คุยกับมาริโอ แบรนเดนเบิร์ก ส.ส. ฝ่ายค้านรัฐสภาเยอรมนี อดีตคนทำงานไอทีในเรื่องกฎหมายให้อำนาจ-หน้าที่เจ้าของแพลตฟอร์มลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายภายใน 24 ชม. ที่บังคับใช้ในเยอรมนีแล้ว 2 ปี พบปัญหาอย่างไรกับการกำกับเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตลักษณะนั้น ระบุ รัฐต้องโปร่งใส จับมือประชาสังคม ต้องให้แพลตฟอร์มส่งรายงาน-ช่องทางสื่อสาร
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้มีความเคลื่อนไหวของเฟสบุ๊คที่สะเทือนมายังไทยสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. มีการบล็อกโพสท์เกี่ยวกับบันทึกของสัญญา ธรรมศักดิ์ โพสท์โดยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้โพสท์ไม่สามารถเข้าถึงได้ในประเทศไทย จากการตรวจสอบ สมศักดิ์ไม่ได้รับจดหมายชี้แจงเหมือนครั้งที่โดนบล็อกในลักษณะเดียวกันเมื่อ 4 พ.ค. 2560 ที่มีจดหมายแจ้งจากเฟสบุ๊คขอจำกัดการเข้าถึงโพสท์ โดยอ้างหมายศาลระบุว่า โพสท์ดังกล่าวละเมิดมาตรา 14 (3) แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
เรื่องที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 25 ก.ค. เมื่อเฟสบุ๊คลบ 22 บัญชี และ 10 เพจในไทยภายใต้ปฏิบัติการจัดการเครือข่ายเพจปลอมกว่า 1,800 บัญชีในไทย รัสเซีย ยูเครนและฮอนดูรัส โดยมีตัวอย่างคือ New Eastern Outlook (NEO) และ The New Atlas และบัญชี Tony Cartalucci (โทนี่ คาตาลุชชี่) บัญชีเฟสบุ๊คที่วิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยไทยมานาน
ทางเฟสบุ๊คให้เหตุผลในกรณีของไทยว่ามีการใช้ตัวตนปลอม “fictitious personas” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ การประท้วงในฮ่องกงและการวิพากษ์วิจารณ์นักกิจกรรมประชาธิปไตยในไทย โดยพบความเชื่อมโยงกับสื่อที่รัสเซียให้การสนับสนุนและเป็นพื้นที่เผยแพร่เนื้อหาที่ผลิตโดยโทนี่ คาตาลุชชี่ ในทางตัวเลข มีการปิด 12 บัญชี 10 เพจ มีผู้ติดตามประมาณ 38,000 บัญชีที่ติดตามเพจเหล่านั้นหนึ่งเพจหรือมากกว่า และเพจมีการซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊คไปรวม 18,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“เราสามารถระบุตัวได้โดยสรุปว่าเครือข่ายดังกล่าวมีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับปัจเจกบุคคลที่มีฐานปฏิบัติการในไทย เชื่อมโยงไปถึงสื่อที่รัฐบาลมอสโกให้การสนับสนุนชื่อ New Eastern Outlook” แนธาเนียล กลีเชอร์ หัวหน้าด้านนโยบายความมั่นคงไซเบอร์กล่าวกับรอยเตอร์
สิ่งที่ต้องคำนึงจากการกระหน่ำบล็อกช่วงนี้คือการขาดกลไกการตรวจทานความเหมาะสมของมาตรการของเฟสบุ๊ค เราจะปล่อยให้การดำเนินการของเฟสบุ๊คเป็นไปตามกระแสเศรษฐกิจ-การเมืองโลกและกฎหมายท้องถิ่นเพียงเท่านั้นจริงหรือ ผู้ใช้งานชาวไทย รัฐบาล ประชาสังคมไทยมีส่วนอะไรกับการบอกให้เนื้อหาแบบไหนอยู่หรือไปบนเฟสบุ๊คหรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้บ้าง
ประเทศพัฒนาแล้วอย่างเยอรมนีก็มีกระแสความกังวลลักษณะนี้ เมื่อมีการผ่านกฎหมาย Network Enforcement Act มอบหน้าที่และอำนาจให้โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มจัดการเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง หมิ่นประมาท ปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงหรือมีความผิดตามรัฐธรรมนูญหลังจากมีการตรวจพบและร้องเรียน 24 ชั่วโมง หากทำไม่ได้ จะมีโทษปรับ 5 ล้านถึง 50 ล้านยูโร กฎหมายผ่านรัฐสภาเมื่อ ก.ค. 2560 ในครึ่งปีแรกของปี 2562 มีผู้ร้องเรียนเนื้อหาในยูทูปไปราว 3 แสนกรณี มีการลบหรือบล็อกการเข้าถึงเนื้อหาไปราว 71,000 กรณี ในขณะที่บนเฟสบุ๊คมีการรายงานไป 674 กรณี ลบหรือบล็อกการเข้าถึงทั้งสิ้น 349 กรณี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีการปลอมแปลงตัวตน ปลอมแปลงข้อมูลบนโลกโซเชียลอย่างแพร่หลายและจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการจัดการกับมัน แต่ปัญหาคือ “ทำอย่างไร” ประชาไทคุยกับมาริโอ แบรนเดนเบิร์ก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายค้านของรัฐสภาเยอรมัน (Bundestag) ผู้เป็นอดีตคนทำงานในแวดวงไอทีมาก่อน ถึงปัญหาและบทเรียนของกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งแนวทางที่ควรจะเป็นเมื่อพูดถึงการจัดการเนื้อหาบนโลกอินเทอร์เน็ต
ประชาไท: รัฐควรจะจัดการกับข้อมูลปลอมบนโลกโซเชียลอย่างไร
มาริโอ แบรนเดนเบิร์ก
มาริโอ: แนวทางที่ดีที่สุดคือหลักความโปร่งใสและฐานข้อมูลแบบเปิด (โอเพ่นดาต้า) ถ้าข้อเท็จจริงนั้นมีอยู่ 10 ส่วน แต่คำโกหกมีแค่ส่วนเดียว ทุกคนก็จะสามารถหาข้อเท็จจริงได้อยู่แล้วโดยที่รัฐบาลไม่ต้องไปมีปฏิสัมพันธ์อะไร
(ควรจะ) ร่วมมือกับเอ็นจีโอหรือองค์กรที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอันใดก็ได้ อย่าไปกลัวการเป็นที่เปิดเผย ผู้คนเหล่านั้นเขาทำเพื่อประโยชน์ของรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลก็ควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ท้ายสุด ถ้าคุณจำเป็นจะต้องออกกฎหมายเพราะเจ้าของแพลตฟอร์มไม่มีการตอบรับหรือไม่ได้ให้อะไร คุณควรจำเอาไว้ว่า โดยพื้นฐานแล้วเป็นหน้าที่ของพวกเขา (เจ้าของแพลตฟอร์ม) ที่จะต้องช่วยเหลือ แม้ว่าเขาจะพูดว่าเป็นเพียงผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แต่ถ้าพูดกันด้วยความสัตย์แล้ว แพลตฟอร์มเหล่านั้นเป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหาขนาดใหญ่ในสังคม นั่นเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องถามหาบุคคล (จากแพลตฟอร์ม) ที่จะสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าความเท็จมันอยู่ข้างนอกนั้น ความเร็วในการตอบสนองต่อข้อเท็จจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง ถ้าจะมีกฎหมายอย่าง Network Enforcement Act
ในด้านดีก็คือมันบังคับให้บริษัทออกรายงานเพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อมูลและบุคคลที่สามารถติดต่อได้ แต่ด้านอันตรายของกฎหมายนี้ ในมุมของเสรีนิยมก็คือเรื่องเสรีภาพในการพูด ถึงจุดหนึ่ง กฎหมาย Network Enforcement Act ของเราคือการมอบอำนาจและความรับผิดชอบ (outsource) ให้กับบริษัทเอกชนและตัวอัลกอริธึม (บริษัท) มีเวลา 24 ชั่วโมงในการตอบสนอง แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรในกรณีที่มันพิสูจน์ยาก ถ้ามันเป็นมุกตลกล่ะ หรือถ้ามันเป็นมุกตลกเกี่ยวกับศาสนาล่ะ คนในเฟสบุ๊คที่นั่งอยู่ในศูนย์ข้อมูลที่ห่างไกลจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนั้นๆ เป็นที่ยอมรับในเยอรมนีได้หรือไม่
ถึงจุดหนึ่ง การถ่ายโอนระบบกฎหมายออกไปนั้นมีความอันตรายที่จะนำไปสู่การปิดกั้นเนื้อหามากจนเกินไป (Overblocking) และนั่นไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าคุณพูดบางอย่างที่ถูกต้องออกไปแต่มีคนบางกลุ่มที่ไม่อยากให้คุณพูดมัน ถ้าคุณมีสวิตช์ที่จะปิดทุกอย่างแล้วก็โยนความผิดไปให้กับอัลกอริธึม นั่นถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาธิปไตยแล้ว เมื่อจะผ่านกฎหมายนี้คุณต้องชัดเจนอยู่เสมอว่ามันไม่ทรงอำนาจจนเกินไปจนกลายเป็นการเซ็นเซอร์
กรณีเยอรมนี มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างไร
เราได้รับรายงานจากเฟสบุ๊ค จนถึงตอนนี้ (17 มิ.ย. 2562 วันที่ทำการสัมภาษณ์) ก็ได้มาสองเล่มแล้ว เรากำลังตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิด และเนื่องจากผมมาจากพรรคฝ่ายค้าน พวกเรากำลังพยายามหากรณีที่บ่งชี้ว่าเป็นการปิดกั้นเนื้อหามากเกินไปจนใกล้จะเป็นการเซ็นเซอร์ พวกเราพบปัญหาในทวิตเตอร์ในช่วงการเลือกตั้งสภาอียู ที่มีชุมชนชาวยิวตอบสนองกับทวีตของกลุ่มฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) และด้วยเหตุผลประการหนึ่ง ทวิตเตอร์และอัลกอริธึมได้บล็อกคอมเมนท์ของกลุ่มชาวยิว ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่ผิดอย่างชัดเจน จึงได้มีการให้ทวิตเตอร์มาชี้แจงต่อรัฐสภา และพบว่ากรณีดังกล่าวถูกส่งต่อให้กับศูนย์ข้อมูลที่ตั้งอยู่ในอินเดีย
ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องมีการทบทวนกฎหมายนี้ในส่วนต่างๆ เพราะว่าเราพบกับการปิดกั้นเนื้อหามากเกินไป เราไม่สามารถทำให้มัน (การปิดกั้นจนเกินไป) จบลง แต่อย่างน้อยการบังคับให้เฟสบุ๊คส่งรายงานให้เรา เพื่อที่อย่างน้อยเราจะได้ดูว่ามีปัญหาในระดับที่ช่วยเหลือเราได้หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ผมเองก็พูดกับประเทศอื่นๆ ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากฎหมายดีหรือไม่ หากเราไม่มีข้อมูล
ส่วนที่สำคัญคือการแก้ไขสิ่งที่ผิดในวิธีการที่ถูกต้อง อาจเป็นวิธีการพบเห็นและแจ้งเตือน หรือการพบเห็นแล้วก็กำจัด แต่ที่จำเป็นคือห้วงเวลาระหว่างการตอบสนองระหว่างฝั่งผู้ใช้งานและแพลตฟอร์ม บางครั้งคุณไม่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูก หรืออะไรที่ถูกในประเทศหนึ่ง แต่ผิดในประเทศหนึ่ง ดังนั้นจะต้องมีข้อมูลให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อใช้ในการยืนยัน
ตราบใดที่มัน (ข้อมูลปลอม) ยังอยู่บนนั้น มันอาจใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงในการที่ใครสักคนจะมาพบมัน กว่าจะมีใครที่ศูนย์ข้อมูลทราบเรื่องก็เสียเวลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วคุณจะไปพิสูจนได้อย่างไรว่ามันเป็นการหลอกลวง ผมกำลังพูดถึงดีปเฟค (การใช้ปัญญาประดิษฐ์ตัดต่อเสียงพูดและภาพที่สมจริง) หรือวิดิโอที่ตัดต่อล่ะ คุณจะไปพิสูจน์ได้อย่างไรในเวลา 24 ชม. ในมุมแบบนี้มันก็ลำบากเกินไป
รัฐบาลเยอรมันกังวลกับข้อมูลเท็จแค่ไหน
ก็มีความกังวลอยู่ แต่หลังจากการเลือกตั้งสภาสหภาพยุโรป (อียู) เสร็จสิ้นโดยไม่มีการแทรกแซงใหญ่ๆ จากรัสเซียหรือประเทศอื่น มันก็มีแสงที่ปลายอุโมงค์ เราไม่พบความเคลื่อนไหวของข้อมูลเท็จระหว่างการหาเสียงของสภาอียูและการเลือกตั้งในเยอรมนีที่ผ่านมา ในช่วงที่มีความอ่อนไหวในเรื่องผู้ลี้ภัยก็มีปัญหาเรื่องข่าวปลอมอยู่ แต่ว่าตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้ว เพราะส่วนหนึ่งผู้คนก็พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
OOOOOOOOOO
แนวทางที่รัฐไทยกำลังเข้าหาโซเชียลมีเดียระดับโลกในวันนี้เป็นอย่างไร ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับประชาชนหรือไม่ ประชาสังคมมีส่วนร่วมแค่ไหนในการเข้าใจและตรวจสอบพฤติกรรมบริษัทเอกชนที่ทุกวันนี้เราใช้เวลาไปกับมันในแต่ละวันเยอะเหลือเกิน คำถามเหล่านี้ต้องมีคำตอบเร็ววัน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)