆ เรื่อง โดยส่วนตัวผมจะชอบประวัติศาสตร์ที่เป็นหลักความคิดมากกว่า การเริ่มต้นของโครงการศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ เป็นเรื่องดี การอ่านประวัติศาสตร์ในปอเนาะ หรือโรงเรียน เป็นการเผยแพร่ประวัติศาสตร์ออกมา การต่อสู้จะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากข้อเรียกร้องของคน 2 ยุคคือ ยุคของสุลต่านอับดุลกอดิร(เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน) และยุคหะยีสุหลง และยุคที่ 3 เป็นการเรียกร้องต่อคนที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย อย่างที่พวกเราเรียกร้องการกระจายอำนาจเป็นปัตตานีมหานคร เป็นการสืบทอดสิทธิในการเรียกร้อง ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เปิดออกมา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นการทำงานอย่างต่อเนื่องจากบุคคลในอดีต ฉะนั้น อาจารย์ครองชัย หัตถา ไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ที่ติดอยู่กับที่ แต่มันเชื่อมโยงกับภูมิภาค เมื่ออาเซียนจะมีการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวในอีก 4 ปี ข้างหน้า ปรากฏว่าคนที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความได้เปรียบมากว่าคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับว่าเรามีศักยภาพที่รองรับประชาคมอาเซียนได้มากน้อยเพียงใด ศักยภาพในการยกระดับความรู้ของตนเอง วิธีคิดของตัวเอง และความเชี่ยวชาญทั้งหลายของตัวเอง นายนิอับดุลรากิ๊บ บินนิฮัสซัน อาจารย์ประจำภาควิชาภาษามลายู มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผมไปประเทศมาเลเซียกับคณะทำงานโครงการนี้พบว่า มีความยากลำบากอย่างมากในการหาข้อมูล บางครั้งต้องใช้เส้นสายส่วนตัว เอกสารที่ได้เป็นเอกสารจากหน่วยงานราชการของประเทศมาเลเซีย เอกสารฮิกายัตปัตตานีที่ได้มา เป็นข้อมูลจากประวัติกษัตริย์ปัตตานี (Dewan Bahasa dan Pustaka) ได้มาจากมหาวิทยาลัยมลายา ประเทศมาเลเซีย การไปหาเอกสารจากสถานที่ต่างๆ ต้องให้ผู้ใหญ่ประสานสถานที่เหล่านั้น บางคนอาจจะมองว่า 100 เอกสาร ไม่ได้สำคัญสักเท่าไร แต่ความจริงแล้วมีประเด็นสำคัญอยู่ในตัวเอกสารมากมาย

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net