Skip to main content
sharethis

ปลัดกระทรวงการคลัง ผุดไอเดียมอบรางวัลผู้สูงอายุขอสละสิทธิ์รับเบี้ย เบื้องต้นทำเหรียญเจ้าคุณธงชัยแจก พร้อมยัน ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งไม่มีปัญหาสถานะการเงิน ไร้นัยยะสำคัญที่ต้องดูแลเป็นการเฉพาะ ชี้ ธปท. เพิ่มกันสำรองเพื่อมาตรฐานสากลเท่านั้น

 สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง (ที่มาภาพ เว็บไซต์ กระทรวงการคลัง)

26 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คลังจะเร่งสรุปยอดผู้สูงอายุที่ต้องการสละสิทธิ์รับเบี้ยคนชราให้เร็วที่สุด ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เร่งดำเนินการ เพราะมีแนวคิดที่จะต้องการเพิ่มเบี้ยคนชรา ที่ปัจจุบันรัฐบาลอุดหนุนให้เฉลี่ย 600 บาทต่อคนเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่เพียงพอ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนจะเพิ่มในอัตราเท่าใดนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมบัญชีกลาง และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อยู่ระหว่างสรุปแนวทางและเสนอเป็นมาตรการทั้งหมดพร้อมกัน

“การจะเพิ่มเบี้ยให้ผู้สูงอายุ จะเพิ่มได้เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีผู้สูงอายุสละสิทธิ์รับเบี้ยมากน้อยขนาดไหน ซึ่งถ้ามีจำนวนมาก ก็จะเหลืองบประมาณในส่วนนี้ มากระจายให้กับผู้สูงอายุที่เดือดร้อน รายได้น้อย ที่ต้องการเบี้ย เพื่อใช้ในการดำรงชีพมากขึ้น” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว

สมชัย กล่าวว่า คลังจะเร่งทำระบบให้ผู้สูงอายุสามารถแจ้งความประสงค์เพื่อขอสละสิทธิ์รับเบี้ยได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งผู้สูงอายุที่สละสิทธิ์ ถือว่าเป็นผู้ที่ทำคุณงามความดี คลังจะต้องมีการให้รางวัล เป็นการเชิดชูเกียรติ เบื้องต้นจะมีการทำเหรียญเชิดชูเกียรติ ที่ด้านหนึ่งของเหรียญ จะมีการลงยันต์พระพรหมมังคลาจารย์ (เจ้าคุณธงชัย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปลุกเสก แจกเป็นของรางวัล โดยคลังมีแนวคิดที่จะแจกรางวัลให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการสละสิทธิ์ทุกปีเพื่อเป็นการจูงใจ

ยันธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งไม่มีปัญหาสถานะการเงิน

ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ดำเนินการด้วยความรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ หรือ D-SIBs ที่กำหนดให้ในปี 2563 ธนาคารต้องดำรงเงินกองทุนชั้นที่ 1 เพิ่มจากอัตราส่วนเงินกองทุกขั้นต่ำอีกร้อยละ 1 ว่า การออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่ ธปท. ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีมาตรฐานการดำเนินงานเช่นเดียวกับนานาชาติ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะมีผลประกอบการสูงมาก โดยที่ผ่านมามีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือ BIS retro มากกว่าที่กำหนดอยู่แล้ว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทย จึงยืนยันว่าธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งไม่ได้มีปัญหาด้านสถานะทางการเงิน และไม่มีนัยยะสำคัญที่ต้องดูแลเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการประกาศตามมาตรฐานเท่านั้น

ส่วนกรณีมีข้อมูลว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก แนะนำให้ลูกค้าปรับสัดส่วนเงินฝากเพื่อเลี่ยงการเสียภาษีนั้น สมชัย กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากร อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนเข้าไปดำเนินการอบรมให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับธนาคารพาณิชย์ โดยยืนยันว่าผู้ฝากเงินทุกรายจะต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นธนาคารพาณิชย์ไม่ควรแนะนำให้ลูกค้าดำเนินการปรับสัดส่วนบัญชีเงินฝาก ขณะที่ ปัจจุบันมีร้านค้าติดตั้งเครื่องรับชำระเงินอิเลกทรอนิกส์ หรือ อีดีซี ไปแล้วกว่า 180,000 เครื่อง จึงมั่นใจว่าภายในเดือนมีนาคม ปีหน้า จะติดตั้ง ครบ 560,000 เครื่องตามกำหนดแน่นอน เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บัตรเดบิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้เงินสดลดลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีผลกระทบกับระบบการชำระด้วยคิวอาร์โค้ด เพราะเครื่องอีดีซีจะไว้รองรับการชำระผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิตรวมทั้งบัตรประจำตัวผู้มีรายได้น้อย ที่จะสามารถเชื่อมระบบได้ในอนาคต

 

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net