‘ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม’ เคลื่อนขบวนถึงกรุงเทพฯ ค้างคืนหน้าประตู 4 ทำเนียบ หลังเจรจาไม่คืบรอนัดนายกฯ แก้ไขปัญหาพรุ่งนี้ จากที่ช่วงเช้าร่วมเครือข่ายสลัม 4 ภาค ยื่นหนังสือยูเอ็น ‘วันที่อยู่อาศัยสากล’
สรุปความล้มเหลว 1 ปีกลไกการแก้ปัญหาร่วมกับรัฐบาล
กลุ่มปัญหา |
สภาพปัญหา |
ผลการดำเนินงาน |
ปัญหา/อุปสรรค |
ข้อเสนอ |
---|---|---|---|---|
การแก้ไขปัญหาภายใต้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการปะชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๕/๒๕๕๕) |
๑.ความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน ๒.ความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย ๓. ปัญหาที่เกิดจากการสร้างเขื่อน ๔. ปัญหาการไร้สิทธิสถานะและชาติพันธุ์ ๕.ปัญหาจากเหมืองและโรงไฟฟ้า ๖. ปัญหาการทำเกษตรพันธสัญญา ๗.ปัญหาความไม่เป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม |
๑.คณะกรรมการฯ มีการประชุมไปแล้ว ๒ ครั้ง |
ไม่สามารถดำเนินการในทางปฏิบัติได้เนื่องจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล)ไม่ทำตามนโยบาย |
๑.ปรับปรุงคณะกรรมการใหม่ โดยให้นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน และให้เปลี่ยนรองประธานกรรมการฯ (รมต.วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ออก |
กลุ่มปัญหาที่ดินในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๑/๒๕๕๕) |
-การประกาศเขตพื้นที่ป่าตามกฎหมายประเภทต่างๆเช่น อุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สวนป่าทับที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของชุมชน โดยไม่มีการสำรวจตรวจสอบที่ชัดเจนก่อน -ชาวบ้านถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งในทางอาญาในข้อหาบุกรุก และคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย โดยมีข้อกล่าวหาว่าชาวบ้านที่อาศัยทำกินในเขตป่าเป็นผู้ต้องหาสำคัญที่ทำให้อากาศของโลกร้อนขึ้น |
-รัฐบาลนำข้อเสนอของขปส.บรรจุไว้เป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา โดยมีแนวทางจะสนับสนุนให้คนอยู่กับป่า / แก้ไขกฎหมายป่าไม้๕ฉบับให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ/ผลักดันกฎหมายในการรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำและทะเล และแก้ไขปัญหาคดีโลกร้อนกับคนจน (ตามนโยบายข้อ ๕ นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) -ยังไม่มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา |
-ไม่มีการเปิดการประชุมร่วม -รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.จะใช้กลไกคณะกรรมการบูรณาการจัดการที่ดินทั้งระบบ ซึ่งเป็นแนวทางที่ปราศจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และเน้นการแก้ปัญหาแบบปัจเจก ไม่สนับสนุนสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน(โฉนดชุมชน) -กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ยอมรับแนวทางโฉนดชุมชนเนื่องจากนโยบายไม่มีความชัดเจน
|
เปิดประชุมอนุกรรมการฯและให้สนับสนุนแนวทางดังนี้ -สนับสนุนให้ชุมชนสามารถอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินเขตป่าได้ภายใต้หลักสิทธิชุมชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และเร่งจัดให้มีโฉนดชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชน -ในระหว่างการดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกัน ให้ยุติการจับกุม ไล่รื้อ ชาวบ้านสมาชิกขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม -ยุติการใช้โมเดลเรียกค่าเสียหายทางแพ่งซึ่งขัดกับหลักการทางวิชาการ(คดีโลกร้อน) |
กลุ่มปัญหาที่สาธารณประโยชน์และที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๒/๒๕๕๕) |
ปัญหาที่สาธารณประโยชน์ -มีการประกาศเขตที่สาธารณประโยชน์ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชน ทำให้เกิดข้อพิพาทโต้แย้งเรื่องสิทธิ์ ชาวบ้านถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ปัญหาที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง - การกระจายการถือครองที่ดินที่ไม่เป็นธรรม ที่ดินส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยและผู้ร่ำรวย ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้ -ที่ดินถูกทำให้เป็นสินค้า มีการกว้านซื้อที่ดิน ปั่นราคา กักตุนไว้โดยปล่อยทิ้งร้างไม่ใช้ประโยชน์ และไม่เคยมีการเพิกถอนตามมาตรา ๖ ประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ระบุให้อำนาจอธิบดีในการเพิกถอนเอกสารสิทธิหากไม่มีการใช้ประโยชน์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด -ที่ดินมีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน -เกิดข้อพิพาทในทางคดีระหว่างเอกชน(นายทุน) กับชุมชน |
ยังไม่มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา |
-ไม่มีการเปิดการประชุมร่วม -รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.จะใช้กลไกคณะกรรมการบูรณาการ ซึ่งใช้แนวทางที่ปราศจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และเน้นการแก้ปัญหาแบบปัจเจก ไม่สนับสนุนสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน(โฉนดชุมชน) |
เปิดประชุมอนุกรรมการฯและให้สนับสนุนแนวทางดังนี้ -ให้มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่คาดว่าจะมีการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย -กรณีที่กรณีที่พบว่ามีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินการเพิกถอนที่ดิน และให้สิทธิแก่สหกรณ์ปฏิรูปทีดินในพื้นที่จัดสรรให้กับสมาชิกที่ทำประโยชน์อยู่เดิม -สนับสนุนให้ชุมชนจัดการที่ดินร่วมกัน ภายใต้หลักการสิทธิชุมชนและโฉนดชุมชน -ให้มีการเปลี่ยนแปลงประธานคณะอนุกรรมการ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลกรมที่ดินมานั่งเป็นประธานเพื่อให้สามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว -ให้กรมที่ดินเร่งดำเนินการส่งมอบพื้นที่ที่ผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน(ปจช.)เพื่อจัดทำโฉนดชุมชน |
กรณีปัญหาสถานะและสิทธิบุคคล (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๕/๒๕๕๕) |
ประชาชนขาดสิทธิและสถานะบุคคลตามสิทธิที่ควรจะได้รับ
|
ยังไม่มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการ |
ยังไม่มีการเปิดประชุมร่วม |
เร่งรัดให้มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการฯ |
กรณีปัญหาปัญหาเกษตรพันธสัญญา (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๔/๒๕๕๕) |
เกษตรกรที่ทำเกษตรกับบริษัทขนาดใหญ่แล้วติดภาระหนี้สินและขาดทุนจากการทำเกษตรแบบพันธสัญญา |
มีการตั้งคณะทำงานขึ้น ๓ชุดเพื่อทำการศึกษาสภาพปัญหาเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยอยู่ในระหว่างการดำเนิน |
- |
ให้เร่งรัดดำเนินการศึกษาสภาพปัญหาเรื่องเกษตรพันธสัญญาตามมติของคณะอนุกรรมการฯ |
กรณีปัญหาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๕/๒๕๕๕) |
ปัญหาการไล่รื้อชุมชนแออัด และการดำเนินการสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยสำหรับคนจนดำเนินการต่อตามโครงการบ้านมั่นคงได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะงบประมาณส่วนที่เหลือ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งหากมีเหตุการณ์ไฟไหม้ ไล่รื้อชุมชน การพัฒนาคุณชีวิตและสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับคนไร้บ้าน จะดำเนินการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ |
มีการดำเนินการจัดประชุมคณะอนุกรรมการ ฯ ไป ๑ ครั้ง โดยมีปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการประชุม ผลการประชุมได้พิจารณาการดำเนินงานของโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งการอนุมัติงบประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ให้รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาฯ นำเรื่องการอนุมัติงบประมาณเข้าที่ประชุมชุดใหญ่และคณะรัฐมนตรีต่อไป ส่วนกรณีโครงการชุมชนใหม่คนไร้บ้านให้มีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ |
รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนแบบมีส่วนร่วม โดยการไม่สนับสนุนงบประมาณโครงการบ้านมั่นคง และให้ความสำคัญกับโครงการบ้านเอื้ออาทร มากกว่าโครงการบ้านมั่นคงที่สนับสนุนให้ชาวชุมชนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบชุมชน |
ให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ ที่เหลือจำนวน 3,000 ล้าน ตาม มติ อนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ |
กรณีปัญหาที่ดินที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๖/๒๕๕๕) |
๑.โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลิ่งชัน – ศิริราช ๒.โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จิระ – ขอนแก่น ๓.โครงการก่อสร้างทางด่วนศรีรัช ช่วงต่อขยาย
|
-ได้มีการเจรจากับทางกระทรวงคมนาคม โดยมี รมช.พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นประธานในที่ประชุม และลงดูพื้นที่ร่วมกัน
-ได้มีการประชุมหารือการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย |
อนุกรรมการยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดกับการแก้ไขปัญหาและ ทางกระทรวงไม่ตอบสนองแนวนโยบายโครงการบ้านมั่นคง |
ให้ฝ่ายการปฏิบัติงานได้ทำตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคง |
กรณีปัญหาคดีความ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๗/๒๕๕๕) |
๑.การฟ้องดำเนินคดีกับชาวบ้านในกรณีพิพาทที่ดินและอื่น ๆ ชั้นเจ้าพนักงานสอบสวน การควบคุมตัวออกมาโดยพลการ โดยอ้างว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ซึ่งในทางข้อเท็จจริง พฤติการณ์ของเจ้าพนักงานขาดองค์ประกอบข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ มีการสนธิกำลังกันเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่บางหน่วยมาจากต่างจังหวัดห่างไกลที่เกิดเหตุ ชั้นการพิจารณาสำนวนคดีของพนักงานอัยการ โดยส่วนใหญ่แล้ว คดีที่เจ้าพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการ จะไม่มีการสอบพยานเพิ่มเติม และจะส่งฟ้องศาลต่อไป ในขณะที่ชาวบ้านได้พยายามเข้าให้ข้อมูล ชั้นการพิจารณาคดีของศาล คดีความของชาวบ้านที่เกิดขึ้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นคดีอาญา ข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ ทั้งพื้นที่ป่าไม้ตามกฎหมายประเภทต่าง ๆ และที่สาธารณประโยชน์ ส่วนที่เหลือจะเป็นคดีแพ่งที่หน่วยงานในฐานะโจทก์ฟ้องขับไล่ และในพื้นที่ป่าไม้ภายหลังการฟ้องคดีอาญาแล้ว โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่งการนำพยานหลักฐานเข้าต่อสู้คดีในศาล จะเป็นเอกสารการทำประโยชน์ในที่ดิน ที่ไม่ใช่หลักฐานตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งจะมีน้ำหนักในการพิจารณาน้อย เมื่อเทียบกับเอกสารทางราชการของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในการกำกับดูแลพื้นที่นั้น ๆ จึงเชื่อได้ว่าชาวบ้านเป็นผู้บุกรุกพื้นที่ดังกล่าว ๒.การเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ยืดเยื้อ ยาวนาน ภาระค่าใช้จ่ายยิ่งมากขึ้น การเกิดคดีความต้องมีค่าเดินทางไปศาล ค่าเอกสาร ค่าทนาย ค่าหลักทรัพย์ประกันตัว และสิทธิการทำประโยชน์ในพื้นที่พิพาทที่ถูกดำเนินคดีย่อมเป็นไปอย่างจำกัด บางกรณีมีการปิดหมายบังคับคดีให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ พร้อมรื้อถอนไม้ผล สิ่งปลูกสร้าง ที่อยู่อาศัยออกไปด้วย ยิ่งก่อผลกระทบต่อการทำมาหากินของชาวบ้านหนักมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถดำเนินต่อสู้ทางคดีได้อย่างเต็มที่และท้ายที่สุดไม่สามารถต่อสู้ได้เลย |
ดำเนินการจัดประชุมอนุกรรมการกรณีปัญหาคดีความ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ไป ๒ ครั้งครั้งที่ ๑ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม๒๕๕๕ ซึ่งมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม(นายปรีชา ธนานันท์) เป็นประธานในการประชุม ผลการประชุมได้ ๑.พิจารณาให้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา ๑ คณะ จำนวน ๑๕ คน เพื่อดำเนินการศึกษารากฐานของสภาพปัญหา/ตรวจสอบข้อเท็จจริง/เสนอแนวทางและมาตรการการแก้ไขปัญหาคดีความ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.แก้ปัญหากรณีเร่งด่วน ๒ กรณี –กรณีบ้านสันติพัฒนา -กรณีการขออภัยโทษ นายประเวศน์ ปันป่า (ซึ่งได้รับอภัยโทษแล้ว ) ครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ผลการประชุมพิจารณา ๑.ให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะทำงานให้ครอบคลุมปัญหา พร้อมกับให้มีแผนการลงพื้นที่ของคณะทำงานเพื่อตรวจสอบ ศึกษาปัญหาในพื้นที่ โดยใช้งบจากสำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ๒.กรณีปัญหาเร่งด่วน -กรณีชุมชนหนองกินเพล จังหวัดอุบลราชธานี -กรณีชุมชนบ้านโป่ง จังหวัดเชียงใหม่ -กรณีการพิสูจน์หลักฐานสาเหตุไฟไหม้บ้านพักสหกรณ์การเกษตรปากมูล - มีการประชุมคณะทำงานฯจำนวน ๒ ครั้ง เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคมและวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ โดยอนุกรรมการอนุมัติแนวทางของคณะทำงาน คือการทำงานศึกษาวิจัยระยะยาวและการลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีเร่งด่วน |
- กรอบการศึกษายังไม่มีความชัดเจน |
-ให้เร่งรัดอนุมัติและเบิกจ่ายงบประมาณในการศึกษาวิจัยปัญหาคดีความ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตามมติของคณะอนุกรรมการฯ -ให้คณะอนุกรรมการฯหาแนวทางในการยุติหรือชะลอการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับรัฐบาล
|
กรณีปัญหาผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าแม่เมาะ และโรงโม่หิน (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๘/๒๕๕๕) |
๑.เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลใน ๓ จังหวัด ดังนี้ ๑.๑) โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท พลังงานสะอาดดี ๒ จำกัด ในพื้นที่บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ๑.๒) โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ในพื้นที่ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี ๑.๓) โรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัท โรงไฟฟ้าบ้านตาก จำกัด ในพื้นที่หมู่ที่ ๑๑ บ้านวังไม้สร้าง ตำบลตากออก อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ๒.ราษฎรตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าและเหมืองแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๓.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ (จังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก) ๔.ผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองหินเขาคูหา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ๕.ผลกระทบจากการประกอบอุตสาหกรรมเหมืองหิน ชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง
|
มีการประชุมอนุกรรมการไปแล้ว ๑ ครั้งวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ ผลการประชุมดังนี้ ๑.เรื่องโรงไพฟ้าชีวมวลจังหวัดอุบลราชธานีและเชียงรายให้จังหวัดไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมภายใน ๒ เดือน จังหวัดตากรองผู้ว่าฯยืนยันจะไม่มีการอนุญาตให้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. ๔) ๒.ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าและเหมืองแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยให้กลับไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ๒ เดือน ๓.ปัญหาผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ (จังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก) ความเป็นมาของโครงการ ประธานอนุกรรมการฯจะลงพื้นที่ดูข้อมูลในพื้นที่เอง ส่วนกรณีปัญหาเหมืองหินเขาคูหา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลาและโรงโมหินศักดิ์ชัยจังหวัดชัยภูมิให้เลื่อนไปพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้ได้ข้อยุติและไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล |
ให้มีการเปิดประชุมอนุกรรมการครั้งที่ ๒ โดยด่วน |
กรณีปัญหาเขื่อนปากมูล (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๙/๒๕๕๕) |
๑. ชาวบ้านสูญเสียอาชีพประมงมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี ๒.ระบบนิเวศของแม่น้ำมูนได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องฟื้นฟู |
๑. มีการแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมา ๑ คณะ และมีการประชุมไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แต่ในการประชุมครั้งดังกล่าว ไม่มีข้อสรุปอะไร |
๑. มติ ครม.วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๒. มีการตั้งกรรมการซ้ำซ้อน ๓. รัฐมนตรี ฯ ไม่ให้ความสำคัญ ซื้อเวลา |
๑. ยกเลิก มติ ครม.วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้ นำมติที่ประชุมของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๓ มาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ๓. ให้อนุกรรมการ ฯ เร่งประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็ว |
กรณีปัญหาที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูป ปัญหาอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบน จ.เชียงใหม่และปัญหาเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จ.อุบลราชธานี (คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขปส.ที่ ๑๐/๒๕๕๕) |
กรณีปัญหาที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูป จ.สงขลา กรมศุลกากรขอใช้พื้นที่ในการขยายสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ทับที่ดินทำกินของชุมชน จำนวน ๗๒๐ ไร่ ๓ งาน ๙๐ ตารางวา
กรณีปัญหาเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จ.อุบลราชธานี การสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดงทับที่ทำกินของชาวบ้าน
|
- มีการแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก ๔-๐๑ ข ให้กับชาวสวนจำนวน ๓๘ ราย - มีการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ เขตปฏิรูปที่ดิน ปัญหาอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบน จังหวัดเชียงใหม่ และปัญหาอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลฯ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีมติในที่ประชุม เห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกัน เพื่อศึกษาถึงผลกระทบในเชิงระบบนิเวศวิทยา และการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่ และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นโดยรอบทั่วไป และนำผลที่ได้มาเสนอต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาฯ เพื่อใช้สำหรับในการประชุมครั้งต่อไป · ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาระดับอำเภอ โดยคณะทำงานมีมติว่าให้ดำเนินการลดระดับน้ำลง ๑๕๐ ซม.เพื่อศึกษาผลกระทบ แล้วทำการปรับเพิ่ม/ลดระดับน้ำ จนกว่าจะเป็นที่พอใจของราษฎรทั้งสองฝ่าย (ฝ่ายผู้เดือดร้อน · หากน้ำยังคงท่วมที่ทำกินของชาวบ้านจำนวนเท่าไร ให้มีการจัดหาที่ดินทดแทนให้กับชาวบ้าน · สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะลดน้ำได้ตามมติที่ได้มีการตกลงกันไว้กับชาวบ้าน เนื่องจากกรมชลประทาน จังหวัดอุบลฯ ใช้วิธีการลดน้ำ · ล่าสุดคณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ ๑๐ ได้ประชุมกันวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายราชการและตัวแทนฝ่ายชาวบ้าน โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นประธาน เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป |
· ถูกลิดรอนสิทธิ์ใน ส.ป.ก. ที่ชาวบ้านได้รับ · ได้มีการพยายามไกล่เกลี่ยต่อรองให้ชาวบ้านรับค่าเยียวยาชดเชย
กรมชลประทาน จ.อุบลฯ สร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดงไปโดยพลการทั้งๆ ที่ชาวบ้านต้องการฝายน้ำล้น |
· ให้พิจารณาพื้นที่แห่งใหม่ในการขยายสร้างด่านศุลกากรสะเดา ที่ไม่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม · ให้ชุมชนทำการเกษตรกรรมต่อไปตามเจตนารมณ์ของ ส.ป.ก
· ให้ดำเนินการลดระดับน้ำขั้นต้น ๑๕๐ ซม.ทันที · กำหนดมาตรการ ค่าชดเชยเยียวยา · ให้ปรับสภาพและฟื้นฟูที่ดินหลังจากได้ลดน้ำแล้วเพื่อให้ชาวบ้านสามารถทำกินได้ดังเดิม · จัดหาที่ดินทำกิน ให้ปรับรูปแบบ |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)