1.ยกเลิกนโยบายประชารัฐและการส่งเสริมกลุ่มทุนธุรกิจผูกขาดเนื่องจากปัจจุบันนโยบายประชารัฐเอื้อเอกชนไม่กี่กลุ่มที่เป็นกลุ่มทุนผูกขาดประเทศไทย และไปซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยให้มากขึ้นไปตามลำดับ ผันเงินงบประมาณแผ่นดินผ่านโครงการช่วยเหลือของรัฐ ผ่านประชาชนเข้าสู่กลุ่มทุน, ตัวเลขรายได้จากการส่งออกของไทยเป็นของกลุ่มทุนใหญ่ประมาณ 10 กลุ่มเท่านั้น นโยบายและผลประโยชน์ทับซ้อนเหล่านี้ = รัฐทหารสมคบคิดกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดประเทศไทย? อ้างความมั่นคงกอบโกยทรัพยากรและส่วนต่างจากคนส่วนใหญ่? นอกจากนี้ ยังพบว่าโครงการไทยยั่งยืนฯ มีการใช้จ่ายงบประมาณส่อไปในทางทุจริต เนื่องจากหลายโครงการไม่มีแผนการใช้งบประมาณที่ชัดเจน
2.รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560 อย่างเคร่งครัด ขจัดปัญหาทุนผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยได้แข่งขันกันเติบโตและลืมตาอ้าปากได้ โดยใช้แก้ไขปัญหาการผูกขาดทางการค้าของกลุ่มทุนที่ผูกขาดตลาดเกิน 33% (หรือหนึ่งในสาม) อย่างเคร่งครัดและนำไปสู่การสั่งฟ้องเอกชนทุกคดีที่ทำผิดกฎหมาย เศรษฐกิจประเทศไทยไม่สามารถให้กลุ่มทุนใดผูกขาดตลาดได้เนื่องจากทรัพยากรมีจำนวนจำกัด ที่ผ่านมามีคดีร้องเรียนคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามากกว่า 75 คดี แต่คณะกรรมการชุดเก่าไม่เคยสั่งฟ้องคดีเลยเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางสังคมไทย ส่วนรัฐวิสาหกิจไทย รัฐบาลต้องแยกรัฐวิสาหกิจที่ต้องเป็นของรัฐ 100% ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงพื้นฐานและบริการสาธารณะ เช่น น้ำ ไฟฟ้า พลังงาน และระบบขนส่งมวลชน ฯลฯ ส่วนกิจการที่รัฐไม่ควรเข้าไปแข่งขันกับเอกชนก็ยกเลิกไป
3.ยุบคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่หมดสมัยและไร้ประโยชน์ไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุผลสมควรมีหน่วยงานนี้แล้วสำหรับนโยบายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีการแข่งขันเสรี และยุตินโยบายที่เอื้อนายทุนต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ในประเทศโดยงดเว้นภาษีต่างๆ และให้เช่าที่ดินได้ 99 ปีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นการยกอาณาเขตให้เช่าเหมือนกรณีเกาะฮ่องกง ที่เลวร้ายที่สุดคือ คณะกรรมการสามารถใช้อำนาจให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินในพื้นที่ EEC แก่ต่างชาติเป็นเจ้าของ ตามมาตรา 27 พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2560 ที่ระบุว่า “ผู้ได้รับการส่งเสริมจะได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนตามจำนวนที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร แม้ว่าจะเกินกำหนดที่จะพึงมีได้ตามกฎหมายอื่น ในกรณีที่ผู้ได้รับการส่งเสริมซึ่งเป็นคนต่างด้าวตามประมวลกฎหมายที่ดินเลิกกิจการที่ได้รับการส่งเสริมหรือโอนกิจการนั้นให้แก่ผู้อื่น ผู้ได้รับการส่งเสริมต้องจำหน่ายที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่เลิกหรือโอนกิจการ”= ไม่ต่างจากการขายชาติ-ขายแผ่นดินให้ต่างชาติยึดครอง ประเทศและประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรจากนโยบายดังกล่าว นอกจากกลุ่มคนบางกลุ่มที่อาจได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเข้ากระเป๋าตนเอง
4.รัฐบาลต้องออกนโยบายทางการเงินทางการธนาคารเพื่อแก้ปัญหาการขูดรีดประชาชนโดนระบบอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงมาก โดยลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากในระบบธนาคารของประเทศไทยที่สูงถึงกว่า 5-6 เท่า มากที่สุดในเอเชียและมากกว่าหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่มาเลเซียมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยแค่ 1.5% อินโดนีเซีย 4.3% ออสเตรเลีย 3.3% และจีน 2.9% เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจภายใน ที่นายทุนการเงินการธนาคารเอาเปรียบขูดรีดมูลค่าส่วนเกินอย่างรุนแรงกับประชาชนคนชั้นกลางชั้นล่าง ตลอดจนกลุ่มธุรกิจรายย่อย SMEs ขณะที่กลุ่มทุนใหญ่สามารถเจรจาลดอัตราดอกเบี้ยได้
5.รัฐบาลต้องออกกฎหมายเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า ไม่ใช่คิดขึ้นภาษีทางอ้อมหรือภาษีมูลค่าเพิ่มกับประชาชน นำไปสู่การปฏิรูปที่ดินทั้งระบบไม่ให้กลุ่มทุนถือครองที่ดินจำนวนมาก จนเกิดปัญหาเกษตรถูกยึดที่ดินเพราะปัญหาหนี้สินในระบบ-นอกระบบ ซึ่งสามารถทำให้รัฐมีงบประมาณในการสร้างรัฐสวัสดิการ โดยการออกกฎหมายให้มีการปฏิรูประบบภาษีทั้งระบบ โดยให้มีการเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน และภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า
(ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเสียภาษีทางอ้อมกว่า 70% และเสียภาษีทางตรงเพียง 30% ทำให้โครงสร้างภาษีไม่มีความเป็นธรรม ภาษีทางอ้อมนั้นเก็บผ่านฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษี ภาษีทางตรงคือภาษีรายได้และนิติบุคคล ที่ปัจจุบันรัฐบาลได้ลดภาระทางภาษีลง แต่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ทรัพย์สินและรายได้ของบุคคลที่สั่งสมเพิ่มขึ้นจากการรีดมูลค่าจากคนสังคม สมควรแบ่งปันคืนสู่สังคม โดยให้รัฐจัดการในส่วนหนึ่งเพื่อการพัฒนาสังคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ความสะดวกปลอดภัยของชีวิตตลอดจนคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีจากรัฐ พลเมืองในยุโรป โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยินดีจ่ายภาษีส่วนเกินนี้คืนให้รัฐในอัตราที่สูงในอัตราก้าวหน้าจากทรัพย์สินและรายได้ที่งอกเงย เพราะแต่ละคนก็เอาประโยชน์ที่งอกเงยนั้นมาจากสังคมไม่เท่ากัน ความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมนี้ และรัฐบาลก็นำภาษีที่เก็บได้มาพัฒนาสังคม จนผลิตผลของทรัพย์สิน ที่ดินและมูลค่าของการลงทุนต่างๆ งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกผลตอบแทนคืนสู่พลเมืองอีกระลอกหนึ่ง ดังนั้น ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีทางตรงที่เราจ่ายให้แก่รัฐและสังคมระหว่างที่มีชีวิตอยู่ และภาษีมรดกคือการจ่ายส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ควรมีนโยบายการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า ทั้งจากสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เหมือนภาษีทรัพย์สินในต่างประเทศ ไม่ใช่จากอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวตามที่บัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระยะยาว)
6.เปิดเสรีพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาสนับสนุนการปฏิรูปสังคมใหม่อย่างสันติผ่านระบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตย ที่อนุญาตให้มีพรรคการเมืองที่หลากหลายทางอุดมการณ์ ไม่ว่าจะทุนนิยม เสรีนิยม สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ จะใช้ระบบเสรี ระบบสหกรณ์ รัฐสวัสดิการ หรือสังคมนิยมประชาธิปไตย ก็แล้วแต่นโยบายพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้กันทางการเมืองในระบบรัฐสภา และสนับสนุนประชาชนในการเสนอทางเลือกใหม่ที่ไปมากกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตย 2 กระแสในปัจจุบันไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยที่เน้นสังคม หรือ สังคมประชาธิปไตย ที่สนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ สังคม และเป็นทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งในปัจจุบัน
7.หยุดทหารการเมือง มีแต่ทหารอาชีพ ให้กองทัพบกนำทหารที่เข้ามาช่วยเหลือ คสช. กลับเข้ากรมกอง ไม่ต้องมารับใช้รัฐบาลเฉพาะกาล เอาทหารออกจากระบบการเมือง เพื่อไม่ให้มีทหารการเมือง มีแต่ทหารอาชีพที่มีเกียรติ และให้ทหารที่ไปนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจกว่า 40 แห่งยุติการปฏิบัติหน้าที่และลาออกมา ส่วนอดีตทหารที่อยากเป็นนักการเมืองก็สมัครเข้าระบบพรรคการเมืองได้ตามระบบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อสร้างสมดุลทางการเมืองไทยเพราะปัจจุบัน รัฐบาล คสช. พยายามใช้กองทัพเป็นพรรคทหาร เล่นการเมืองอย่างเต็มตัว การใช้กองทัพเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายใน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และนำมาสู่ความขัดแย้งของพลเมืองในปัจจุบัน
8.เร่งสร้างการปรองดองของคนในชาติก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมี แม้เป็นหนึ่งในข้ออ้างในการยึดอำนาจของ คสช. แต่กว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลก็เพิกเฉยไม่ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งข้อเสนอที่ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)”เคยทำการศึกษาและเสนอต่อรัฐบาล ล้วนสามารถนำมาปฏิบัติได้เลย โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองและนักโทษทางความคิดที่ยังติดคุกอยู่และกำลังจะติดคุกด้วยข้อหาทางการเมืองไม่ใช่คดีอาญาฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามหลักการเรื่องการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ควรใช้หลักการความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) และกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อนำไปสู่ความปรองดอง การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการตั้งข้อหาต่อผู้กระทำผิด รัฐสามารถทำได้ทันทีโดยการถอนฟ้องข้อหาทางการเมือง เช่น ข้อหาก่อการร้าย ข้อหาเกี่ยวกับความมั่นคง เป็นต้น และสร้างบรรทัดฐานในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาเป็นหลักประกันทางสังคม
9.รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้โดยการกระจายอำนาจการปกครอง นอกจากการแยกระบบบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เป็นอิสระออกจากกันและถ่วงดุลกันแล้ว การยกเลิกระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคและระบบราชการแบบขึ้นอยู่กับ “กรม” แบบเก่าเป็นเรื่องจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน การเปิดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเป็นโอกาสการพัฒนาของประเทศไทย รวมถึงการกระจายอำนาจตำรวจให้ขึ้นกับจังหวัดด้วย
10.เร่งแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์-บังหลวง และคืนอำนาจให้ประชาชน เนื่องจากรัฐบาล คสช. บริหารราชการแผ่นดินมาจะครบ 4 ปีตามธรรมเนียมการปกครองและประเพณีปฏิบัติตามสมัย จะต้องไม่สืบทอดอำนาจหรือยืดเวลาออกไปอีกต่อไป ปัจจุบันปัญหาการประพฤติมิชอบ ทุจริตคอร์รัปชั่น และการฉ้อราษฎร์-บังหลวง ในระบบราชการและในรัฐบาล คสช. เพิ่มสูงขึ้นมากและมีเรื่องฉ้อฉลออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเอง เช่น การซื้อขายอาวุธของกองทัพ, ทรัพย์สินนอกบัญชีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี การรับเหมาและจัดซื้อจัดจ้างภายในกระทรวงมหาดไทย ในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นต้น การโกงเงินคนจน ขณะที่กลุ่มทุนใหญ่ได้ประโยชน์ในระบบผูกขาดที่ไม่ต้องแข่งขัน งบประมาณของรัฐบาลในโครงการต่างๆ ก็ไม่มีรายละเอียดชัดเจนในการใช้ มีการตั้งงบประมาณแบบเบี้ยหัวแตกกว่า 1.5 แสนล้าน และการตั้งงบลอยบางโครงการหลายหมื่นล้าน และการงดเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ ในหลายโครงการจนมูลค่าการคอร์รัปชั่นน่าจะสูงมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องจัดทำระบบจัดซื้อจัดจ้างและสัญญาต่างๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ยึดอำนาจการปกครองประเทศมาเป็นปีที่ 4 เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมือง สร้างความปรองดองให้ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี และเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกฝ่าย
แต่ผ่านไป 4 ปี รัฐบาลเฉพาะกาลกลับสอบไม่ผ่านในการทำหน้าที่ดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลทหารมีความสามารถในการทำหน้าที่รักษาความสงบได้ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินในระยะยาวได้ หากเป็นรัฐบาลพลเรือนก็สมควรยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ในรัฐบาลเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมควรพิจารณาตัวเองลาออกจากตำแหน่ง ยุติการพยายามสืบทอดอำนาจ และกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ให้ชัดเจน