ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ฟังสุนทรพจน์ “ I have a Dream “ ที่มีชื่อเสียงของ Martin Luther King ,Jr. ในคราวการเดินขบวนครั้งใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของคนผิวดำอเมริกา พ.ศ.๒๕๐๖ ประโยคหนึ่งที่สำคัญได้แก่ การฝันถึงเสรีภาพและความยุติธรรมซึ่งเป็นรากฐานของความฝันของชาวอเมริกัน (I still have a dream, it is a dream deeply rooted in the American dream.) ซึ่งหมายความถึงความฝันของคนที่สอดคล้องไปกับความฝันของสังคม
ความหมายของคำว่า “ความฝัน” ในสุนทรพจน์นี้มีสัมพันธ์กับความคิดหลายประการ ได้แก่ ความสำนึกในความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องความเสมอภาคในสังคมที่ยังคงไว้ซึ่งความอยุติธรรมของความไม่เท่าเทียม แม้ว่าสังคมนั้นพยายามบ่อบอกแก่ทุกคนว่าเป็นดินแดนแห่งความเสมอก็ตาม ขณะเดียวกัน “ ความฝัน” นี้ไม่ใช่นั่งฝัน/นอนฝันอยู่เฉยๆ หากแต่จะต้องมีปฏิบัติการณ์ของปัจเจกชนและกลุ่มทางสังคมเพื่อให้บรรลุซึ่งความฝันนั้น
ผมหยิบสุนทรพจน์นี้มาเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคม ความหมายที่ฝังอยู่ในคำแต่ละคำ ก็จะแปรเปลี่ยนไปเพื่อทำหน้าที่ทางสังคมแบบใหม่แม้ว่าจะใช้คำๆ เดิมอยู่ก็ตาม
"ความฝัน" ในยุคก่อนสมัยใหม่ทุกแห่งบนพื้นที่โลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็น "ความฝัน" ที่เกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับของคนและเป็นความฝันของปัจเจกชน (พูดง่ายๆก็คือ หลับแล้วฝัน) ความฝันทั้งหมดของคนในยุคสมัยก่อนจะถูกให้ความหมายว่าเกิดขึ้นมาเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติได้เข้ามาบอกอนาคตที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย อำนาจเหนือธรรมชาติที่เข้าสร้างความฝันนี้มีทั้งเทพเจ้า ภูตผี ผีบรรพบุรุษ และเทพประจำพื้นที่ แล้วแต่แต่ละสังคมจะเคารพนับถืออะไร
การทำนายฝันที่เกิดขึ้นจากอำนาจเหนือธรรมชาติจึงเป็นการทำนายว่าลักษณะความฝันนั้นๆ จะเป็นภาพหรือเหตุการณ์อะไรในอนาคต เช่น ในตำราพรหมชาติของไทย (หรือที่คนไทยรับรู้กันโดยทั่วไปแม้ว่าไม่อ่านตำราพรหมชาติ) หากฝันว่าฟันหัก ก็หมายความจะมีญาติสนิทเสียชีวิต แม้ว่าความฝันที่นำมาทำนายจะเป็นของแต่ละคนและคำทำนายความฝันก็เป็นการทำนายอนาคตของคนคนเดียว แต่คำทำนายก็จะเป็นการทำนายที่เน้นให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมของคนๆนั้นกับสรรพสิ่งรอบตัว
ความฝันจึงถูกทำให้เป็นภาพเหตุการณ์หรือความเปลี่ยนแปลงในระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตที่คน/มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่างมากก็คือทำใจรับกับความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ความฝันและความหมายของความฝันลักษณะนี้เกิดขึ้นในสังคมที่ไม่มีการเคลื่อนไหวทางสังคมมากนัก และโอกาสในการที่คนจะเลื่อนชนชั้นเป็นไปได้ยาก พร้อมกันนั้น คนทั้งหมดเชื่อว่าวิถีชีวิตของตนก็ถูกกำหนดมาแล้วจากอำนาจเหนือชาติทั้งหลาย เช่น กรรม ความฝันและความหมายของความฝันจึงเป็นเพียงการบอกกล่าวในแต่ละจังหวะหรือแต่ละจุดของชีวิตที่จะต้องเป็นไปในอนาคตตามผล/การกำหนดของอำนาจเหนือธรรมชาติ
การหลับแล้วฝันหรือความฝันยังคงมีอยู่กับคนตลอดมา แต่ความหมายของความฝันและความหมายของคำว่า “ ความฝัน” เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายในระยะต่อมา
คำว่า “ความฝัน”ถูกทำให้เกิดความหมายใหม่ที่ซ้อนทับความหมายเดิมเอาไว้ เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและทำให้เกิด “โลกสมัยใหม่” ขึ้นมา การเดินทางเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ๆ พร้อมกับการเกิดสำนึกในศักยภาพของมนุษย์อันนำมาซึ่งสภาวะการเริ่มสลัดหลุดจากการกำหนดชีวิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ
“ความฝัน” จึงเริ่มถูกแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกยังคงเป็น “ ความฝัน” ของปัจเจกชนที่หลับและฝันไป ซึ่งยังคงใช้หลักเกณฑ์การทำนายฝันแบบเดิม ส่วนที่สอง เริ่มกลายเป็น “ความ (ใฝ่) ฝัน” ที่จะสร้างอนาคตของคนและสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ความฝันที่จะพบดินแดนใหม่ที่เต็มไปด้วยทองและจะนำทองกลับดินแดนของตน ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็มองว่าเป็น “ความ(ใฝ่)ฝัน “ ที่เป็นไปไม่ได้
ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อปรมาจารย์ทางจิตวิทยา Sigmund Freud ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Interpretation of Dream ข้อถกเถียงในการทำความเข้าใจ “ความฝัน” ของบุคคลก็หันเหไปสู่กระบวนการทำความเข้าใจการทำงานของจิตวิทยาปัจเจกชน และเริ่มลดทอนความสำคัญของการทำนายฝันแบบเดิมลงไป
พร้อมกันนั้นเอง การขยายตัวของกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนคำอธิบายปรากฏการณ์รอบตัวมนุษย์ให้มาสู่ความจริงเชิงประจักษ์มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้การอธิบายความฝันแบบเดิมหมดพลังลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญในความสัมพันธ์ทางสังคมของสังคมนั้นๆ เช่น ที่เหลืออยู่ในสังคม ได้แก่ ฝันเห็นงู ฝันว่าฟันหัก เป็นต้น
การใช้คำเดิมคือ “ ความฝัน” ในความหมายใหม่ได้เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อสังคมเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่สูงมากขึ้น การเลื่อนชนชั้นเป็นไปได้สะดวกมากขึ้น มนุษย์เริ่มรู้สึกว่าสามารถกำหนดชีวิตและความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของตนเองได้มากขึ้น พร้อมกันนั้นเอง โลกก็ได้ให้ความหมายใหม่ที่เน้นความสำเร็จที่มนุษย์สามารถจะกระทำขึ้นมาได้
ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงนี้ “ความฝัน” จึงมีความหมายใหม่ที่เป็นเสมือนเป้าหมายในอุดมคติที่คนวาดหวังเอาไว้ และจะต้องพยายามดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายนั้น
ความสร้างความหมายใหม่ซ้อนทับไปในในคำเดิม (ไม่ว่า “ ความฝัน “ในภาษาไทย “ Dream” ในภาษาอังกฤษหรือ yume ในภาษาญี่ปุ่น) ก็ได้ทำให้เกิดการสื่อสารความหมายที่ซับซ้อนมากขึ้นและความซับซ้อนนี้ก็จะกำกับระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนตามไปด้วย
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในโลกเสรี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ได้ทำให้โอกาสในการเลื่อนชนชั้นเปิดออกอย่างกว้างขวาง จึงนำไปสู่การสร้างความฝัน/ความใฝ่ฝันที่จะก้าวไปสู่การมีชีวิตแบบใหม่ของผู้คน และทำให้เกิดการสร้าง “ความฝันของคนเมริกัน” (American Dream) ขึ้นมา
แน่นอนว่าสังคมอเมริกานั้นได้สร้าง “ฝัน” ไว้ก่อนหน้านั้น แต่ความฝันก่อนหน้าไม่ใช่ความฝันของคนอเมริกันทั้งหมด เพราะคนผิวสียังคงถูกกีดกันออกจากความฝันร่วมกันของสังคม แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมกันในการสร้างความฝันและการต่อสู้เพื่อบรรลุความฝันนั้น
ท่านผู้อ่านที่มีอายุสักหน่อยคงจำภาพยนต์เรื่อง The Graduate ได้ ภาพยนต์เรื่องนี้ได้สะท้อน “ความฝันของอเมริกัน” ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ชีวิตและการตัดสินใจของปัจเจกชนถุกยกไว้เหนือสิ่งอื่นใด พร้อมกันนั้นภาพความสำเร็จของชีวิตอันเกิดจากการลงทุน/ลงแรงไล่ล่าความฝันปรากฏให้เห็นอย่างแจ่มชัด (หากจำหนังได้ก็คงจำเพลง The Sound of Silence และ Mrs. Robinson ได้นะครับ)
ในช่วงใกล้เคียงกัน การพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างไพศาล โอกาสในการเลื่อนชนชั้นเปิดขึ้นอย่างกว้างขวางพร้อมกันนั้น การศึกษาก็ขยายตัวออกไปเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การศึกษากลายเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสของการเดินผ่านไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
นักศึกษาจึงได้ร่วมกันสร้างความหมายใหม่ให้แก่ “ความฝัน” โดยได้แทนที่ความฝันด้วยความหมายของความใฝ่ฝัน คนไทยที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ก็ได้เข้าร่วมการเปลี่ยนความหมายของความฝันนี้อย่างคึกคัก
หากตามอ่านหนังสือที่นักศึกษาผลิตกันในช่วงนั้นจะพบว่าการพูดกันมากมายในเรื่องการทำให้ความฝันเป็นจริงหรือความตั้งใจที่จะฝันว่าชีวิตตนเองจะไปสู่อะไร พร้อมกันนั้นนิตยสารรายสัปดาห์หรือรายปักษ์ที่มีมากขึ้นก็ได้แสดงภาพของความใฝ่ฝันที่จะต้องเดินไปให้ได้ คอลัมน์สอนการมีกิริยามารยาทที่เหมาะสมในชีวิตที่กำลังจะมาถึงก็มีในทุกเล่มและทุกฉบับ
ความฝันแบบ “หลับแล้วก็ฝัน” ถูกทำให้ลดความสำคัญลงไป เพราะความ (ใฝ่) ฝันแบบใหม่ได้เข้ามาแทนที่ นักคิดฝ่ายซ้าย บรรจง บรรเจิดศิลป์ (อุดม ศรีสุวรรณ) ซึ่งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างชัดเจนและได้เขียนหนังสือเพื่อปรับฐานการคิดและความรู้สึกไว้ในหนังสือที่มีพลังอย่างมาก เรื่อง “ชีวิตและความใฝ่ฝัน”
ความเปลี่ยนแปลงความหมายของความฝันที่เกิดขึ้นภายใต้การเคลื่อนย้ายทางสังคม (Social Mobilization) ที่เข้มข้นขึ้นได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ทศวรรษของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทำให้ทุกคนมีความหวังเริ่มหดหายไป
ในระยะหลังจากทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา ความผันผวนไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจไทย การกระจุกตัวของกลุ่มคนชนชั้นนำปรากฏชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับการสร้างกำแพงทางวัฒนธรรมของชนชั้นก็ปรากฏชัดเจนขึ้น ได้ทำให้การข้ามชนชั้นทำได้ยากมากขึ้น โอกาสของผู้คนในการเลื่อนชนชั้นมีน้อยลง ความหมายของความฝันลักษณะที่ "ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" เริ่มกลับมาสู่ความหมายว่าหากจะฝัน ก็เท่านั้นแหละ คนธรรมดาไม่มีทางที่จะเดินไปสู่ความฝันได้
ความ (ใฝ่) ฝันที่จะมีอนาคตที่งดงามและเป็นความฝันที่จะต้องลงแรงกายแรงใจอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นสูญสลายไปทีละเล็กทีละน้อย พร้อมๆกับการขยายตัวของการตอบแทนความฝันด้วยการซื้อล็อตเตอรี่/หวยใต้ดิน จนบัดนี้หาใครใช้ความหมายของความฝันที่เป็นความ (ใฝ่) ฝันได้ยากเต็มทน
การเคลื่อนย้ายสถานะจากนักเรียนมาสู่นักศึกษาที่ในสมัยก่อนนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดการสร้างความ (ใฝ่) ฝันอย่างชัดเจนว่าเมื่อเป็นนักศึกษาก็หมายถึงเป็น “ปัญญาชน” และจะต้องฝันไปว่าจะสร้างอนาคตของตนและอนาคตของสังคมให้งดงามได้อย่างไร แม้ในช่วงก่อน พ.ศ. 2516 วรรณกรรม/บทกวีของนักศึกษาที่ถูกให้ชื่อในภายหลักว่า “ วรรณกรรม/บทกวีหาผัว-หาเมีย” ก็ยังสอดแทรกด้วยความ (ใฝ่) ฝันอยู่
แต่ที่น่าเศร้าใจ ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุ่มนักศึกษานักศึกษาระยะสองทศวรรษหลัง นักเรียนที่เคลื่อนย้านสถานะมาสู่นักศึกษาเกือบทั้งหมดเติบโตมาในสังคมที่ไม่มีความ(ใฝ่)ฝันจุนเจือเกื้อหนุนให้ฝัน พวกเขาจึงเข้ามาสู่การศึกษาเพียงเพื่อจะเอาใบปริญญาออกไปหางานที่ทำตามที่คนอื่นสั่งให้ทำเท่านั้น หากถามพวกเขาว่าความฝันของพวกเขาคืออะไร คำตอบคือ ความเงียบ เพราะพวกเขาไม่เคยมีความ(ใฝ่)ฝันใดๆ อย่างมากก็มีความฝันเพ้อเจ้อที่ไม่ต้องการการลงแรงกายแรงใจอะไร เช่น รอเดินชนกับคุณชายพุฒิภัทร ที่มุมตึกแล้วก็จะตกหลุมรักกัน
การเปลี่ยนชื่อ/นามสกุลของนักศึกษาเกิดมากขึ้นในระยะสองทศวรรษหลังนี้ ก็เพราะพวกเขาไม่ได้มีความ (ใฝ่) ฝันอันใด หากแต่มีความหวังลมๆแล้งๆว่าหากเปลี่ยนชื่อ/นามสกุลแล้วจะโชคดี ( อย่างบังเอิญ) โดยไม่เคยคิดเลยว่าความโชคดีไม่มีทางเกิดขึ้นหากพวกเขาไม่เตรียมตัวให้พร้อมที่จะฉวยจังหวะเพื่อจะได้พบกับความโชคดี
ความเปลี่ยนแปลงความหมายของคำว่าความฝันได้กำหนดเส้นทางเดินของชีวิตปัจเจกชนและชีวิตของสังคม เพราะคำนี้ไม่ใช่แค่คำเท่านั้น หากแต่เป็นชุดของความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ของคนกับสังคมรอบข้างที่ถูกฝังเอาไว้ในระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม
ความหมายที่เลื่อนไหลไปมาระหว่างความฝันกับความ (ใฝ่) ฝันของกลุ่มคนในสังคมจึงไม่ใช่เพียงแค่ปรากฏการณ์ของการเล่นคำในสังคมเท่านั้น หากแต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นถึงคุณภาพของผู้คนในสังคมช่วงเวลาหนึ่งๆ
ความหมายของการใช้คำว่าความฝันในสังคมไทยวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังของผุ้คนในสังคมไปแล้ว เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ความใฝ่ฝันแบบฝันให้ไกลไปให้ถึงกลับมาสู่คนไทยและสังคมไทย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)