แต่งตั้ง​ พ.ต.ท.กรวัชร์​ ปานประภากร​ เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังจากก่อนหน้านี้ถูกโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เผยประวัติเคยทำคดีสำคัญตั้งแต่จับกำนันเป๊าะ คดีฆ่าแกนนำต้านบ่อขยะราชาเทวะ บุกวัดพระธรรมกาย ฯลฯ จนถึงคดีบังคับสูญหาย "บิลลี่" พอละจี รักจงเจริญ ผู้นำชุมชนกะเหรี่ยงเพชรบุรี ก่อนเปิดเผยหลักฐานสำคัญถังน้ำมันบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน

แฟ้มภาพ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร แถลงความคืบหน้าคดี บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ภาพเผยแพร่เมื่อ 3 กันยายนปี 2562 (ที่มา: Facebook/Banrasdr Photo) 

วานนี้ (28 เม.ย.) ในรายงานของข่าวสดออนไลน์ สมศักดิ์​ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำวันที่​ 28 เมษายน​ 2563 ยังคงเป็นการประชุมแบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ประชุมมีมติ แต่งตั้ง​ พ.ต.ท.กรวัชร์​ ปานประภากร​ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

โดยก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ​ ทำหนังสือขอลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 63 เพื่อดูแลสุขภาพ ต่อมาวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งอนุญาต ให้พ.ต.อ.ไพสิฐ ลาออกจากราชการตามที่ยื่นคำขอ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2562 คณะรัฐมนตรีเคยมีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงยุติธรรม 4 ราย ได้แก่ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อายุตม์ สินธพพันธุ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พยนต์ สินธุนาวา รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และมณฑล แก้วเก่า รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม

มติ ครม. ดังกล่าว เป็นมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 63 ในรายงานของกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า พ.ต.ท.กรวัชร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กลับมารักษาราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ป่วยจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้มานานกว่า 1 เดือน โดย พ.ต.อ.ไพสิฐ โทรศัพท์มาพูดคุยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมว่า อยากให้ตั้งรักษาราชการแทน เพราะอาจต้องลาราชการเข้ารับการผ่าตัดและรักษาพยาบาลนานกว่า 1 เดือน จนกระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรี 28 เม.ย. 63 แต่งตั้ง พ.ต.ท.กรวัชร์ เป็นอธิบดีดีเอสไอดังกล่าว

พ.ต.ท.กรวัชร์ จาก "จับกำนันเป๊าะ" ถึง "คดีบิลลี่"

ทั้งนี้ พ.ต.ท.กรวัชร์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชุดคลี่คลายคดีกรณีพอละจี รักจงเจริญหรือบิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ที่หายตัวไปเมื่อปี 2557 ต่อมา ดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แถลงเมื่อ 3 ก.ย. 2562 ว่าได้พบหลักฐานที่เป็นโครงกระดูกในถังแกลลอนที่เขื่อนแก่งกระจาน เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นกระดูกและชิ้นส่วนของบิลลี่

สำหรับประวัติ พ.ต.ท.กรวัชร์ เกิดวันที่ 9 มี.ค. 2504 จบการศึกษารัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สำหรับคดีสำคัญที่เคยรับผิดชอบเมื่อรับราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การจับกุมสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ, รื้อฟื้นคดีการฆาตกรรมนายห้างทอง ธรรมะวัฒนะ, คดีการฆาตกรรมแกนนำต่อต้านการสร้างบ่อขยะราชาเทวะ ฯลฯ

เมื่อรับราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นคณะพนักงานสอบสวน และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนหลายกรณี รวมทั้ง ขบวนการบุกรุกพื้นที่ อ.กะปง จ.พังงา ที่พัวพันกับนายวัฒนา อัศวเหม รวมทั้งในช่วงประกาศใช้ ม.44 บุกตรวจค้นวัดพระธรรมกายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ถึงมีนาคมปี 60 และล่าสุด เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรณีอุ้มหาย "บิลลี่" พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปตั้งแต่ 17 เม.ย. 57 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

หลังจากภรรยาและเครือข่ายยื่นคำร้องต่อหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งดีเอสไอ จนกระทั่งวันที่ 28 มิ.ย. 61 ดีเอสไอรับคดีอุ้มหาย "บิลลี่" เป็นคดีพิเศษ และเริ่มสอบสวนหาหลักฐาน จนในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 62 ดีเอสไอร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำ รวมถึงนักประดาน้ำตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี จนพบหลักฐานสำคัญคือถัง 200 ลิตรและซากกระดูกมนุษย์

และวันที่ 3 ก.ย. 63 พ.ต.ท.กรวัชร์ แถลงพบหลักฐานสำคัญ คือพบกระดูกและชิ้นส่วนมนุษย์ที่สะพานใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานโดยพิสูจน์แล้วยืนยันว่าเป็นของ "บิลลี่"

อย่างไรก็ตามเมื่อ 27 ม.ค. 63 สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) ปัตตานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกอีก 3 คน ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ

โดยให้เหตุผลว่า หลักฐานของดีเอสไอที่เป็นการตรวจพิสูจน์กระดูกซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลางด้วยวิธี "ไมโทรคอนเดรีย" เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น โดยการตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่ากระดูกของกลางที่พบเป็นของบุคคลใด