Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

หลังการสละราชสมบัติของพระปกเกล้า รัฐบาลคณะราษฎรเข้าไปจัดการกิจการราชสำนักได้ในหลายเรื่อง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมากขึ้น กระทรวงวังถูกลดฐานะลงเป็นสำนักพระราชวังและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของนายกรัฐมนตรี การเข้าไปจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดย คณะกรรมการพิจารณาเรื่องทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ภายใต้อำนาจของพระราชบัญญัติว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2477 นำมาสู่การตรากฎหมายที่ทำให้การจัดการทรัพย์สินกษัตริย์อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในกรณีของพิธีแรกนาขวัญที่รัฐบาลพยายามปรับเปลี่ยนมาหลายครั้ง ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้

เดือนมกราคม 2478 พระสารสาสน์ประพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีว่ารัฐบาลไม่ควรยกเลิกพิธีแรกนาขวัญ แต่ควรใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยให้ข้าหลวงทุกๆ จังหวัดจัดพิธีแรกนาขวัญเป็นกุศโลบายในการแจกจ่ายพันธุ์ข้าวที่รัฐบาลต้องการเผยแพร่แก่ชาวนา เพื่อให้ชาวนาหันมานิยมพันธุ์ข้าวของรัฐบาล เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนำเรื่องเข้าพิจารณา หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เสนอว่า

พิธีแรกนานั้นเห็นควรเลิก แต่ควรสนับสนุนการประกวดพันธุ์ข้าว เช่นเพิ่มเงินรางวัลให้มากขึ้นอีก[1]

ไม่พบว่าคณะรัฐมนตรีมีการอภิปรายข้อเสนอของหลวงธำรงฯ อย่างไร เราทราบเพียงที่ประชุมตกลงว่า รัฐบาลมีนโยบายในการชักจูงให้ชาวนาใช้พันธุ์ข้าวของรัฐบาลอยู่แล้ว “แต่ไม่ใช่โดยวิธีทำพิธีแรกนาขวัญ ให้ใช้วิธีประกวดพันธุ์ข้าว” ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวทำให้กระทรวงเกษตราธิการสับสน คิดว่ารัฐบาลได้ยกเลิกพระราชพิธีแรกนาขวัญไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่จะมีพระราชพิธีจึงไม่มีงบประมาณสำหรับดำเนินการ อย่างไรก็ตาม พระราชพิธีแรกนาขวัญประจำปี 2479 ก็ยังคงจัดขึ้นในลักษณะเดิม

ต่อมา กลางปี 2479 พระยาฤทธิอัคเนย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการคนใหม่ ได้จัดทำ “บันทึกหลักการเรื่องพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” เสนอต่อนายกรัฐมนตรี

ตามความเห็นของข้าพเจ้าเห็นว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้ถึงจะเป็นพิธีโบราณทางไสยศาสตร์ก็ตาม แต่ก็มีประโยชน์สำหรับครั้งกระนั้น และถ้าได้มีการแก้ไขเสียใหม่โดยเอางานประกวดกสิกรรมเข้าแซกด้วย ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นอีกมาก[2]

บันทึกของพระยาฤทธิอัคเนย์กล่าวว่า พระราชพิธีแรกนาขวัญเป็นเครื่องมือของรัฐบาลสมัยโบราณในการปลุกขวัญชาวนา และเพื่อเตือนชาวนาว่าได้เวลาทำนาแล้ว “ความจริงพิธีทางไสยศาสตร์นี้นับว่าเป็นของจำเป็นในสมัยกระนั้น เพราะเป็นสมัยที่การศึกษายังไม่เจริญและก็เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะชักจูงราษฎรให้เชื่อถือและนิยม” และแม้ว่าในเวลานั้น (พ.ศ.2479) การศึกษาของประเทศจะยังไม่เจริญถึงขั้นที่ต้องเลิกพิธีไปเสียก็ตาม แต่ก็ควรปรับปรุงให้เหมาะสม คือ ให้ทุกจังหวัดจัดงาน 3-4 วันโดยเนื้อหาหลักของงานเป็นการประกวดกสิกรรม อุตสาหกรรม และหัตถกรรม มีพิธีแรกนาขวัญในวันเริ่มต้น และให้สามัญชนเป็นผู้แรกนา อาจจะเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้ที่ราษฎรในจังหวัดให้ความนับถือ หรือผู้ที่มีความรู้ได้รับรางวัลในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ให้คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นเป็นผู้จัดทำเนื้อหาอย่างละเอียดต่อไป จะเห็นได้ว่านี่เป็นข้อเสนอที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับบันทึกของกระทรวงเศรษฐการเมื่อปี 2477 นั่นเอง

เมื่อเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พระยาพหลฯ แย้งว่า พระราชพิธีแรกนาขวัญควรทำเฉพาะในกรุงเทพเท่านั้น ที่ต่างจังหวัดควรให้จัดเพียงการประกวดกสิกรรม “เพราะถ้าปล่อยให้ตามจังหวัดทำพิธีแรกนาขวัญอาจจะเกิดมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมขึ้นได้” ที่ประชุมเห็นตามนายกรัฐมนตรี ให้มีพิธีแรกนาขวัญเฉพาะในกรุงเทพ ส่วนต่างจังหวัดให้มีเฉพาะงานประกวด โดยให้เป็นหน้าที่ของเทศบาล เทศบาลใดไม่พร้อมก็ให้จังหวัดช่วยเหลือ ส่วนข้อเสนอเรื่องผู้เป็นประธานในการแรกนานั้น ที่ประชุมเห็นด้วยกับหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ที่เสนอให้ปรึกษาคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียก่อน “เพราะเกี่ยวกับพระราชพิธี ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ทรงทักมาเกี่ยวกับเรื่องผู้แทนพระองค์ในพระราชพิธีนี้”[3] ท่านวรรณทรงหมายถึงกรณีเมื่อ 2 ปีก่อนนั่นเอง

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ ทำหนังสือแจ้งผลการหารือกับคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทราบแล้ว มีบัญชาว่า การที่คิดจะดัดแปลงดังที่ได้เสนอไปนั้น เป็นความคิดที่ดีและเหมาะด้วยประการทั้งปวง ส่วนที่หารือเรื่องผู้เป็นประธานในงานนี้นั้น เห็นว่าข้าหลวงประจำจังหวัดควรจะเป็นประธาน

อนึ่ง เนื่องจากงานได้เปลี่ยนแปลงไปดังนี้แล้ว มีบัญชาใคร่จะทราบว่าจะคงเป็นงานเสด็จพระราชดำเนินเช่นเดิม หรือจะควรแก้ไขอย่างใด[4]

สิ่งที่คณะรัฐมนตรีตอบคณะผู้สำเร็จราชการ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลในขณะนั้นมีทัศนคติต่อพระราชพิธีแรกนาขวัญแบบเดิมอย่างไร

๒๔. เรื่องการทำพิธีแรกนาขวัญ (เนื่องจากรายงานประชุมครั้งที่ ๔๔/๒๔๗๙ ข้อ ๒)

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอว่า ราชเลขานุการในพระองค์รายงานว่า ได้นำมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการทำพิธีแรกนาขวัญซึ่งกระทรวงเกษตราธิการดำริแก้ไขขึ้นเสนอคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทราบแล้ว มีบัญชาว่าการที่คิดจะดัดแปลงนั้น เป็นความคิดที่ดีและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และเห็นควรให้ข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นประธานในงานนี้ อนึ่งใคร่ขอทราบต่อไปว่าเมื่อได้เปลี่ยนแปลงไปดั่งนี้แล้ว จะคงเป็นงานเสด็จพระราชดำเนินเช่นเดิม หรือจะควรแก้ไขอย่างใด

ที่ประชุมตกลงว่าในจังหวัดพระนครและธนบุรีไม่ควรมีงานพระราชพิธีทางไสยศาสตร์อย่างเคย แต่ควรมีพิธีเกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น โดยหวังที่จะปลุกใจประชาชนให้นิยมไปในทางนั้น ฉะนั้นก็ไม่มีงานเสด็จพระราชดำเนินเช่นเดิมเป็นทางราชการ[5]

หลังจากทราบมติคณะรัฐมนตรี คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ถามกลับมาอีกว่า “เมื่อไม่ได้กำหนดเป็นงานเสด็จพระราชดำเนินเป็นการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว ทางสำนักพระราชวังก็ไม่มีการเกี่ยวข้องที่จะต้องจัดทำอย่างใดทั้งในทางไสยศาสตร์ และทางพุทธศาสนาด้วย ทั้งนี้จะเป็นการถูกต้องหรือไม่”[6] นายดิเรก ชัยนาม เลขาธิการคณะรัฐมนตรี สั่งให้เจ้าหน้าที่ตอบกลับไปว่า “ที่วังซ้อมความเข้าใจมาถูกแล้ว”[7]

จะเห็นได้ว่า ในทัศนะของผู้นำรัฐบาลสมัยนั้น ลักษณะที่เป็น “ไสยศาสตร์” ของพิธีแรกนาขวัญ ก็คือพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักนั่นเอง เมื่อรัฐบาลตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะเป็น “วิทยาศาสตร์” พิธีแรกนาขวัญจึงไม่ใช่งานเสด็จพระราชดำเนินและไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักอีกต่อไป พิธีแรกนาขวัญที่รัฐบาลสร้างขึ้น ข้าหลวงประจำจังหวัดผู้แรกนา จะทำการไถคราดและหว่านข้าวโดยใช้พันธุ์ข้าวที่รัฐบาลต้องการเผยแพร่ และมีการประกวดพันธุ์ข้าวเพิ่มเข้ามา ในขณะที่ “พิธีทางไสยศาสตร์เดิม ตัดหมด” ซึ่งน่าจะหมายถึง การเสี่ยงทายต่างๆ ทั้งพระยาแรกนาเสี่ยงทายผ้านุ่ง และเสี่ยงทายของกินพระโค นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่รัฐบาลต้องการใช้ประโยชน์จากความเชื่อเดิมของชาวนา จึงได้กำหนดให้ประธานในพิธีแรกนาขวัญ “แต่งกายอย่างพระยาแรกนาขวัญ มีกระบวนเครื่องยศและเกียรติยศอย่างประเพณีเดิม” และได้ “ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยืมเครื่องยศและกระบวนเครื่องเกียรติยศสำหรับผู้เป็นประธานแรกนาขวัญ” จากทางสำนักราชเลขานุการในพระองค์

พิธีแรกนาขวัญของปีนั้นจัดรวมกับงานปีใหม่ เริ่มงานตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2479 ถึง 1 เมษายน 2480 พิธีแรกนามีเฉพาะในพระนครและธนบุรี ส่วนการประกวดพันธุ์ข้าวจัดทั่วประเทศและผู้ชนะแต่ละจังหวัดมาประกวดอีกครั้งในพระนคร

พิธีแรกนาขวัญจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญอีกครั้ง เมื่อหลวงพิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และบุคคลอย่าง หลวงวิจิตรวาทการ เข้ามามีบทบาทในงานด้านวัฒนธรรมของรัฐบาล ซึ่งต้องเก็บไว้เล่าในโอกาสต่อไป




[1]รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 110/2478 วันที่ 22 มกราคม 2478

[2]หนังสือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ถึง นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 17 กันยายน 2479

[3]รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 44/2479 วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2479

[4][4]หนังสือราชเลขานุการในพระองค์ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 30 กันยายน 2479

[5]รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 51/2479 วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2479

[6]หนังสือเลขาธิการพระราชวัง ถึง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2479

[7]คำสั่งลายมือนายดิเรก ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2479 

 

 

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net