- หลังบริษัทแม่ของ TRUE และ DTAC ประกาศว่าจะควบรวมบริษัทลูกเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ทันทีเพราะจะเป็นการควบรวมกันของบริษัทเอกชนด้านโทรคมฯ อันดับ 2 และ 3 เข้าด้วยกัน(ที่ก็มีอยู่แค่ 3 เจ้าใหญ่)
- พรเทพ เบญญาอภิกุล อ.เศรษฐศาสตร์ มธ. และอดีตนักวิจัยโครงการ NBTC Policy Watch ให้ความเห็นว่าการแข่งขันในตลาดโทรคมฯ ทั้งด้านราคาและคุณภาพจะลดลงแน่หากเหลือรายใหญ่เพียง 2 เจ้า
- เขายังชี้ให้เห็นอีกว่าข้ออ้างของบริษัทเอกชนว่าหลังการควบรวมแล้วต้นทุนดำเนินงานจะต่ำลงและดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นก็อาจจะจริงแต่ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าประสิทธิภาพเหล่านี้จะถูกส่งผ่านมาให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์ไปด้วยเพราะเมื่อไม่มีการแข่งขันแล้วก็ไม่มีสภาพบังคับให้เอกชนต้องลดราคาค่าบริการและเพิ่มคุณภาพในการให้บริการเพื่อแข่งขันกันและก็มีตัวอย่างการควบรวมในหลายประเทศที่เมื่อมีผู้แข่งขันในตลาดลดลงราคาค่าบริการก็เพิ่มสูงขึ้น
- อย่างไรก็ตามปัญหาเหล่านี้จะป้องกันได้หากหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมฯ อย่าง กสทช.และการแข่งขันทางการค้าอย่าง กขค. เข้ามาตรวจสอบและมีมาตรการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่การควบรวมกันจะเกิดขึ้น แต่จากท่าทีของทั้งสองหน่วยงานหลังเอกชนประกาศว่าจะควบรวมกันกลับไม่มีความชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของใครหรือจะร่วมมือกันอย่างไรในการเข้ามากำกับดูแลเรื่องนี้
- นอกจากประเด็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในตลาดโทรคมฯ แล้ว เครือซีพีที่เป็นบริษัทแม่ยังมีบริษัทลูกอื่นๆ ที่เป็นเจ้าตลาดในธุรกิจประเภทอื่นๆ อยู่แล้วและการควบรวมนี้ก็อาจจะทำให้กลายเป็นเจ้าตลาดโทรคมฯ ไปด้วย ซึ่งความซับซ้อนของทำธุรกิจข้ามไปมาหลายประเภทนี้ยิ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันในตลาดต่างๆ ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปด้วย
เมื่อบริษัทแม่ของบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ระดับเป็นอันดับ 2 กับ 3 ของประเทศอย่าง TRUEและ DTAC ประกาศว่ากำลังดำเนินการเพื่อควบรวมบริษัทลูกเข้าด้วยกันในอนาคต จนเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากทั้งในมุมของความกังวลว่าจะเกิดการผูกขาดขึ้นในตลาดโทรคมนาคม การแข่งขันที่อาจจะลดลงหรือไม่แข่งขันกันอีกแล้วเพราะเหลือผู้เล่นที่เป็นเอกชนรายใหญ่เพียง 2 เจ้าคือ AIS และบริษัทใหม่ที่จะถูกตั้งขึ้นมาหลังการควบรวมกันของ TRUE - DTAC จนอาจจะเกิดปัญหาด้านคุณภาพและราคาค่าบริการที่อาจจะตกมาเป็นภาระของผู้บริโภค
ทั้งนี้เมื่อพูดถึงการควบรวมกันในธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่ถือได้ว่าเป็นตลาดที่มีผู้แข่งขันน้อยรายตามธรรมชาติอยู่แล้วทั้งจากปัจจัยด้านรัพยากรคลื่นความถี่ที่มีจำกัดและต้นทุนการเข้ามาทำธุรกิจนี้มีค่อนข้างสูง มีสิ่งที่จะเป็นคำถามตามมาคือหลังการควบรวมแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อตลาดโทรคมนาคมและเศรษฐกิจ และหากเกิดผลกระทบขึ้นมาหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องมีบทบาทอย่างไรเพื่อไม่ให้ผลกระทบมาตกที่ประชาชนที่ต้องพึ่งพาอาศัยบริษัทเหล่านี้ในการติดต่อสื่อสารกัน
แต่ในขณะที่มีความกังวลดังกล่าวเกิดขึ้น หน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมและการแข่งขันทางการค้าทั้ง 2 หน่วยงานกลับมีท่าทีไม่ชัดเจนว่าจะตกลงการควบรวมนี้ใครกันแน่ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบและต้องออกมามาตรการเพื่อกำกับดูแลการควบรวมบริษัททั้ง 2 แห่งเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างที่คนกังวลกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาไทจึงได้ขอสัมภาษณ์ พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตเคยเป็นนักวิจัยของโครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม (NBTC Policy Watch) ที่มีบทบาทในการติดตามด้านการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมและโทรทัศน์และการจัดสรรคลื่นความถี่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของการควบรวมธุรกิจครั้งใหญ่ในธุรกิจโทรคมนาคมครั้งนี้และบทบาทที่ กสทช.ควรจะทำเพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดในตลาดโทรคมนาคม
พรเทพ เบญญาอภิกุล ภาพจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประเด็นแรกเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังการควบรวมกันของ พรเทพ ชี้ว่าการควบรวมนี้จะส่งผลแน่นอนและผลกระทบก็จะชัดเจนกว่ากรณีเทสโก้กับแมคโครควบรวมธุรกิจอีก เพราะตลาดโทรคมนาคมมีการกระจุกตัวอยู่แล้วที่ทั้งตลาดมีรายใหญ่อยู่แค่ 3 บริษัท แล้วการควบรวมนี้ก็จะทำให้เหลือแค่ 2 บริษัทจึงถือได้ว่าผู้เล่นหายไปเยอะ
พรเทพกล่าวถึงตัวชี้วัด HHI (Herfindahl–Hirschman index) ที่ใช้วัดการกระจุกตัวและการผูกขาดในธุรกิจแต่ละประเภทมีระดับ 0-10,000ที่ค่ายิ่งสูงแสดงว่ามีการผูกขาดในตลาดของประเภทธุรกิจนั้นสูง เขาระบุว่าสำหรับตลาดโทรคมนาคมของประเทศไทยก็มีการกระจุกตัวอยู่แล้ว ก่อนรวมที่มีบริษัทใหญ่อยู่แค่ 3 รายค่า HHI ก็สูงอยู่แล้วที่กว่า 3,600 พอควบรวมกันค่านี้มันก็สูงขึ้นไปกว่าเป็นพันจุดจนถึง 5,000 กว่า และตามประกาศของ กสทช.เองถ้าค่านี้เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งร้อยจุดก็ถือว่าส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อการแข่งขันแล้ว
เขาตอบคำถามว่าการควบรวมนี้จะส่งผลอย่างไร เราก็เห็นอยู่ว่าผู้ให้บริการของโทรศัพท์มือถืออยู่ 3 รายก็ยังมีการแข่งระดับหนึ่งแม้จะไม่ได้รุนแรงมาก แล้วถ้าเหลือ 2 รายที่มีขนาดเท่ากัน สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือทั้งสองบริษัทก็จะไม่ค่อยมาเน้นแข่งขันกันด้านราคาเพราะว่าไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะต้องใหญ่ไปกว่านี้ ถ้าเกิดเขาจะลดราคา ในตอนที่เขามีส่วนแบ่งการตลาดที่ค่อนข้างใหญ่อยู่แล้วการมาต่อสู้กันด้านราคาจะกลายเป็นต้นทุนต่อบริษัทสูงมากเพราะเวลาลดราคาในสภาพที่ส่วนบางตลาดสูงก็จะต้องเสียสละรายได้เยอะเพราะลูกค้าเยอะ แต่ถ้าเป็นรายเล็กๆ ตั้งตัดราคาก็แบกรับต้นทุนน้อยกว่า
พรเทพยกตัวอย่างงานศึกษาการควบรวมบริษัทโทรคมนาคมในยุโรป 30 กว่าประเทศพบว่ามีการกระจุกตัวที่เพิ่มขึ้นและจะส่งผลต่อราคาค่าบริการในระยะยาว โดยส่วนใหญ่ในกรณีของยุโรปจะเป็นจากบริษัท 4 บริษัทควบรวมเหลือ 3 บริษัท ในงานศึกษานี้พบว่าราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นมาประมาณ 16-17% ส่วนของไทยที่ควบรวมแล้วจะเหลือแค่ 2 บริษัทยิ่งเข้าใกล้ความผูกขาดเข้าไปอีกผลกระทบก็จะรุนแรง
ประเด็นขนาดของผลกระทบแค่ไหน อาจารย์เศรษฐศาสตร์อุตสหากรรมชี้ว่าในตลาดโทรศัพท์มือถือของไทยเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมเพราะทุกคนต้องใช้และเปนปัจจัยการผลิตให้กับอุตสาหกรรมอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือบริษัทห้างร้านต่างๆ ถ้าราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นก็จะกลายเป็นต้นทุนที่กระทบกับทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับน้ำมันดีเซลที่เมื่อราคาขึ้นก็ส่งผลต่อภาคการขนส่งทำให้สินค้าอื่นๆ ราคาแพงขึ้นด้วย
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในยุคที่ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมากและการจะเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลก็ต้องใช้อินเตอร์เนตถ้าราคามันสูงก็จะส่งผลต่อผู้มีรายได้น้อยหรือคนที่ขาดโอกาสในสังคมก็ยิ่งขาดโอกาสและเกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ”
นอกจากนั้นเขายังชี้ให้เห็นอีกว่า ในประเทศไทยการใช้อินเตอร์เนตประเภทสาย(บรอดแบนด์) ไม่ค่อยแพร่หลายนักเมื่อเทียบกับการใช้อินเตอร์เนตผ่านสัญญาณมือถือในหลายกิจกรรมทั้งการดูยูทูปไปจนถึงการเรียนออนไลน์ ดังนั้นเมื่อราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นหรือคุณภาพแย่ลงก็จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเยอะ และยังไม่รวมถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกเช่นมีการขายพ่วงมากขึ้น อย่างเช่นในสมัยก่อนที่เครื่องโทรศัพท์จะถูกล็อก IMEI ไว้ใช้ได้กับเฉพาะสัญญาณของค่ายใดค่ายหนึ่งทำให้ค่าโทรศัพท์
นอกจากนั้นพรเทพยังเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตเมื่อ TRUE และ DTACควบรวมกันจนทั้งตลาดเหลือแค่ 2 ราย ก็จะมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นได้ยากแล้วจากหลายปัจจัยเช่น การหาเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุน การหาลูกค้าใหม่ และคลื่นความถี่ที่ลดลง
ควบรวมแล้วผู้บริโภคได้ประโยชน์จริงหรือ?
แม้ว่าการรวมธุรกิจจะเป็นเรื่องปกติของธุรกิจทั่วไปแต่พรเทพมองว่า บริษัทที่จะควบรวมกันก็ไม่ค่อยได้มองถึงผลกระทบทางสังคม หน่วยงานกำกับดูแลก็ต้องทำหน้าที่ดูว่าอันไหนส่งผลเสียมากก็ต้องมีมาตราการป้องกันหรือระงับยับยั้งได้ก็ควรจะต้องทำ หรือก็คือ 2 เจ้านี้สามารถทำกำไรได้แล้วถึงไม่รวมกันอยู่รอดได้ไม่ใช่ว่าจะมีรายใดรายหนึ่งล้มหายตายจากไป เพราะฉะนั้นหน่วยงานกำกับดูแลต้องดูว่าระหว่างผลประโยชน์ของผู้บริโภคที่จะหายไปกับเรื่องที่ทางบริษัทอ้างว่าเมื่อควบรวมกันแล้วจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพดังกล่าวส่งผลดีกลับมาหาผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน
ประเด็นนี้เขาก็เห็นว่าหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช.ก็ต้องมาดูด้วยว่าประสิทธิภาพที่มากขึ้นนั้นเป็นผลดีต่อผู้บริโภคจริงตามที่บริษัทอ้างหรือไม่หรือจะส่งผลร้ายต่อผู่บริโภคด้วยซ้ำ กรณีแบบนี้ในหลายประเทศก็ไม่อนุญาตให้มีการควบรวม และในการควบรวมของบางบริษัทในยุโรปบางแห่งที่ยกข้ออ้างเรื่องประสิทธิภาพขึ้นมาเมื่อหน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปอย่าง European commission ตรวจสอบก็ไม่พบอย่างที่อ้าง
เมื่อถามว่าการออกมาประกาศลดราคาโปรโมชั่นเดิมลงของอีกค่ายจะถือได้ว่ายังมีการแข่งขันได้หรือไม่ ซึ่งหน่วยงานรัฐหรือองค์กรกำกับดูแลก็อาจจะมองในมุมนี้ว่ายังคงมีการแข่งขันกันอยู่ได้เหมือนกัน
พรเทพอธิบายประเด็นนี้ว่า พอมีการประกาศควบรวมกันแบบนี้ก็จะเกิดสถานการณ์ที่มันวุ่นวายอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะเกิดการปรับตัวสู่ดุลยภาพใหม่ ช่วงแรกที่ลูกค้าย้ายกันไปมา เช่นคนที่เคยเป็นลูกค้า DTACแต่อาจจะไม่ชอบ TRUE ก็จะย้ายไปอีกค่ายแทน แต่เมื่อสถานการณ์กลับมาสู่สภาวะปกติแล้วก็อาจจะได้เห็นว่า 2 รายนี้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันโดยตรง ซึ่งตอนนี้ก็อาจจะสังเกตได้จากตลาดหุ้นก็ได้ กล่าวคือเมื่อเกิดข่าวว่าทั้ง 2 บริษัทประกาศว่าจะควบรวมกัน หุ้นของ AIS TRUE และDTAC ก็ขึ้นด้วยกันหมดทั้งอุตสาหกรรมซึ่งราคาหุ้นก็สะท้อนถึงการทำกำไรในอนาคตด้วยว่าจะทำได้มากแค่ไหน
พรเทพเห็นว่าการควบรวมกันทางธุรกิจแต่ละครั้งจะมีการประดิษฐ์คำใหม่ๆ อย่างเช่นตอนที่เทสโก้กับแมคโครควบรวมกันก็จะมี “ทำให้ธุรกิจไทยไประดับโลก” หรือ “การแข่งขันลดลงแต่ไม่ได้ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค” และคราวนี้ก็จะมีเรื่อง “Digital Transformation”
“ประเด็นคือ นวัตกรรมส่วนใหญ่ในต่างประเทศเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขัน มันผลักดันให้ธุรกิจหานวัตกรรมใหม่ๆ แต่พอสภาพตลาดที่มันกระจุกตัวมากขึ้นมันก็ไม่มีแรงจูงใจในการหานวัตกรรมใหม่ๆ หรือเขาก็จะอ้างว่าการรวมจะประหยัดต้นทุนเช่น พนักงานที่ซ้ำกันในแต่ละแผนกก็จะลดบ้างแผนกไปได้ มีการแบ่งกันใช้โครงสร้างพื้นฐานหรือโครงข่ายร่วมกัน ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำลงแล้วผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์”
“ตรรกะแบบที่พูดมามันมีปัญหาอยู่ตรงที่ ต้นทุนมันต่ำลงจริงๆ แต่ผู้บริโภคได้ประโยชน์มาอย่างไร คือเขาก็อ้างว่าว่าที่เขาบอกว่าประหยัดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพได้แล้วผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์ คือถ้าเขาไม่แข่งขันมันไม่มีผู้ประกอบการรายไหนหรอกที่เอากำไรตัวเองไปให้ผู้บริโภคฟรี ๆ มันคือเป็นจุดอ่อนของตรรกะอันนี้”
พรเทพยกตัวอย่างอีกว่าประเด็นที่ทางฝ่ายบริษัทอาจจะบอกว่าพอควบรวมกันแล้วก็จะทำให้สามารถใช้โครงข่ายร่วมกันได้ เขาเห็นว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้เกิดการควบรวมก่อน แต่ละบริษัทสามารถแบ่งกันใช้ได้อยู่แล้วโดยหน่วยงานกำกับดูแลสามารถกำหนดเงื่อนไขให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย
“ถ้าเราฟังดูดีๆ บางอย่างมันก็ไมได้เมคเซนส์หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบรวมนี้นะ” พรเทพแสดงความเห็นและมองว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงานกำกับดูแลก็ต้องตามให้ทันเกี่ยวกับข้ออ้างเหล่านี้
อีกทั้งพรเทพยังเห็นว่าหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าหรือ กขค.ต้องทำงานเชิงรุกมากกว่านี้แต่กลับบอกว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบทั้งที่ควรจะร่วมมือกันทำงาน สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง อีกทั้งตามพ.ร.บ.กสทช.ก็กำหนดหน้าที่ให้ กสทช.ต้องกำกับดูแลการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมอยู่แล้ว
นอกจากนั้นพรเทพยังเสนอต่อว่า กสทช.ยังสามารถเข้าไปกำกับดูแลได้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศว่าควบรวมได้ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ทางบริษัทที่จะทำการควบรวมมาขออนุญาตก่อนแล้วถึงจะเริ่มกระบวนการตรวจสอบ กสทช.สามารถเริ่มติดตามได้เลยดูในทุกแง่มุม แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่า กสทช.ของไทยที่ดูแลอยู่เพียงแค่ 2 ส่วนคือโทรคมนาคมกับวิทยุโทรทัศน์กลับไม่มีข้อมูลเรื่องที่จะมีบริษัทควบรวมกันได้อย่างไร เพราะจากทรัพยากรด้านบุคลากรและข้อมูล กสทช.น่าจะสามารถทำแบบจำลองเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการควบรวมได้แล้ว รวมถึงยังมีอำนาจตามกฎหมายที่ทำให้เข้ามากำกับดูแลและออกคำสั่งที่มีผลให้บริษัทต้องปฏิบัติตามได้
“กขค.ก็ไม่ควรที่จะบอกว่าอันนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของฉัน อันนี้เป็นของ กสทช. แต่จริงๆ แล้วควรจะร่วมมือกัน ในต่างประเทศเขาจะทำงานร่วมกันทั้งแบบ task force หรือคณะกรรมการร่วมที่มาติดตามเรื่องนี้ช่วยกันทั้งทางด้านวิชาการหรือทางด้านข้อมูลก็จะทำให้ผู้บริโภคอุ่นใจขึ้นเยอะ”
การจัดการคลื่นความถี่
การบริหารจัดสรรคลื่นความถี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการควบรวมของทั้งสองบริษัทนี้ เนื่องจากการดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมมีความจำเป็นต้องใช้คลื่นความถี่ซึ่งแต่ละช่วงคลื่นความถี่ก็มีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกันไป ไม่ว่าเพื่อใช้โทรศัพท์หรือใช้เล่นอินเตอร์เนตในระดับความเร็วแตกต่างกันไปและในตอนนี้เทคโนโลยีการสื่อสารได้พัฒนามาจนถึงยุค 5G แล้ว
อย่างไรก็ตาม คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรจำกัดและที่ผ่านมารายใหญ่ทั้ง 3 เจ้าได้มีการทยอยประมูลคลื่นเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของตัวเองเอาไว้จำนวนหนึ่งแล้ว และหากเกิดการควบรวมกันคลื่นความถี่ที่อยู่ในมือของบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดและถือครองใบอนุญาตมากเป็นอันดับ 2 อย่าง TRUEและอันดับ 3 อย่าง DTAC ก็อาจจะทำให้บริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นมานี้มีคลื่นความถี่จำนวนมากขึ้น
อีกปัญหาคือคลื่นความถี่ที่อยู่ในย่านสูงอย่างเช่น 2600 MHz หรือ 26GHz จะมีช่องสัญญาณ(Bandwidth) ที่กว้างมากและรองรับการใช้ในงานปริมาณมากๆ ได้ แต่มีข้อเสียคือเป็นย่านความถี่ที่กระจายหรือทะลุทะลวงอาคารไปได้ไม่ไกลนัก ในทางกลับกันย่านความถี่ต่ำอย่าง 700MHz ที่กระจายไปได้ไกลและสามารถทะลุทะลวงสิ่งก่อสร้างได้มากกว่าแต่ก็มีช่องสัญญาณที่น้อยกว่าทำให้รองรับการใช้งานได้ไม่มากเท่า
จากเหตุผลดังกล่าวจึงต้องกลับมาดูกันว่าแต่ละบริษัทถือครองคลื่นความถี่ย่านใดบ้างในจำนวนเท่าไหร่ เนื่องจากส่งผลต่อการประเมินศักยภาพในการแข่งขันของแต่ละบริษัทและคุณภาพการให้บริการ จากข้อมูลในปัจจุบันทั้ง 3 ค่ายมีดังจำนวนคลื่นความถี่อยู่ในมือตามแต่ละช่วงคลื่นความถี่ดังนี้
| AIS | TRUE | DTAC |
700 MHz (ให้บริการ 4G 5G ทีวีดิจิทัล) | 30 | 20 | 20 |
900 MHz 3G 4G | 20 | 20 | 10 |
1800 MHz 4G | 40 | 30 | 10 |
2100 MHz 3G 4G | 30 | 30 | 30 |
2600 MHz 5G | 100 | 90 | - |
26 GHz 5G | 1200 | 800 | 200 |
ข้อมูลอ้างอิงจากรายงานของ manager online และ telecomlover
เมื่อดูจากยอดจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์ตามรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุด (3/2564) ของแต่ละบริษัทก็จะพบว่า 2 บริษัทที่กำลังจะควบรวมกันอย่าง DTAC มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ที่ 19.3 ล้านราย และ TRUE มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 32 ล้านราย ประเมินคร่าวๆ หากรวมกันได้ ณ วันนี้บริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นมาก็จะมีผู้ใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 51.3 ล้านราย ซึ่งมากกว่า AIS ที่มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ที่ 43.6 ล้านราย
พรเทพระบุว่าการให้บริการโทรคมนาคมที่มี Economy of scale สูงกล่าวคือการที่บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นสองเท่าไม่ได้จำเป็นต้องใช้คลื่นความถี่เพิ่มขึ้นสองเท่า เพราะฉะนั้นเมื่อ 2 บริษัทรวมกันก็จะมีคลื่นความถี่ไปกระจุกกองรวมกันอยู่โดยที่อาจจะไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ถ้า TRUEและ DTAC รวมกันจะมีส่วนแบ่งการตลาดและคลื่นความถี่ในมือพอๆ กับ AIS
“คลื่นความถี่เหล่านี้จะอยู่ในมือบริษัทเหล่านี้ไปเลยเป็น 10 ปีตามอายุใบอนุญาต คลื่นที่ถูกประมูลมันก็หายไปแทนที่จะได้เอามาใช้หรือเอาไปให้บริษัทใหม่ รายใหม่จะเข้ามาก็เข้าไม่ได้ถ้าจะรอประมูลใหม่ก็เป็นคลื่นความถี่อื่นไปแล้ว ก็จะเป็นคลื่นที่เหมาะสมกับการทำ 5G แต่ว่ามันก็จะต้องมีคลื่นความถี่สำหรับการให้บริการโทรศัพท์ด้วยเพราะว่าคลื่นมันมีหลายความถี่ที่แต่ละอันก็เหมาะกับการนำไปใช้งานไม่เหมือนกัน ส่วนคลื่นที่คุณสมบัติดีๆ ก็โดนกักไว้หมดแล้ว”
พรเทพเห็นว่าทาง กสทช.ก็สามารถเข้ามาจัดการเรื่องนี้ได้ เขายกตัวอย่างในต่างประเทศที่มีการทำ spectrum cap คือการกำหนดเพดานไม่ให้บริษัทถือครองคลื่นในแต่ละย่านความถี่เกินจำนวนเท่าไหร่ และเมื่อมีบริษัทที่ควบรวมกันแล้วมีคลื่นความถี่ที่ถือครองเกินเพดานก็ต้องเอาออกมาขายหรือถ้าขายไม่ได้หน่วยงานกำกับดูแลก็ต้องดึงกลับมาประมูลใหม่ เพราะคลื่นความถี่ที่ถือเป็นทรัพยากรจำกัด ถ้าให้บริษัทถือเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ก็เสียเปล่าแม้ว่าจะบริษัทจะเป็นคนประมูลได้ไปแต่ก็หวังให้เอาไปใช้ ถ้า กสทช.ไม่ทำจะกลายเป็นการปิดประตูไม่ให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำธุรกิจโทรคมนาคมได้เลย
เมื่อมองไปถึงการประมูลคลื่นความถี่ในอนาคต พรเทพก็เห็นว่าถ้าทั้งสองบริษัทควบรวมกันสำเร็จ การแข่งขันในการประมูลก็จะมีคู่แข่งน้อยลงส่งผลให้การแข่งขันประมูลคลื่นความถี่ไม่รุนแรงหรืออาจจะไม่เกิดการแข่งขันเลยก็ได้ ผลลัพธ์ก็คือราคาของคลื่นความถี่ที่ถูกประมูลไปก็จะไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง นอกจากนั้นสำหรับผู้เล่นรายใหม่ก็อาจจะเห็นว่ามี 2 รายใหญ่ที่มั่นคงมากอยู่ในตลาดแล้วก็อาจจะไม่อยากเข้ามาแข่งขันประมูล
“คลื่นความถี่ที่จะประมูลในอนาคตก็คาดเดาได้เลยว่าราคาคงจะไม่ได้สูงนักแล้วก็ไม่สร้างรายรับให้กับประเทศ แล้วเขาก็จะแข่งขันกันไม่รุนแรง และเขาก็จะเก็บคลื่นเอาไว้ได้ด้วยถ้าไม่มีการทำสเปคตรัมแค๊ปอีก สรุปก็คือคลื่นความถี่จะถูกล็อกเอาไว้ในมือ 2 รายนี้”
อนาคตของการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม
“ก็พูดยาก การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมเพราะก็ต้องยอมรับว่ากิจการโทรคมนาคมไม่ใช่กิจการที่โตเร็ว margin หรือกำไรมันเริ่มบางลงเพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว แล้วก็ไม่มีการลงทุน”
พรเทพมองว่าการหามาตรการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการแข่งขันอาจทำได้ยากหากในอนาคตทั้ง 2 บริษัทควบรวมกันสำเร็จ ที่พอจะทำได้คือการรักษาการแข่งขันที่มีอยู่เดิมเอาไว้ อย่างที่ผ่านมาตอนที่มีการประมูลคลื่น 4G ก็ยังมีบริษัท JAS เข้ามาประมูลแสดงให้เห็นว่ายังมีบริษัทที่พอจะมองเห็นว่าเข้ามาในตลาดนี้ได้ หรืออย่างบริษัทอย่าง NT ที่เป็นบริษัทที่เกิดจากการรวมกันระหว่าง CAT กับ TOT ที่แม้ว่าตอนนี้จะมีคลื่นในมือแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและยังไม่ได้มีส่วนแบ่งตลาดมากนัก
“อย่างน้อยเราต้องลดอุปสรรคเพื่อให้คนที่เขาคิดว่าอยากเข้ามาแข่งได้ลองเข้ามา เช่น การทำ Spectrum Cap จะทำให้รายเดิมที่มีคลื่นถึงเพดานแล้วไม่สามารถเข้ามาประมูลอีกได้ หรือการกันคลื่นความถี่บางคลื่นให้กับผู้ประกอบการรายใหม่โดยเฉพาะในราคาที่ถูก คือไปส่งเสริมเลยให้เขาเข้ามาแข่ง”
พรเทพยังเสนออีกทางเลือกคือการส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีโครงข่ายของตัวเองแต่เช่าใช้โครงข่ายสัญญาณจากรายใหญ่มาทำตลาดค้าปลีกแข่งหรือที่เรียกว่า Mobile Virtual Network Operator (MVNO) ให้มากขึ้นกว่านี้ แต่เขาบอกว่า MVNOจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช.มาช่วยทำให้เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีบริษัทที่พยายามทำอยู่แต่ก็ยังเป็นแค่ส่วนเล็กๆ อย่างของบริษัทที่ชื่อ Penguin
“อันนี้ต้องใช้พลังของ กสทช.ในการทำ เพราะโดยปกติแล้วถ้าปล่อยไว้เฉยๆ เจ้าของโครงข่ายก็ไม่อยากให้คนอื่นมาใช้โครงข่ายมาแข่งกับตัวเอง อาจจะต้องมีมาตราการกำกับดูแลตรงนี้เพิ่มเติม” พรเทพยกตัวอย่างเพิ่มว่าบางประเทศในยุโรปที่อนุญาตให้มีการควบรวมกิจการได้ก็จะตั้งเงื่อนไขไว้ท้ายใบอนุญาตว่าบริษัทต้องให้มี MVNO เข้ามาใช้สัญญาณบนโครงข่ายของบริษัทเป็นระยะเวลากี่ปีและกี่เปอร์เซนต์ของการรับส่งข้อมูลเพื่อเป็นมาตรการเยียวยาและสร้างให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น เพราะถ้าหน่วยงานกำกับดูแลไม่มาช่วยตรงนี้บริษัทก็อาจจะคิดค่าใช้เช่าใช้โครงข่ายกับบริษัทที่เป็น MVNO สูงจนบริษัทเหล่านี้ก็ไม่เข้ามาทำ
เจ้าตลาด
ประเด็นสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ ประเด็นความเป็นเจ้าตลาดในหลายประเภทธุรกิจของ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” หรือซีพี ที่หลายคนกังวลกันเนื่องจากมีห่วงโซ่ธุรกิจทั้งค้าปลีกและค้าส่งอย่างห้างโลตัสที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการต่อจากเทสโก้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” เรียกดีลนี้ว่าเป็นการเอา “ลูกกลับมาในอ้อมอก” ทั้งห้างค้าส่งอย่างแมคโคร ไปจนถึงการมีร้านสะดวกซื้อแบบเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสาขามากที่สุด ส่วนในตลาดโทรคมนาคมที่มีบริษัทในเครืออย่าง “ทรูมูฟ” ก็เป็นถึงอันดับ 2 ของตลาดอยู่แล้วจนเรียกได้ว่าครบวงจร ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีก็มีข่าวที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อความเป็นเจ้าตลาดค้าปลีกของซีพี
กรณีที่น่าจะจำกันได้คือ AIS ที่ขณะนี้แม้ว่าจะเป็นผู้ให้บริการที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในตลาดโทรคมฯ แต่เมื่อปี 2559 ก็มีประเด็นที่ทำให้ AISไม่สามารถวางขายซิมและเติมเงินในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้จนถึงทุกวันนี้เนื่องจาก AIS ไม่ยินยอมที่จะจ่ายค่าวางสินค้าเพิ่ม
จากสภาพดังกล่าวก็อาจกล่าวได้ว่าการจะเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดโทรคมนาคมนอกจากจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าตลาดที่มีอยู่เดิมในการแข่งขันประมูลคลื่นความถี่ ทำการตลาดหาลูกค้าแล้วก็ยังต้องไปพึ่งพาร้านค้าของบริษัทในเครือข่ายเดียวกับบริษัทเจ้าตลาดที่เพิ่งแข่งขันไปในการประมูลคลื่น
“มันก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลจริงๆ เรื่องของอำนาจของซีพีในแต่ละด้าน อันนี้มันคือเรื่องของทุนใหญ่ที่เข้ามากำกับชีวิตความเป็นไปของคนไทยเยอะแยะไปหมด”
พรเทพเห็นว่าในอนาคตธุรกิจจะมีลักษณะคล้ายกับเป็นแพลตฟอร์มมากขึ้นมีความร่วมมือในเชิงข้ามประเภทธุรกิจกันมากขึ้นเกิดการควบรวมธุรกิจทั้งในแนวดิ่ง(ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เช่น บริษัทผู้ผลิตอาหารกับห้างค้าปลีก) และแนวกว้าง(ธุรกิจอื่นในประเภทเดียวกัน เช่น กรณี DTAC – TRUE) มากมายไปหมด แล้วก็อาจจะกีดกันคู่แข่งรายอื่นที่อยู่นอกกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เช่น การให้ส่วนลดเฉพาะการจ่ายเงินผ่านบริการธุรกรรมทางการเงินในร้านค้าปลีกที่อยู่ในเครือบริษัทเดียวกัน กลายเป็นข้อจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคไปเรื่อยๆ รวมไปถึงผู้ผลิตรายย่อยที่มีอำนาจต่อรองน้อยก็ต้องเจอกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการเอาสินค้าไปวางขายตามห้างหรือร้านค้า
“แต่ถามว่าเราจะมีทางออกอย่างไร อันเดียวที่จะพูดได้ก็คือว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องมีความกล้าหาญแล้วก็ร่วมมือกันมากกว่านี้ แล้วก็ตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองในการคุ้มครองผู้บริโภค ผมว่าผู้บริโภคก็พยายามเต็มที่แล้ว”
พรเทพยกกรณีการเข้าซื้อเทสโก้และกรณีควบรวม TRUE-DTACว่าจะเห็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลพยายามจำกัดอำนาจตัวเองโดยอัตโนมัติ เช่นการบอกว่าเรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณา ถ้าหากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของตัวเองก็จะอนุญาตให้ทำได้พร้อมไปกับการให้เหตุผลว่าการแข่งขันไม่ลดลง ไม่เป็นสาระสำคัญหรือไม่ส่งผลต่อผู้บริโภคไปจนถึงการบอกว่า “ลดการแข่งขันแต่ไม่ถึงกับผูกขาด” ทั้งที่เห็นอยู่ชัดเจนว่าถ้าปล่อยให้บริษัททำไปก็จะทำให้การแข่งขันลดลงซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่ควรต้องรอให้เกิดการผูกขาดก่อนเพราะแค่การแข่งขันลดลงก็ส่งผลเสียแล้ว
“บริษัทมือถืออันดับ 2 อันดับ 3 รวมกัน แล้วคุณบอกว่าไม่อยู่ในอำนาจคุณไม่ได้ คุณต้องสืบสวน คุณต้องตรวจสอบ มันจะแย่เลยถ้าไม่ยอมทำเลย แล้วก็ขอให้มีความโปร่งใสในการพิจารณา กขค.เราแทบไม่เห็นอะไรเลยนะตอนรอบเทสโก้โลตัส อยู่ดีๆ ก็ประกาศตูมออกมา แล้วที่ออกมาก็ไม่ใช่คำวินิจฉัยด้วยเป็นแค่ประกาศหน้าเดียวเอาขึ้นเว็บไซต์ เคสใหญ่ขนาดนี้จะต้องมีการไต่สวน ให้ผู้มีส่วนได้เสีย ภาคประชาสังคมประชาชนมาช่วยในการตรวจสอบด้วย”
พรเทพทิ้งท้ายว่าในอนาคตเมื่อการทำธุรกิจเกิดการจับกลุ่มหรือเกิดการควบรวมข้ามไปมาระหว่างธุรกิจหลากหลายประเภทกันการกำกับดูแลก็ซับซ้อนมากอยู่แล้ว และจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นอีกหากเกิดการใช้อำนาจผูกขาดในตลาดหนึ่งมาจัดการกับอีกตลาดหนึ่ง
“ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าหน่วยงานกำกับดูแลของไทยจะตามทันในอนาคต”
แก้ไข : 12.44 น. 30 พ.ย.2564
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)