Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

จักรวรรดิโรมัน จับพระเยซูตรึงกางเขน และเข่นฆ่าสังหารคนยิวที่นับถือศาสนาคริสต์ เพราะหวังว่าจะขจัดภัยคุกคามความมั่นคงของจักรวรรดิ แต่ท้ายที่สุดในอีกสามร้อยปีต่อมา จักรพรรดิคอนแสตนติน ประกาศให้ ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย พระองค์ถึงกับยอมรับว่า ตัวเองนับถือศาสนาคริสต์ 
ชนเผ่าอนารยชน เข้ายึดครองอาณาจักรโรมันในอีกร้อยกว่าปีต่อมา ท่ามกลางความศรัทธาของประชาชนชาวโรมต่อศาสนาคริสต์ การยึดครองและการกลายเป็นชาวคริสเตียน พร้อมรับมรดกการจัดระเบียบของสังคมจากโรม ทำให้ศาสนาคริสต์หยั่งรากลึก และแผ่อิทธิพลไปทั่วทวีปยุโรป เป็นเวลากว่าพันปี โดยไม่มีความเชื่อแบบไหนที่กล้าท้าทายศาสนาจักร

ศัตรูที่สำคัญของศาสนจักร คือความเชื่อของชาวกรีกโบราณที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติของมนุษย์ มากกว่าความเชื่อในพระเจ้า การทำลายล้างความรู้ทางปรัชญา วิทยาศาสตร์ สถาบันการศึกษา ตลอดจนการหลอมรวมความคิดแบบมนุษยนิยมของชาวกรีกให้เป็นส่วนหนึ่งของคำอธิบายในการตีความพระคัมภีรไบเบิล ทำให้ผู้คนรุ่นหลัง เรียกขานยุคนี้ว่า “ยุคมืด”

ศาสนจักรครองอำนาจ ด้วยการกดขี่และเข่นฆ่าสังหารผู้คนที่คิดเห็นแตกต่าง ผูกขาดความเชื่ออย่างเข้มงวด ใช้วิธีการที่สยดสยองถึงขีดสุด เพื่อสร้างความหวาดกลัว ร่วมมือกับชนชั้นนำในแต่ละภูมิภาค ขูดรีดและสร้างระบบฟิวดัล เพื่อเป็นกลไกในการควบคุม และการจัดระเบียบของสังคมตามลำดับชั้นอย่างเข้มข้น และในที่สุด ก็ทำสงครามครั้งใหญ่ที่ยาวนานกับชนเผ่าที่นับถือศาสนาอิสลาม ในสงครามครูเสด สงครามกินเวลากว่าสามร้อยปี และส่งผลต่อความล่มสลายของ “ยุคมืด” ในเวลาต่อมา

การผจญภัยของชาวยุโรปในสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กับคนที่อยู่ในประเทศแถบตะวันออกกลาง คนยุโรปเหล่านี้พบว่า ความรู้และปรัชญาแบบมนุษยนิยมของชาวกรีก เจริญเติบโตงอกงาม ในดินแดนที่อยู่พ้นจากการครอบงำของศาสนคริสต์ โดยเฉพาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เจริญก้าวหน้ากว่าดินแดนของตนเอง ชาวยุโรปเหล่านี้ ติดต่อ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนสินค้า กับชาวอาหรับ ชาวเปอรเชีย และผู้คนในดินแดนที่พวกเขาเข้าไปรุกราน การแต่งงาน การตั้งถิ่นฐาน การอพยพ ข้ามไปมา ในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมกับประชากรและเมืองในยุโรปที่ขยายตัวทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นเมืองท่า เมืองพานิชยกรรม ที่เริ่มมีชนชั้นกลาง ที่มีฐานะมารวมกลุ่มกันเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเริ่มมีความฝันในการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ความคิดแบบมนุษยนิยมที่ค่อยๆ แพร่ขยายในชุมชนค้าขายเหล่านี้ ดำเนินไปโดยที่ศาสนจักรในยุโรป ไม่ทันสังเกตเห็น

ในที่สุด ประดิษฐกรรมชิ้นใหม่โดยนักประดิษฐ์มือสมัครเล่น ก็พลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลก กูเทนเบิร์ก ช่างทองชาวเยอรมัน ค้นพบวิธีการพิมพ์หนังสือในปี ค.ศ.1439 หนึ่งในหนังสือที่ตีพิมพ์เผยแพร่ และขายดี จนทำให้ กูเทนเบิร์กกลายเป็นมหาเศรษฐี คือ คัมภีร์ไบเบิล ก่อนหน้าที่จะมีการตีพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลฉบับกูเทนเบิรก์ ศาสนาจักรเป็นผู้ผูกขาดความรู้และการตีความพระคัมภีร์ แต่เมื่อปัญญาชน และชาวบ้านชาวยุโรป เข้าถึงความรู้เดียวกันนั้น พวกเขาพบว่า มีเรื่องราวจำนวนมาก ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ควรจะได้รับการอธิบายแบบที่เป็นอยู่ พลังของการค้นพบการพิมพ์ของกูเทนเบิร์ก ยังขยายไปสู่แวดวงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ความรู้จำนวนมหาศาลที่ถูกซุกซ่อนไว้นับพันปี ถูกเผยแพร่และต่อเติมขยายความจากนักแสวงหา นักผจญภัย นักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ พ่อค้า ช่างฝีมือ เราเรียกยุคนี้ว่า “ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ” เป็นก้าวแรกของชาวยุโรปก่อนที่พวกเขาจะก้าวกระโดดไปสู่ยุคใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ “การปฏิวัติวิทยาศาสตร์” 

จนถึงตอนนี้ ศาสนจักร เริ่มรู้ตัวมากขึ้นว่า ภัยที่สั่นคลอนความมั่นคงของพวกเขา ปีศาจที่พวกเขาพยายามกดทับ ทำลาย และซุกซ่อนให้อยู่ในมุมที่ลึกที่สุด กำลังผุดออกมาจากนรก แต่แม้กระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงแบบใหม่อย่างไร นอกจากใช้วิธีการเดิมๆ คือ การจับไปทรมาน หรือใช้บทลงโทษที่รุนแรงสุดขั้ว การบัพาชนียกรรม หรือเผาทั้งเป็น วิธีนี้เคยได้ผลมาเป็นเวลากว่าพันปี และพวกเขาก็เชื่อว่ายังคงได้ผลอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตาม แม้จะใช้วิธีต่างๆ เหล่านั้น ในบรรดาพระชั้นสูง กษัตริย์ ขุนนาง ซึ่งเป็นชนชั้นนำจำนวนมาก ต่างก็ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้า และการเติบโตทางเศรษฐกิจ พวกเขาจึงต้องประนีประนอมและร่วมมือกับชนชั้นกลาง จนทำให้ การเมือง ความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ ยิ่งสลับซับซ้อนท่ามกลางการขยายตัวของประชากร เมือง และการแข่งขันการล่าอาณานิคมในดินแดนห่างไกลที่ยังคงมีทรัพยากรจำนวนมาก และผู้คนที่ล้าหลัง

อย่างไรก็ตาม การอธิบายจักรวาลในมุมมองใหม่ ที่มีความหนักแน่นจากแง่มุมของวิทยาศาสตร์โดยโคเปอร์นิคัส “โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์” เป็นตะปูตัวแรกที่ตอกฝาโลงการครอบงำของศาสนจักร ที่ประกาศว่า “พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ให้กำเนิดโลกและจักรวาล พระองค์สถิตอยู่กับเรา เราคือศูนย์กลางของจักรวาล”

ในอีก สามร้อยปีต่อมา ชาร์ล ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ จะเป็นคนตอกตะปูฝาโลงตัวสุดท้ายให้กับความเชื่อดังกล่าว ด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ “การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและการคัดสรรโดยธรรมชาติ จะทำให้เกิดชนิดพันธ์ใหม่” พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ เรามาจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ วิวัฒนาการคือเรื่องราวสืบเนื่องของความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแบบแผน ดำเนินไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ตามแต่สภาวะของธรรมชาติในช่วงเวลานั้นๆ

ช่วงเวลาสามร้อยปี จากโคเปอร์นิคัส ถึง ดาร์วิน วิวัฒนาการที่ไร้แบบแผน สร้างสรรค์ นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ที่ช่วยกันอธิบายโลกทัศน์แบบใหม่ ที่มีรากฐานมาจากความคิดแบบมนุษยนิยมของกรีกเมื่อกว่าสองพันปีก่อน กาลิเลโอ เคปเลอร์ เบคอน นิวตัน เดคารต์ส บอยส์ ฟาราเดย์ ล๊อค เลเวนฮุก วอลเลซ คูรี เมนเดล และคนอื่นๆ หลายร้อยคน ทำให้โลกก้าวกระโดดไปสู่ยุคใหม่ ที่ความคิดแบบเดิมถูกละทิ้ง และแทนที่ด้วยวิธีคิดและโลกทัศน์แบบใหม่ ในช่วงเวลานี้เอง นักปรัชญาสังคม ได้ช่วยกันอธิบายความหมายของเสรีภาพ นับเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของความคิดแบบเสรีนิยมจนพัฒนาไปสู่รูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา 

เมื่อการครอบงำของศาสนจักรล่มสลาย ชนชั้นนำในยุโรป พยายามหาทางออกด้วยคำอธิบายใหม่ ชาติ คือประดิษฐกรรมที่ต้องการรวบรวมผู้คนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่กว้างขวาง ให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ภายใต้การจัดการของรัฐที่ควบคุมโดยเหล่าชนชั้นนำ นับแต่นั้นมา ชาติ ความรักชาติ ถูกถ่ายทอดผ่านเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้พลเมืองที่ไม่เคยรู้จักกัน มีความสำนึกร่วมแบบเดียวกัน และยอมเสียสละตัวเองแม้กระทั่งชีวิต เพื่อรักษาชาติ ที่เป็นจินตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน 

ชาติ และ เสรีภาพ คลุกเคล้าปะปนกัน ท่ามกลางความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์จนนำไปสู่ประดิษฐกรรมทางเทคโนโลยี่ ก่อให้เกิดการปฏิวัติพลังการผลิตครั้งใหญ่ การปฏิวัติอุตสาหกรรม 

ด้วยความหมายใหม่ของความเป็นชาติ ที่ให้ความสำคัญกับชาติมากกว่าความเป็นมนุษย์แต่ละคน ย้อนแย้งกับความคิดในเรื่องเสรีภาพ ที่ยอมรับความเท่าเทียมของความเป็นมนุษย์ และสิทธิที่จะปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ความคิดที่เหมือนจะขัดแย้งกัน กลับผสมผสานกัน กลายเป็นรูปแบบการปกครองที่มีส่วมผสมทั้งเสรีภาพและความเป็นชาติ ตอนนี้ ศาสนจักรถอยห่างออกไป กลายเป็นผู้สังเกตการณ์ และใช้ความจัดเจนของตัวเองในการอธิบายโลกที่สลับซับซ้อนด้วยท่าทีประนีประนอม 

ความเป็นชาติ หรือความคิดแบบชาตินิยม ดำเนินมาสู่จุดสูงสุดในสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซี ในประเทศเยอรมัน ได้ให้ความหมายใหม่กับการกำเนิดชาติอารยัน หยิบยืมคำอธิบายของทฤษฎีวิวัฒนาการ “ผู้ที่เข้มแข็งกว่า คือผู้ที่สมควรอยู่รอด” ในการก่อสงครามรุกรานและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ความคิดแบบสุดโต่งและสุดโหดเหี้ยม ก็ถูกชาติต่างๆ ร่วมกันโค่นล้ม ทำลายล้าง และรื้อฟื้นความคิดแบบเสรีนิยม ที่มีรากฐานมาจากความเท่าเทียมกันและความยุติธรรม แม้ว่าโลกหลังสงคราม ยังคงเผชิญหน้ากับสงครามเย็น แต่ในที่สุด ความคิดแบบเสรีนิยม ก็ลงหลักปักฐานที่มั่นคง และโลกก็จะไม่มีวันที่หวลกลับไปสู่ยุคมืดชั่วนิรันดร

พวกเราโชคดี ที่ได้มองย้อนกลับไปดูเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าสองพันปี เราเห็นเรื่องราวที่เริ่มต้น ดำเนินไป จบสิ้นลง และเริ่มต้นใหม่ และดำเนินไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ผู้คนที่อยู่ในช่วงยุคสมัยของพวกเขา คงนึกไม่ออกว่า เรื่องราวจะคลี่คลายไปอย่างไร พล็อตเรื่องที่ไม่มีใครเขียนไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครเดาได้ว่า ในที่สุดแล้ว จะเปลี่ยนแปลงไปแบบไหน แต่พอเราเห็นเรื่องราวที่คลี่คลายมาตามลำดับ อย่างน้อยมีหนึ่งเรื่องที่พอจะคาดเดาได้ “ไม่มีใครที่จะต้านทานความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดจากวิวัฒนาการของสังคม” พลังของการเปลี่ยนแปลง กวาดล้างทำลายผู้ที่ขัดขืน ผู้ที่อยู่รอด คือผู้ที่ปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลง บัดนี้ เราได้เห็นเค้าลางของความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นนำในสังคมไทย ไม่ได้กำลังต่อสู้กับขบวนการของประชาชน แต่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับพลังการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการบอกความจริงกับเราว่า สังคมไทยจะก้าวไปข้างหน้า และจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน

ปี 49 ก่อนคริสตศักราช จูเลียส ซีซาร์ ขณะนำทัพกลับจากสงครามชายแดน ตามคำสั่งสภาแห่งโรม สายข่าวแจ้งว่า ซีซาร์จะถูกสภาฯ ปลดออกจากกองทัพ กฎหมายของโรม ห้ามแม่ทัพนำกองทหารข้ามแม่น้ำรูบิคอน มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นกบฏ ซีซาร์ ตั้งทัพค้างแรมอยู่ที่ริมแม่น้ำรูบิคอน และใช้เวลาทั้งคืนกับผู้ช่วยทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในตอนเช้าตรู่ ซีซาร์ นำกองทัพข้ามแม่น้ำรูบิคอน เป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net