Skip to main content
sharethis

ส.ว.วิวรรธน์ อภิปรายโหวตนายกฯ อ้างไม่เคยรู้จักไม่รู้ข้อมูล จะให้ ส.ว.เลือกโดยเอาประเทศ ประชาชน สถาบันกษัตริย์มาเสี่ยงไม่ได้ ก่อนเปิดประเด็นเรื่อง บ.แสนสิริสมัย “เศรษฐา” ยังเป็นซีอีโอเคยซื้อที่ดินมาทำธุรกิจโดยเลี่ยงภาษี

22 ส.ค.2566 ที่ประชุมรัฐสภา ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีที่มีเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตอันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย มีการเปิดให้สมาชิกทั้งสองสภาได้อภิปรายต่อตัวเศรษฐาว่าสมควรจะได้รับการเลือกให้เป็นนายกฯ หรือไม่ โดยผู้อภิปรายคนแรกคือ วิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ส.ว. ที่กล่าวถึงประเด็นที่ขณะนี้เศรษฐา กำลังถูกตรวจสอบการซื้อขายที่ดินย่านทองหล่อของบริษัทแสนศิริ ในสมัยที่เศรษฐายังเป็นประธานกรรมการบริหาร

วิวรรธน์กล่าวว่าผู้ที่จะถูกเลือกมาเป็นนายกฯ นั้นต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ต้องมีจริยธรรมเป็นเลิศ แต่เศรษฐากำลังถูกโจมตีในประเด็นเรื่องการซื้อขายที่ดินที่มีการเลี่ยงภาษี ซึ่งเขาพยายามหาข้อมูลกันเองเพราะไม่รู้จักแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยคนนี้ ถาม ส.ว.กันเองก็ไม่มีใครรู้จักกันหรือทราบข้อมูลกัน ถ้าไม่ทราบข้อมูลกันแล้วจะเลือกกันได้อย่างไร

“ผมจะเอาประเทศมาเสี่ยงในการเลือกคนคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นอย่างไร มาปกครองประเทศ เอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน เอาเศรษฐกิจเอาประเทศชาติเอาทุกอย่างมาเป็นประกัน แม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประกันเหรอ ผมฟังแล้วผมก็ว่ามันไม่ถูกต้อง” ส.ว.กล่าว

วิวรรธน์กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าวเขาจึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องซื้อที่ดินของแสนสิริแล้ว พบว่ามีแสนสิริซื้อที่ดินมาประไพทรัพย์ที่มีผู้ถือหุ้น 12 คนมาเพื่อทำธุรกิจซึ่งได้เห็นจากเอกสารที่ชูวิทย์ กมลวิสิทธิ์ นำมาเปิดเผยนั้นทำให้เห็นว่าที่ดินผืนดังกล่าวมีการตัดแบ่งที่ดินเป็น 12 แปลงให้เจ้าของ 12 คนเพื่อเลี่ยงภาษีเนื่องจากการทำให้ที่ดินผืนเล็กลงจะทำให้ราคาที่ดินถูกลงจึงเสียภาษีน้อยลงและทำให้ต้นทุนในการซื้อขายของแสนสิริถูกลงด้วย เพราะถ้าผู้ถือหุ้นในประไพทรัพย์ทั้ง 12 คนยังถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียว ตามกฎหมายภาษีแล้วฐานภาษีที่ดินจะสูง แต่ถ้าตัดแบ่งให้  12 คนถือกรรมสิทธิ์ก็จะทำให้ฐานภาษีต่ำลงเนื่องจากราคาที่ดินแต่ละแปลงจะน้อยลง

ส.ว.กล่าวอีกว่าแสนสิริก็มาซื้อที่ดินแปลงนี้โดยเป็นมติของที่ประชุมบริษัทที่มีเศรษฐายังเป็นซีอีโอ การซื้อที่ดินทั้ง 12 แปลงนี้ยังทำการซื้อกันคนละวันเพื่อทำให้การคิดราคาที่ดินคิดทีละแปลงทำให้มูลค่าการซื้อขายน้อยลง อีกทั้งราคาที่ดินแต่ละแปลงยังตั้งราคาต่างกันนิดหน่อยเพื่อให้เห็นว่าเป็นที่ดินคนละแปลงลักษณะแบบนี้การเสียภาษีก็จะคิดทีละแปลงซึ่งตามกฎหมายมีการกำหนดภาษีที่ดินตามอัตราไว้

วิวรรธน์กล่าวว่าเขาได้คำนวนภาษีจากราคาที่มีการซื้อขายกันคือ 1,570,000,821 บาท เมื่อซื้อแยกแปลงมาทำให้เสียภาษีรวมกันอยู่เพียง 59 ล้านบาท แต่ถ้าแสนสิริทำตรงไปตรงมาซื้อที่ดินนี้ทั้งแปลงโดยไม่แยกแปลงจะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 580 ล้านบาท โดยข้อมูลที่เขาใช้อภิปรายนี้มาจากทั้งของชูวิทย์และสรรพากร

วิวรรธน์ยังวิจารณ์ถึงการให้สัมภาษณ์ของเศรษฐาหลังจากถูกเปิดเผยเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของการวางแผนภาษีของทางบริษัท ซึ่งเขาเห็นว่าถ้าเป็นเรื่องวางแผนภาษีของบริษัทแล้วทำให้รัฐเสียหายก็ไม่ใช่เรื่องการวางแผนภาษีแล้ว เพราะการวางแผนภาษีคือการไปซื้อหุ้นหรือซื้อประกันเพื่อลดหย่อน เขาได้ตั้งคำถามว่ากรณีแบบนี้คือการเลี่ยงภาษีที่ทำให้รัฐเสียหายหรือไม่

วิวรรธน์กล่าวปิดท้ายว่าการเลือกนายกฯ ครั้งนี้สำคัญที่สุด ประเทศชาติจะเจริญได้ต้องเลือกคนที่ซื่อสัตย์และมีจริยธรรม และเชื่อว่า ส.ว.ที่มีสิทธิเลือกนายกฯ ครั้งนี้มีจริยธรรมทุกคน ถ้ารู้ข้อเท็จจริงแล้วเขาน่าจะพิจารณาได้ว่าจะเลือกเศรษฐาหรือไม่ แล้วการทำหน้าที่ ส.ว.ก็ต้องไปปฏิญาณตนต่อหน้าพระมหากษัตริย์ว่าจะทำหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งจากที่เขาได้ยินมาว่ามีการ “แจกกล้วย” ให้ ส.ว. ถ้าส.ว.ไปรับก็เท่ากับผิดคำสาบานแล้วจะโดนลงโทษ

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net