Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 
เรื่องราวของเชฟชาวจอร์แดนคนนึงในร้านอาหารเล็กๆ ชานเมืองออกซ์ฟอร์ด คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจของใครหลายๆ คน เพราะมันเป็นเพียงถนนสายเล็กๆ ของชายคนหนึ่ง ท่ามกลางถนนนับล้านที่ท่วงทำนองแห่งชีวิตได้พัดพาผู้คนให้มุ่งหน้าไปในทิศทางที่แตกต่างกัน บ้างบรรจบกันชั่วครั้งคราว ก่อนที่ถนนสายนั้นจะพาเหล่านักสัญจรมากหน้าไปตามสายธารแห่งโชคชะตาของเขา
 
ชีวิตของโฮซัมก็เปรียบเสมือนถนนสายน้อยๆ ที่ได้แวะเวียนมาบรรจบกับถนนของผู้เขียนในชั่วเวลาเพียงไม่นาน ทว่าการเดินทางที่แสนยาวไกลของโฮซัมก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สะดุด ตรึงใจผู้เขียนอย่างไม่ลืมเลือน
 
คงไม่ใช่ภาพแปลกตา หากเราจะพบเชฟชาวตะวันออกกลางสักคนหนึ่ง ในร้านอาหารอิตาลีสักแห่งในประเทศอังกฤษ ร้าน “โรโคโค” ที่โฮซัมทำงานก็เป็นร้านที่ผู้เขียนเพียงก้าวออกจากประตูบ้านและเดินข้ามถนนมาก็จะถึงโดยทันที เจ้าของร้านอาหารร้านนี้เป็นคู่สามี-ภรรยาชาวอังกฤษวัยเกษียณ “จอห์น” กับ “ลินดา” ทั้งสองเปิดกิจการร้านอาหารนี้เป็นร้านแรก ส่วนร้านที่สองหรือร้านสาขาของเขานั้น เป็นแคนทีนเล็กๆ ที่ขายเฉพาะชายามบ่ายและแซนวิชง่ายๆ อยู่ในตัวเมืองออกซ์ฟอร์ด “จอห์น” กับ “ลินดา” ต่างไม่มีลูกด้วยกัน
 
เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้เขียนมิได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับโฮซัมหรือร้านโรโคโคโดยตรง แต่เรื่องที่ผู้เขียนจะเล่า เป็นเรื่องผ่านการเล่าสู่กันฟังของอะตู เฮาส์เมทชาวนากาแลนด์ อันเป็นรัฐขนาดไม่เล็กสักเท่าไรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเจมี่ เฮาส์เมทชาวสิงคโปร์ เนื่องเพราะเขาทั้งสองนั้น ต่างทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่ร้านโรโคโค ในขณะที่ตัวผู้เขียนเป็นเพียงคนเดียวในบ้าน ที่จังหวะแห่งชีวิตชักพาให้ไปทำงานที่ร้านอาหารไทยกลางเมืองออกซ์ฟอร์ด
 
ในขณะที่ผู้เขียนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองออกซ์ฟอร์ดนั้น โฮซัมได้ทำงานที่ร้านโรโคโคมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เขาไม่มีวีซ่าทำงาน หรือพูดง่ายๆ ได้ว่า สถานะของโฮซัมนั้นผิดกฎหมาย และภาษาอังกฤษของโฮซัมก็เทียบได้กับนักเรียนต่างชาติที่ไปเรียนคอร์สภาษาอังกฤษในช่วงปิดเทอมเท่านั้น เนื่องจากร้านเป็นเพียงร้านเล็กๆ โฮซัมจึงมีหน้าที่ทำอาหารทั้งหมดในครัวเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมวัตถุดิบ อบพิซซ่า ทำซุป พาสต้า ร้าน “โรโคโค” เป็นร้านอาหารอิตาลีที่เปิดเพื่อเอาใจคนในชุมชน ดังนั้น จึงไม่ใช่ภาพที่น่าแปลกใจ หากเราจะเห็นว่าพนักงานที่โรโคโคต้อนรับลูกค้ากลุ่มแรกในเวลา 7 โมงเช้า และกว่าไฟในร้านจะปิดก็ปาเข้าไปตั้ง 5 ทุ่ม นอกจากนี้ ร้านยังเปิดเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งก็หมายความโฮซัมจะมีวันหยุดเท่ากับ 0 วันในแต่ละสัปดาห์
 
เราอาจคิดกันไปว่าชีวิตของโฮซัมจะเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย ในทางตรงข้าม โฮซัมกลับดีใจเป็นอย่างมากที่ได้งานที่ร้านโรโคโค เพราะนั่น คือ สิ่งที่ทำให้เขาสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ แม้จะต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยตามจับเหล่า “โรบินฮู้ด” ที่ทำงานโดยผิดกฎหมายทั้งหลาย
 
ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้พบกับโฮซัมก็คือในร้านโรโคโคในระหว่างที่ผู้เขียนแวะเข้าไปทักทายอะตู ที่กำลังว่างจากลูกค้าในยามบ่าย โฮซัมเป็นคนสุภาพ เรียบร้อย และเป็นมิตรอย่างมาก แต่ก็มีลักษณะของการมองตัวเองว่าต่ำต้อยกว่าและรู้สึกเขินอายเมื่อได้พูดคุยกับผู้เขียน อะตูและเจมี่ได้เล่าให้ฟังว่า ในยามปลอดลูกค้า โฮซัมมักจะขอให้ทั้งสองคนช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ ในบางครั้งก็ขอให้เจมี่ช่วยหาแบบเรียนสำหรับการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ ในยามว่างบางครั้งโฮซัมก็สอนวิธีทำอาหารอิตาลีให้แก่เขาทั้งสอง บางครั้งก็มักทำอาหารเผื่อทั้งสองคนด้วย และในหลายๆ โอกาสโฮซัมก็ทำอาหารจอร์แดน อาหารบ้านเกิดของเขาเพื่อให้เพื่อนๆ ได้ลิ่มรส จึงไม่น่าประหลาดใจหากผู้เขียนจะได้ชิมอาหารฝีมือโฮซัมบ่อยๆ ถึงขนาดที่โฮซัมรู้ว่าแซลลี่ชอบพิซซ่าที่ใส่เห็ดและเปเปอโรนี่เยอะๆ ซึ่งผู้เขียนก็มักจะได้แถมเห็ดและเปเปอโรนี่ถึงสองเท่าของพิซซ่าปกติที่ขายในร้าน หรือในวันเกิดของผู้เขียน โฮซัมก็ทำพิซซ่าพิเศษสุดฝีมือขนาดที่ฝากอะตูและเจมี่มาบอกว่า ให้แซลลี่เอาพิซซ่าของเขาใส่กรอบแขวนไว้ เพราะมันเป็นพิซซ่าที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา
 
หากให้ผู้เขียนเล่าถึงความสุภาพ น่ารัก และเป็นมิตรของโฮซัมนั้น เป็นเพียงปฐมบทของเรื่องราวที่ผู้เขียนจะเล่าต่อไปนี้ และหลายท่านคงนึกไม่ถึงเลยว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้โฮซัมต้องมาเป็น “พ่อครัวผิดกฎหมาย” ในประเทศอังกฤษ
 
โฮซัมได้เล่าให้อะตูและเจมี่ฟังว่า ครั้งหนึ่งที่โฮซัมอยู่ในประเทศจอร์แดนนั้น ฐานะของเขาก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย เขามีพ่อเป็นทนายความชื่อดังคนนึง และมีพี่ๆ อีก 4 คนที่ต่างประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและธุรกิจ ทว่าโฮซัมซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องนั้น กลับเป็นเด็กเกเรเหลวไหลที่วันๆ เอาแต่ทะเลาะวิวาทกับเหล่านักเลง โฮซัมเล่าไปพลางยิ้มโชว์ฟันหน้าสีทองสองซี่ของเขา พร้อมเล่าต่อว่า ฟันหน้าสองซี่ของเขาที่หายไปนี้ ก็คือร่องรอยที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของเด็กเกเรคนหนึ่งในประเทศตะวันออกกลาง 
 
พฤติกรรมของโฮซัมนับได้ว่าสร้างความอับอายให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก และเท่านั้นไม่พอ โฮซัมยังยุ่งเกี่ยวกับวงการการพนัน และได้กู้เงินนอกระบบเพื่อใช้หนี้จำนวนมหาศาลที่เขาได้ไปก่อไว้ โฮซัมถูกฟ้องข้อหา “เบี้ยวหนี้” และคดีมีทีท่าว่าจะจบลงด้วยการจำคุก เนื่องจากตัวโฮซัมเองก็ไม่มีปัญญาไปใช้หนี้ใช้สินที่เขาได้ก่อไว้ อีกทั้งยังถูกพ่อที่เป็นทนายความ และพี่ชายตัดหางปล่อยวัด มิให้ความช่วยเหลือทั้งด้านการเงิน และรูปคดีแต่อย่างใด ดังนั้นแล้ว ทางออกทางเดียวของโฮซัม คือ การหนี!!
 
แน่นอน จุดหมายปลายทางของโฮซัมไม่ใช่ที่อื่นไกล หากแต่เป็นประเทศอังกฤษนั่นเอง
 
โฮซัมเข้าประเทศอังกฤษด้วยวีซ่านักเรียนภาษา ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เหล่าโรบินฮู้ดจำนวนมากใช้ในการหลบหนีเข้ามาทำงาน แต่โชคดีของโฮซัม คือ เขาได้พบกับ “จอห์น” และ “ลินดา” สองสามีภรรยาที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี “ลินดา” เป็นธุระในการจัดหาที่พักให้โฮซัม เพราะด้วยสถานะของโฮซัมที่ “ผิดกฎหมาย” แล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาจะทำสัญญาเช่าบ้าน ในตอนแรกโฮซัมอาศัยอยู่ที่ชั้นสองของร้าน แต่เมื่อไม่นาน ตำรวจได้บุกค้นหาบุคคลผิดกฎหมาย โฮซัมที่โชคดีพอที่จะหนีออกทางหลังร้าน จึงต้องไปอาศัยอยู่ที่อื่น(ที่ลินดาเป็นธุระหาให้)โดยปริยาย
 
การเข้ามาทำงานในร้านโรโคโคของโฮซัมนับได้ว่าแบ่งเบาภาระของ “จอห์น” และ “ลินดา” ได้มาก เนื่องจาก สองสามีภรรยานั้น เลือกที่จะดูแลร้านด้วยตัวเอง ด้วยการที่ทั้งสองผลัดกันเป็นเชฟในบางครั้ง ผลัดกันเสิร์ฟเป็นบางครั้ง และมีทิอาโก ผู้จัดการร้านชาวบราซิลเชื้อสายอิตาลีเป็นผู้ช่วย
 
ทิอาโกก็ไม่ต่างอะไรจากโฮซัมมากนัก เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยมีสถานะ “ผิดกฎหมาย” เช่นเดียวกัน โดยเขาได้เริ่มงานแห่งแรกที่ผับแห่งหนึ่ง มีหน้าที่ในครัวคือ ทำอาหารอะไรก็ตามในเมนูไปเสิร์ฟลูกค้า จากนั้น ทิอาโกได้ลากลับบราซิลไปกว่า 2 ปี เพื่อที่จะแต่งงาน ในช่วงนั้นเขามีลูกสาวตัวเล็กๆ หนึ่งคน ก่อนที่จะหย่ากับภรรยา และตัดสินใจเดินทางกลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกกฎหมายทุกด้าน เพื่อที่จะหาเงินส่งเสียลูกสาวตัวน้อยนั่นเอง
 
สำหรับโฮซัมแล้ว ทิอาโกเป็นทั้งเพื่อนสนิท พี่ชาย และครู เพราะทิอาโกคือคนที่สอนโฮซัมทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้มีด การหั่นผัก จนไปถึงเรื่องยากๆ เรื่องอื่น อย่างการทำพิซซ่า ซุป พาสต้า และอาหารนานาชนิด ทว่าโฮซัมก็เรียนรู้มันในเวลาไม่นาน จนกระทั่งเขากลายเป็นเชฟเต็มตัว และทิอาโกก็ถอนตัวจากงานทำอาหาร มาเป็นงานผู้จัดการ คือ ดูแลเรื่องต่างๆ ในร้านแทน
 
อะตูและเจมี่มักเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า โฮซัมมักเล่าถึงความฝันของเขาให้ทั้งสองคนฟัง ซึ่งหลายท่านอาจคิดว่าเป็นฝันเฟื่อง โฮซัมอยากเปิดร้านอาหารของตนเองในประเทศแคนาดา พร้อมกับมีคฤหาสถ์เล็กๆ สักหลัง ที่ๆ เขาจะอยู่กินกับภรรยาผิวขาวผมทอง โฮซัมมักเชิญชวนอะตูและเจมี่ว่า หากมีโอกาสในอนาคตอย่าลืมไปเยี่ยมเขาที่แคนาดาให้ได้ เขาจะทำอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกให้ทั้งสองคนได้ทาน และเพื่อไปให้ถึงความฝันของเขา โฮซัมจึงเฝ้าทำงานเก็บเงินในร้านอาหารเล็กๆ อย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมๆ กับที่พยายามพัฒนาทักษะของตนในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษา การศึกษา ฯลฯ
 
วันหนึ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือของเจมี่ดัง พร้อมข่าวร้ายจากลินดาว่า “โฮซัมโดนตำรวจจับ” ข้อหาก็มิใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นการเป็นแรงงานผิดกฎหมายนั่นเอง ซึ่งสำหรับกลุ่มคนผิดกฎหมายที่อยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว สิ่งนี้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินอังกฤษอีกต่อไป และสำหรับโฮซัม จุดหมายปลายทางประเทศจอร์แดนอันเป็นบ้านเกิดของเขานั้น มีซี่ลูกกรงเหล็กที่พร้อมเปิดรับเขาเข้าไปทันทีที่เขาเหยียบแผ่นดิน
 
ในช่วงเวลา 2 วันที่โฮซัมหายไปจากบ้าน โดยปราศจากการติดต่อการแจ้งข่าวคราวทั้งปวง เสมือนฝันร้าย เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าจะได้เห็นหน้าโฮซัมอีกไหม และยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขาจะถูกส่งกลับบ้าน ถูกส่งเข้าคุกหรือเปล่า?
 
ความกังวลได้ผ่านพ้นไป เมื่อถึงวันที่ 3 โฮซัมได้กลับมาที่ร้านอาหารพร้อมกับ “รอยยิ้ม” พลางพร่ำบอกเพื่อนๆ อย่างดีใจว่า “พวกเขาปล่อยผม และจะให้วีซ่าทำงานผมด้วย”
 
ข่าวดีของโฮซัมได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่งให้แก่ทุกคน เมื่อตำรวจอังกฤษที่ได้ชื่อว่า “เขี้ยว” ที่สุดกับพวกโรบินฮู้ดตัดสินใจให้วีซ่าทำงานแก่โฮซัม ทุกคนจึงถามโดยไม่รั้งรอว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? โฮซัมจึงฉีกยิ้มและบอกทุกคนว่า “เมื่อพวกเขาจับผมไป ผมร้องไห้อย่างหนัก หนักมากๆ พวกเขาจึงถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมร้องไห้และบอกพวกเขาไปว่า ถ้าผมกลับบ้าน กลับไปจอร์แดน พวกมันจะฆ่าผม!! และผมก็ถอดฟันทองสองซี่ให้พวกเขาดูว่า นี่คือรอยซ้อมที่พวกมันได้ทำกับผม” ถึงจุดนี้เอง โฮซัมโกหก...ใช่...เขาโกหก...แต่จะมีทางเลือกใดอีกเล่า? และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เชื่อซะสนิทใจ
 
ภายหลังจากนั้นโฮซัมได้รับวีซ่าทำงาน ถนนแห่งชีวิตที่ร้านโรโคโคของเขาดำเนินต่อไป ผู้เขียนไม่ทราบว่าปัจจุบันโฮซัมเป็นเช่นไร ยังคงทำงานหนักเก็บเงินเพื่อความฝันอยู่หรือไม่?
 
แต่บทเรียนสำคัญประการหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับจากเรื่องราวชีวิตชองโฮซัม คือ สังคมที่เป็นอารยะ จะต้องไม่เป็นสังคมที่เหยียดผิว เหยียดชาติพันธุ์ หากแต่เปิดรับความหลากหลาย ปฏิบัติกับมนุษย์ด้วยใจโอบอ้อมเมตตา ในฐานะที่เขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์ ให้โอกาส ใช้หัวใจและมนุษยธรรม
 
หากโฮซัมมาอยู่ในสังคมไทยที่เกลียดแขก เกลียดผู้ก่อการร้ายตะวันออกกลางแล้วไซร้ ผู้เขียนไม่อยากจินตนาการเลยว่า สองผัวเมียชาวไทยที่รับเขาเข้าทำงานจะปฏิบัติกับเขาอย่างไร เพื่อนบ้านจะมองเขาเช่นไร จะมีใครให้โอกาสเขา ให้ความรัก และปฏิบัติกับเขาในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่านี้? ไม่ต้องพูดถึงว่าหากโฮซัมถูกจับเข้าคุกที่เมืองไทยจะเป็นเช่นไร? นอกจากเขาจะถูกส่งตัวกลับไปจอร์แดน โดยเพิกเฉยต่อความเป็นตายร้ายดีของเขาแล้ว กระบวนการที่ตำรวจไทยใช้ในคุกจะเป็นเช่นไร? จะมีการกล้อนผมไหม? 
 
เรื่องราวของเดฟ แขกในเชียงใหม่กับโฮซัมคงไม่ต่างกันสักเท่าไร หากทั้งสองเรื่องราวเกิดขึ้นในสังคมเดียวกัน สิ่งที่ต่าง คือ เดฟเลือกที่จะมาอยู่ผิดประเทศ มาอยู่ในประเทศที่เหยียดผิว เหยียดชาติพันธุ์ จนกระทั่ง “ความเป็นมนุษย์” ของเขาถูกมองข้าม เพิกเฉย และผลักใส
 
 
 
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net