Skip to main content
sharethis

นักการเมือง-ปชช.ร่วมบรรจุอัฐิญาติวีรชน เปิดอนุสรณ์พฤษภาประชาธรรม ญาติวีรชนยันไม่เอารัฐประหาร - ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ ขอประยุทธ์ลาออก 'จตุพร' หนุน3 ข้อเรียกร้อง 2 เงื่อนไข 1 ความฝัน 'ธนาธร' ระบุร่างรธน.ใหม่ที่มาจากประชาชน คือทางออกเดียวของสังคมไทยที่เหลืออยู่

คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นำโดย อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานกรรมการ จัดงานบรรจุอัฐิวีรชนพฤษภา 2535 โดยมีสื่อมวลชน ญาติวีรชน ผู้แทนพรรคการเมืองและผู้ผ่านเหตุการณ์พฤษภา 35 เข้าร่วม

บุคคลสำคัญที่มาร่วมงานมีทั้งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี, จตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช., รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อดีตแกนนำนักศึกษาปี 2535, รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. รวมถึงธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า และชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล

โดยมีการเคลื่อนย้ายอัฐิวีรชนจากอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ที่นำมาเก็บไว้ชั่วคราว มาที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ซึ่งเพิ่งปรับปรุงเเล้วเสร็จ และมีพระสงฆ์ทำพิธีทางศาสนาบรรจุอัฐิ ก่อนที่สุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง ตัวแทนมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม และ ศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัด กทม. กล่าวรายงานการจัดสร้างอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม 

รศ.โคทม กล่าวเปิดงานระบุว่า ปีนี้รอบวาระ 28 ปีของเหตุการณ์ ซึ่งอธิบายได้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมีอุปสรรค แต่ประชาชนก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไป เพราะเป็นจุดมุ่งหมายของคนไทยเกือบทุกคน ที่จะสร้างประชาธิปไตย ที่อำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน พร้อมเชิญชวนผู้ร่วมงานยืนรำลึกวีรชนร่วมกันเป็นเวลา 1 นาที

อภิสิทธิ์ กล่าวเชิญวิญญาณวีรชน เข้าสู่อนุสรณ์สถาน พร้อมระบุถึงเหตุการณ์พฤษภา 35 ว่า ตลอด 28 ปีที่ผ่านมาผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มีบทบาททางการเมืองและทางด้านอื่นๆ แต่ถึงวันนี้ทุกคนต้องก้าวข้ามหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น โดยอาจต้องเลิกตั้งคำถามว่า "ใครถูกใครผิด" แต่ต้องช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ประเทศและประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าและสามารถสานต่อเจตนารมณ์ของเหล่าวีรชนที่ได้เสียสละในเดือน พ.ค. เมื่อ 28 ปีที่แล้ว

จตุพร กล่าวรำลึกวีรชนพร้อมให้สัมภาษณ์ สนับสนุนการเคลื่อนไหว และ '3 ข้อเรียกร้อง 2 เงื่อนไข 1 ความฝัน' ของขบวนการเยาวชนนักศึกษา แม้เชื่อว่าการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นต่างๆ ที่จะเป็นทางออกของวิกฤตประเทศนั้นจะมีอุปสรรคมากมาย และโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารในประเทศไทยมีตลอดเวลา แต่จะไม่ง่ายในยุคโซเชียลมีเดีย และจะถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากประชาชน และตนจะเป็นหนึ่งในผู้นำต่อต้านรัฐประหารด้วย

ส่วนกลุ่ม ส.ว.อิสระ ที่ออกมาสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือตัดอำนาจ ส.ว.นั้น จตุพร เรียกว่า 'เสือสำนึกบาป' ในวุฒิสภา โดยขอให้พิสูจน์ความจริงใจรวมเสียงให้ได้ 84 เสียงให้ประชาชนได้เห็น ไม่ใช่มาเล่นละครเป็นก๊กสามก๊ก ทั้งที่ความจริงเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้น ถ้าต้องการจะปิดสวิตช์ตัวเองมาเข้าชื่อให้ประชาชนได้เห็นทั้ง 84 คนสถานการณ์อาจจะคลี่คลาย

ขณะที่ อดุลย์ กล่าวทั้งน้ำตาถึงวีรชนพฤษภา 35 ว่า ตอนนี้มีบ้านอยู่แล้วรวมถึงลูกของตนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ด้วย และขอให้อนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความรุนแรง พร้อมระบุถึงข้อที่ 2 ของคณะกรรมการญาติวีรชน เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเป็นการถอดสลักความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นและเนื่องจากเห็นชัดแล้วว่าบริหารประเทศล้มเหลวทุกด้าน ไม่เคยสร้างความปรองดอง แต่กลับเป็นตัวปัญหาเสียเอง 

พร้อมกันนี้สนับสนุนและให้กำลังใจเยาวชนนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันผลักดันข้อเสนอโดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตย รวมถึงประกาศคัดค้านการรัฐประหารด้วย

ธนาธร กล่าวว่า วันนี้ เรามาร่วมกันบรรจุอัฐิของวีรชนเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เข้าสู่อนุสาวรีย์ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เป็นบทเรียนให้กับเราแล้วว่า การทำรัฐประหารไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น การทำรัฐประหารปี 2534 นำมาสู่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 การทำรัฐประหมาร 2549 นำมาซึ่งเหตุการณ์เมษายน - พฤษภาคม 2553 ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การรัฐประหารแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ เพราะถ้ามันทำได้ประเทศคงพัฒนาไปไกลแล้ว ดังนั้น ต้องกลับมาเชื่อมั่นในพลังประชาชน เชื่อมั่นในการแสวงหาทางออกให้สังคมภายใต้ระบบอประชาธิปไตย และถ้าเราแสวงหาได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องพึ่งนายกรัฐมนตรีคนนอก เราประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เราประชาชนร่วมแสวงหาทางออกให้สังคมได้โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

"และวิธีการได้มาซึ่งทางออกนั้น คือ การจัดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่ นี่คือทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ เพราะรัฐธรรมนูญคือข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันของสังคม ว่าคนไทยทั้งสังคม เราอยากจะอยู่ร่วมกันแบบไหน อยากจะเติบโตสร้างอนาคตแบบไหน ภายใต้กฎกติการอย่างไร อำนาจจะถูกจัดสรรปันส่วนในสถาบันการเมืองต่างๆ อย่างไร วันนี้เราไม่มีข้อตกลงนี้ ข้อตกลงเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ อย่างไม่ต้องใช้การทำรัฐประหารแก้ปัญหา เราต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วยกัน แต่ปัญหาก็คือ การจะมีรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับนั้นได้มายากเหลือเกิน มีแต่การลุกขึ้นเรียกร้องของพี่น้องประชาชนเท่านั้น รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้มาจากการหยิบยื่นให้ของอภิสิทธิ์ชน แต่มาจากการต่อสู้อย่างแข่งขันของประชาชน" ธนาธร กล่าว

ธนาธร กล่าวอีกว่า ในสภาไม่ได้มีเจตจำนงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผลักดันมาถึงจุดนี้ได้มาจากการเรียกร้องของเยาวชน นักเรียน นักศึกษาและประชาชนข้างนอกสภา ทั้งนี้ ถ้าปล่อยให้กระบวนการกลไกรัฐสภาดำเนินไป ไม่มีทางได้แก้รัฐธรรมนูญ ตนยืนยันเรื่องนี้ในฐานะที่มีโอกาสได้ไปทำงานในสภา ได้พูดคุยกับ ส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ ก็รู้สึกได้ว่าไม่ได้มีเจตจำนงเรื่องนี้ รัฐธรรมนูญจะทำได้ประชาชนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้อง นี่คืออนาคตของพวกคุณ ถ้าคุณไม่เรียกร้องแล้ว ไม่มีใครเรียกร้องให้ หลายคนเป็นห่วงเรื่องความรุนแรงสำหรับการชุมนุม ถามว่า จะเกิดความรุนแรงได้อย่างไร เพราะถ้าคิดกลับ ความรุนแรงถ้าจะเกิดขึ้นก็มาจากเจ้าหน้าที่รัฐ จากฝ่ายความมั่นคง ต้องถามกลับไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ ถามกลับไปที่รัฐบาลมากกว่า ว่าจะยอมให้มีการชุมนุมดยสงบเกิดขึ้นได้หรือไม่

"เราอยู่ที่นี่ เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว วันนี้ผมเห็นหลายคนร้องไห้ เห็นญาติวีรชนร้องไห้ เราอย่าให้ไปสู่จุดนั้นอีกเลย วันนี้ผ่านมา 28 ปี แต่บาดแผลสังคมยังไม่จางหายไป อย่าให้ไปสู่ความสูญเสียอีก อย่าให้ไปถึงจุดนั้นอีก เรามาร่วมกันสร้างสังคมที่ดี ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน นำรัฐธรรมนูญฉบับนี้เมาใช้ และนับหนึ่งใหม่ นี่เป็นก้าวแรก การจะหาทางออกร่วมกัน ถ้าไม่ได้ก้าวนี้ไม่ต้องพูดถึงรุ่นต่อไป ไม่ต้องพูดถึงความก้าวหน้าของสังคม ไม่ต้องพูดเรื่องอนาคตของลูกหลาน" ธนาธร กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีการออกมาพูดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ อดุลย์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตอบแทนธนาธรว่า "ญาติพฤษภาไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ"  ทำให้ธนาธร หัวเราะ ก่อนที่จะบอกว่า "มีคนตอบแทนผมแล้ว จุดยืนเดียวกัน"  นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวลือรัฐประหาร ธนาธร กล่าวว่า ผู้มีอำนาจคงต้องคิดหนัก เพราะประชาชนคงไม่ยอม และคณะก้าวหน้าเราก็พร้อมจะออกมาต่อสู้หากเกิดการทำรัฐประหารขึ้น

 

อ้างอิง: วอยซ์ทีวี, ทีมสื่อคณะก้าวหน้า

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net