ในช่วงเปิดเรียนของระดับมหาวิทยาลัยทุกปีเรามักจะได้ยินข่าวการรับน้องของแต่ละที่ที่แสดงออกมาในรูปแบบแฝดคนละฝา กล่าวคือ มีลักษณะที่คล้ายกันแต่จะเรียกวิธีการรับน้องไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าข่าวนั้นมีทั้งที่เป็นกระแสดีและไม่ดีปล่อยออกมาให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการรับน้องรูปแบบหนึ่งก็ได้เป็นข้อถกเถียงไม่จบสิ้นสักที นั่นคือการรับน้องด้วยการใช้ระบบโซตัส ( SOTUS )
เมื่อพูดถึงระบบโซตัสแล้ว บางท่านก็อาจนึกภาพไปว่ามีรุ่นพี่ต่างมายืนว้าก ไซโค หรือบังคับให้รุ่นน้องทำกิจกรรมแปลกประหลาดต่าง ๆ แท้จริงแล้วสิ่งในข้างต้นไม่ใช่กระบวนการแท้จริงของระบบโซตัส หากแต่มันเป็นสิ่งปลูกสร้างจากจินตนาการที่คนแต่ละรุ่นคิดขึ้นมาสำหรับใช้ประกอบการรับน้องโดยอ้างรูปแบบของโซตัสเท่านั้น เช่นนั้นแล้วระบบโซตัสจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการรับน้อง หากแต่ปัจจุบันระบบโซตัสถูกทำให้เหมือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรับน้อง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าระบบโซตัสคืออะไรและมีที่มาอย่างไร
การรับน้องระบบโซตัสในยุคแรกนั้น สันนิษฐานว่าได้นำมา (พัฒนา )จากระบบอาวุโสของโรงเรียนกินนอนในประเทศอังกฤษ (Public School) [i] และได้เข้าสู่ประเทศไทย (ขณะนั้นเรียกว่าสยาม) ราวปี พ.ศ. 2440 อันเป็นช่วงที่ประเทศกำลังเกิดการปฏิรูปโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ( Centralization ) เพื่อให้ประเทศมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ดังนั้นเพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งของประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องใช้การปฏิรูปเพื่อนำไปสู่ความศิวิไลซ์ (Civilization) ระบบอวุโสถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปและถูกใช้ครั้งแรกในสยาม เมื่อมีการก่อตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือน สำหรับผลิตข้าราชการพลเรือนไปปกครองตามหัวเมืองต่าง ๆ และดินแดนอดีตอาณานิคมของสยาม เช่น ล้านนา อีสาน เป็นต้น ภายหลังดินแดนเหล่านั้นถูกรวมเป็นรัฐชาติ ( Nation State ) ในเวลาต่อมา[ii] ในโรงเรียนสำหรับฝึกหัดข้าราชการพลเรือนนี้เองก็ได้มีการตั้งตำแหน่ง “ดรุณาณัติ” ( Fagging System )[iii] โดยจะมีการนำนักเรียนชั้นปีที่สูงกว่า (การใช้ความอวุโสกว่าในการเข้ามาอยู่ก่อน ) ที่มีผลการเรียนและความประพฤติดีมาเป็นผู้ช่วยครู เพื่อช่วยอบรมสั่งสอนและดูแลคณะนักเรียนชั้นปีอื่น ๆ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกคนเหล่านี้ว่า Fag – master หรือ Perfect
การมี Fag – master คือ การรวมอำนาจการตัดสินใจ การจัดการบางอย่างไว้ที่คน ๆ เดียว อันมาจากการแต่งตั้งของครูหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความมีเสถียรภาพในการจัดการด้านต่าง ๆ นั่นหมายความว่า บุคคลอื่นก็มีความจำเป็นที่จะต้องเคารพบุคคลนั้นด้วย การกระทำในลักษณะนี้ค่อนข้างสอดคล้องกับแนวคิดเจ้าอาณานิคม (Colonialism)[iv] โดยมีครู อาจารย์เป็นเจ้าอาณานิคมที่มีอำนาจเด็ดขาดแท้จริงและได้ใช้กลไกอำนาจนั้นผ่านตัวแทนนักเรียนที่จะไปคอยสอดส่องพฤติกรรมนักเรียนคนอื่น ดังนั้นเองการก่อตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือนจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ใช้อำนาจ (สยาม) เพื่อไปคอยสอดส่องดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โรงเรียนสำหรับฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือนปัจจุบันกลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและได้รับเอาวัฒนธรรมอวุโสแบบอังกฤษเข้าผสมกับวัฒนธรรมอวุโสแบบไทยจนกลายเป็นระบบโซตัสที่เรารู้จักในปัจจุบัน
คำว่าโซตัส ( SOTUS ) ประกอบไปด้วยคำว่า Seniority หมายถึง การเคารพความอวุโสซึ่งไม่ได้หมายถึงความอวุโสจากอายุเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงความอวุโสในตำแหน่งการเข้ามาอยู่ในองค์กรนั้น ๆ ก่อนด้วย แน่นอนว่าหัวใจของระบบโซตัสคือความอวุโสนี่เองและจะนำไปสู่ด้านอื่นต่อไป คำต่อมาคือ Order หมายถึง ความมีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม เนื่องจากว่าการที่คนหมู่มากมาอยู่รวมกันนั้นจะมีความแตกต่างกันอยู่มากน้อย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างกฎเกณฑ์เพื่อรักษาความเรียบร้อยต่อไป, Tradition หมายถึง การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอันดีที่คนแต่ละยุคร่วมสร้างกันมาเพื่อสืบทอดให้ประเพณีนั้นอยู่ยั่งยืนต่อไป แต่ก็แน่นอนว่าคำว่าประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่คนในแต่ละยุคมีฐานคิดฐานมองที่แตกต่างกัน เมื่อบริบททางสังคมเปลี่ยนไปฐานคิดฐานมองก็อาจเปลี่ยนตาม ส่งผลให้ประเพณีบางอย่างต้องปรับตัวตามเช่นกัน, Unity หมายถึง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สมานสามัคคีของคนในสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สามารถดำรงอยู่ต่อไป และสุดท้ายคือ Spirit หมายถึง ความเสียสละ ความมีน้ำใจ
จากความหมายในข้างต้นก็มิอาจจะเห็นได้ว่าระบบนี้มันดีหรือมันเลวอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาหนึ่งระบบนี้ได้ถูกยกย่องว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกระทั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ยึดถือเป็นคำขวัญประจำสถาบัน และถ่ายทอดอุดมการณ์ดังกล่าวผ่านบทเพลง “เกียรติภูมิจุฬาฯ” [v] ผู้เขียนก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าไม่มีระบบใดที่เลวที่สุดและก็ไม่มีระบบใดที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าเราต้องหาระบบที่เหมาะสมกับช่วงของบริบทดังกล่าวได้อย่างลงตัวที่สุด คำถามก็จะมีต่อไปอีกว่า “แล้วระบบที่ใช้ในการรับน้องอย่างไรที่เรียกว่าเหมาะสม” (หากยังยืนกรานที่จะจัดกิจกรรมรับน้องใหม่) ผู้เขียนคงให้คำตอบแบบชัดเจนไม่ได้ ซึ่งอาจจะหมายถึงระบบที่เมื่อใช้แล้วเกิดความสบายกาย สบายใจแต่ทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ต่อไป
ระบบโซตัสเริ่มมีการว้ากเข้ามาเป็นส่วนประกอบเมื่อใด
อย่างที่รู้กันว่าระบบโซตัสได้เกิดครั้งแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่กระบวนการว้ากไม่ได้เกิดขณะนั้น หากแต่การว้ากได้เกิดในยุคที่ 2 ของระบบโซตัสโดยโรงเรียนป่าไม้แพร่ทางภาคเหนือ[vi] กล่าวคือ เมื่อเริ่มตั้งสถาบันการศึกษาในยุคบุกเบิก ผู้นำได้มุ่งเน้นสร้างวิชาการและครู อาจารย์โดยมีการส่งนักเรียนไปศึกษาที่ต่างประเทศ แน่นอนว่านักเรียนไทยที่จบจากต่างประเทศไม่ได้รับเอาความรู้มาเท่านั้น หากแต่ยังรับเอาประเพณี วัฒนธรรมบางอย่างกลับมาด้วย สันนิษฐานว่านักเรียนที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นฉบับของการว้ากและกิจกรรมรุนแรง เช่น การคลุกโคลน ปืนเสา เป็นต้น[vii] เป็นผู้รับเอาวัฒนธรรมการว้ากมาใช้ในโรงเรียนป่าไม้แพร่ (ในฐานะบุคลากร) ซึ่งภายหลังก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบัน การนำวิถีการว้ากมาผสมกับระบบโซตัสที่ก่อตั้งโดยจุฬาฯ ส่งผลให้ระบบโซตัสในยุคที่ 2 นี้ถูกปรับโฉมใหม่ให้มีความรุนแรงมากขึ้น การตีความของความหมายเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยให้ค่ากับการกดดันรุ่นน้องอันจะมีการอ้างว่าเพื่อเป็นการละลายพฤติกรรม ลดความแตกต่าง และสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นแก่นักศึกษาใหม่ จะเห็นว่าการเกิดขึ้นของกิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรเฉกเช่นเดียวกับระบบโซตัสในยุคแรก การสร้างความอุปถัมภ์โดยใช้ระบบโซตัสกับการกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) ในเรื่องของการเคารพอวุโสกว่า (ในที่นี้ยังรวมถึงการเข้ามาศึกษาก่อน)โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลของการเคารพ ซึ่งจะเห็นจากการสร้างคุณค่าแก่ผู้อวุโสผ่านวรรณกรรม คำพังเพย เช่น เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด อาบน้ำร้อนมาก่อน เป็นต้น ที่ถืออ้างกันมา ประกอบกับสภาพสังคมที่ยังไม่ตื่นตัวในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ จึงเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่จะทำให้คนเชื่องต่อระบบได้ง่าย และในยุคนี้เองที่สร้างภาพจำว่าเมื่อพูดถึงระบบโซตัสจะต้องนึกถึงการว้ากด้วย
การรับน้องด้วยระบบโซตัสที่มีการว้ากเข้ามาเป็นตัวชูโลงนี้ไม่สามารถอยู่ได้ยั่งยืนได้นานนัก เมื่อภายหลัง พ.ศ. 2512 กระแสของความเป็นประชาธิปไตยเริ่มจะขยายวงกว้างแก่หมู่นักศึกษามากขึ้น อันนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับการรับน้องและความรุนแรงในการรับน้อง ต่อมาการรับน้องภายใต้ระบบโซตัสจึงสั่นคลอนกระทั่งเลือนหายไปในช่วงหนึ่ง มากไปกว่านั้นการหลั่งไหลของแนวคิดประชาธิปไตยยังทำให้คนตระหนักในสิทธิเสรีภาพมากขึ้นจนสามารถตั้งคำถามกับรัฐบาลซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องของนักศึกษา เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมีการปลุกกระแสต่อนักศึกษาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์และมีวาทกรรมต่าง ๆ ออกมามากมาย ผลสุดท้ายคือเกิดการปราบนักศึกษาครั้งใหญ่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ด้วยเหตุนี้รัฐอาจกังวลต่อความมั่งคงทางสถาบันจึงมีการนำระบบการรับน้องด้วยโซตัสแบบมีการว้ากเข้ามาใช้อีกครั้ง เพื่อสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้นักศึกษาอยู่ในกรอบและสืบเนื่องเรื่อยมา[viii]
จากประวัติศาสตร์ของระบบโซตัสที่ถูกสร้างครั้งแรกนับว่าเปลี่ยนแปลงไปมากหากเทียบกับปัจจุบัน เนื่องจากมีการนำกระบวนการอื่น ๆ มาร่วมกับตัวระบบตามที่คนแต่ละยุคสมัยจะคิดขึ้นมาได้ เช่นนั้นแล้วระบบโซตัสจึงอาจถือว่าเป็นประดิษฐกรรมทางความคิดและวัฒนธรรมที่คนแต่ละรุ่นรับเอาบริบทต่าง ๆ เข้ามาเสริมเติมแต่ง แต่ไม่ว่าระบบโซตัสจะถูกเปลี่ยนไปมากเท่าใดก็ยังคงมีการตีความระบบที่คล้าย ๆ กันอยู่ คือ อวุโส ระเบียบวินัย ประเพณี สามัคคี มีน้ำใจ อันเป็นความหมายของคำว่าโซตัสแต่แรกเริ่ม ผู้เขียนมุ่งเน้นให้เห็นคือรากเหง้าเดิมของระบบโซตัสนั้นเคยเป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งในเวลาต่อมาระบบโซตัสนี้ได้เป็นเครื่องมือของรัฐที่ใช้ในการควบคุมคนในพื้นที่การศึกษา อีกกประการหนึ่งคือตำแหน่งดรุณาณัติ หรือ Fag-master ก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปแต่เดิมที่มีการแต่งตั้งจากครูอาจารย์ ก็กลายเป็นว่ามีการเลือกกันเองจากกลุ่มนักเรียน(นักศึกษา)โดยถูกเรียกใหม่ว่า “ประธานปกครองหรือพี่วินัย” ซึ่งตำแหน่งประธานปกครองหรือพี่วินัยนี้ก็ยังคงเป็นเครื่องมือของอาจารย์ที่เป็นผู้ใช้กลไกทางอำนาจผ่านตัวแทนสำหรับคอยสอดส่องดูแลนักเรียนใหม่(นักศึกษาใหม่) แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าการอุปถัมภ์ต่อระบบก็ยังคงเป็นบุคคลากรอยู่ดี และแม้ว่าในปัจจุบันหลายสถาบันได้มีการรับน้องด้วยระบบโซตัสที่มีการว้ากออกไปแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ประกาศตัวเองว่ารับน้องด้วยระบบโซตัสนั้นก็ยังยืนยันว่าไม่มีความรุนแรง แต่ระบบโซตัสก็ยังคงเปลี่ยนรูปร่างเพื่อให้เหมาะสมกับบริบททางสังคมขณะนั้นอยู่ดีซึ่งคนเราหรือแม้กระทั่งผู้ดำเนินกิจกรรมยากที่จะมองเห็น ระบบโซตัสในปัจจุบันจึงค่อนข้างถูกท้าทายจากคนรุ่นใหม่พอสมควรด้วยว่าคนเหล่านั้นมีภาพจำของการว้ากเป็นองค์ประกอบ มากไปกว่านั้นยังมีกระบวนการอื่นเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ เช่น การไซโค การสันทนาการ การร้องเพลง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของโซตัสในปัจจุบันและซ่อนตัวเองเพื่อทำให้คนรู้สึกไปว่าตัวเองปราศจากจากอำนาจใด ๆ
หากจะถามผู้เขียนแล้วว่าระบบโซตัสจะสามารถล้มหายตายจากประเทศหรือไม่ ก็คงตอบอย่างไม่ลังเลว่าคงไม่หายไป เพียงแต่ว่าระบบโซตัสนี้จะทำการ (หรือถูกทำ) เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เกิดความเหมาะสมขึ้น (การรับน้องสร้างสรรค์) เพราะอย่าลืมว่าหัวใจหลักของโซตัสมันอยู่ที่คำว่า “อวุโส” แค่คำนี้คำเดียวก็สามารถสร้างความหมายอื่นตามมาได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนั้นแล้วการรับน้องด้วยระบบโซตัส(ทั้งมีว้ากและไม่มี) จึงค่อนข้างหาการแก้ไขได้ยาก ผู้เขียนก็คงเสนอได้แค่ว่าควรเป็นกิจกรรมที่ให้รุ่นน้องเข้าร่วมอย่างสมัครใจและการจัดกิจกรรมควรเป็นเหตุเป็นผลหรือถ้าหักดิบกว่านั้นก็คือการยกเลิกการรับน้องทุกรูปแบบ
หลักสำคัญของความรุนแรงในการรับน้องปัจจุบันไม่ใช่ระบบโซตัส เพราะโซตัสเป็นนามธรรม แต่ตัววิธีการที่เอามาใช้กับระบบเป็นสิ่งที่เราควรสนใจมากกว่า เฉกเช่นมีดที่วางอยู่เฉย ๆ ก็ทำอะไรใครไม่ได้ หากเรานำมีดไปฆ่าคน ความผิดนั้นก็ไม่ได้ตกอยู่ที่มีด ระบบก็เช่นเดียวกันถ้ามันอยู่เฉย ๆ มันก็ทำร้ายใครไม่ได้
เอกสารอ้างอิง
ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง. (2548). ความเป็นมาของระบบโซตัส. ประชาไทย. ที่มา: https://prachatai.com/journal/2005/06/4297
ลักขณา คำปัน. (คลิปวิดีโอ). (2556). รายการคิดเล่นเห็นต่างกับ คำ ผกา. ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=T_EfBnmSEeg
ลักขณา คำปัน. (คลิปวิดีโอ). (2556). รายการคิดเล่นเห็นต่างกับ คำ ผกา(2). ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=VAgK9iyUxr8
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. (2560). SOTUS ความรุนแรง หรือ ฝึกวินัย? ความเป็นไทยหรือลอกฝรั่ง?. THE MATTER. ที่มา: https://thematter.co/thinkers/sotus-thai-or-not-ja/6208
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. “รับน้อง-ว้ากน้อง.” โลกวันนี้ 575 (30 กรกฎาคม-5 สิงหาคม 2559) : 7
[i] ลักขณา ปันวิชัย, รายการคิดเล่นเห็นต่างกับ คำกา , ที่มา:
[ii] ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง, ความเป็นมาของระบบโซตัส, ประชาไทย
[iii] ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ, sotus ความรุนแรง หรือ ฝึกวินัย? ความเป็นไทยหรือลอกฝรั่ง?, The Matter
[iv] ลักขณา ปันวิชัย, รายการคิดเล่นเห็นต่างกับคำ ผกา (2), ที่มา:
[v] ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ, sotus ความรุนแรง หรือ ฝึกวินัย? ความเป็นไทยหรือลอกฝรั่ง?, The Matter
[vi] ลักขณา ปันวิชัย, รายการคิดเล่นเห็นต่างกับ คำกา , ที่มา:
[vii] ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ, sotus ความรุนแรง หรือ ฝึกวินัย? ความเป็นไทยหรือลอกฝรั่ง?, The Matter
[viii] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, “รับน้อง-ว้ากน้อง,” โลกวันนี้ 575 (30 กรกฎาคม-5 สิงหาคม 2559) : 7
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)