Skip to main content
sharethis

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเห็น “บุ้ง ทะลุวัง” หรือเนติพร เสน่ห์สังคม สาววัย 28 ที่ปรากฏตัวอยู่กับ “หยก” ธนลภย์ ผลัญชัย ที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ และเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับทะลุวัง จนบุ้งตกเป็นที่ถูกวิจารณ์ไปต่างๆ นานา ทั้งวิธีการทำกิจกรรมทางการเมืองที่มีท่าทีดูรุนแรงก้าวร้าว บางครั้งก็เป็นข้อกล่าวหารุนแรงอย่างการบงการหรือใช้ประโยชน์จากเด็ก

ประชาไทชวนบุ้งมานั่งคุยยาวๆ ทั้งประเด็นที่เป็นข้อวิจารณ์ถึงท่าทีต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา การดูแลหยกในสถานะที่บุ้งเปรียบเสมือนเป็นพี่สาวของหยกกลายๆ ไปจนถึงเรื่องราวชีวิตของบุ้งที่ผ่านมา ความฝันถึงสังคมที่เธออยากเห็นและการวางเป้าหมายในชีวิตส่วนตัวของเธอเองที่ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกันไปกับความคิดทางการเมืองของเธอ ณ วันนี้

เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง

นอกจากกิจกรรมทางการเมืองแล้วทำอะไรอยู่บ้าง?

ตอนนี้งานหลักของบุ้งนอกจากออกมาเคลื่อนไหวแล้วก็จะเป็นการรับงานแปลเอกสาร ก่อนหน้าที่จะมาทำกิจกรรมก็เป็นครูสอนพิเศษสอนทั้งแบบตัวต่อตัวและสอนเป็นคลาสก็มีค่ะ มีอยู่ช่วงนึงที่โดนติดกำไลอีเอ็มมันก็ลำบากที่จะทำงานก็เลยพักงานสอนไปช่วงหนึ่งแล้วก็ได้กลับมาทำงานใหม่ อีกรอบหนึ่ง หลังจากออกมาจากเรือนจำแล้ว

ทำไมถึงเข้ามาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อก่อนบุ้งเคยเป็นสลิ่ม เคยเป็น กปปส.มาก่อน แล้วก็ ณ ตอนนั้นคือบุ้งไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าประชาธิปไตยคืออะไร แล้วก็ไม่มี ความเป็นมนุษย์มากพอที่จะเข้าใจข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง มาถึงวันนึงนั่งดูคลิปที่คุณช่อแกพูดว่าแบบเราต้องอธิบาย ให้ ประชาชนเข้าใจก่อนว่าความร้ายแรงของกรณีที่มีการฆ่าคนเสื้อแดงแล้วทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ มันเป็นยังไงมีใครเป็นยังไงบ้าง และ รายละเอียด อะไร เงี้ย ค่ะ

จนกระทั่งบุ้งก็ตาสว่างจากคลิปนั้นคือมันทำให้รู้ว่า อ๋อ คนเสื้อแดงที่โดนยิงมันมีประชาชนคนหนึ่งเขาเป็นแค่คนไร้บ้านที่เขาอยู่แถวนั้นแล้วต้องการที่จะเข้าไปช่วยผู้ชุมนุมที่โดนยิงก็ทำให้เขาถูกสไนเปอร์เข้าที่ศีรษะ เราก็เลยแบบรู้สึกว่า เออ พอมันคิดด้วยเหตุและผลแล้วแบบมันไม่ใช่ใครที่จะแบบอยู่ๆ มีสไนเปอร์ไว้ในครอบครองและสามารถไปยิงหัวใครได้

มันก็เลยทำให้บุ้งรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ว่าการเป็นสลิ่มของบุ้งในอดีตหรือการเพิกเฉยทางการเมืองมันส่งผลให้รัฐมีความ ชอบธรรมมากพอที่จะฆ่าคน ตอนนั้นเราก็มีการทำบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ด้วย แล้วก็เอาหลักฐานมาพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าคนเสื้อแดง จนถึงทุกวันนี้คนเสื้อแดงก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรม

ตอนนั้นบุ้งก็รู้สึกผิดมาก พอตาสว่างปุ๊บก็รู้สึกว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ทำแบบนั้นแล้ว เราก็จะออกมาเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนที่ถูกฆ่าในอดีต แรกเริ่มเดิมทีบุ้งก็ไม่ได้มีสรรพกำลังอะไรมาก จะเคลื่อนไหวอยู่ในโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยให้กำลังใจคนที่ออกมาต่อสู้

จนกระทั่งบุ้งสอนพิเศษอยู่แล้วก็มีนักเรียนคนหนึ่งของบุ้งที่เป็น LGBT ที่ตอนนั้นมีนักเรียนเลวช่วง 63-64 เขาก็เรียกร้องเรื่อง ทรงผมแล้วก็เรื่องปฏิรูปการศึกษาจนกระทั่งเด็กนักเรียนของบุ้งก็ถามบุ้งว่า เออแล้วหนูอยู่ตรงไหนในสมการนี้ เพราะว่าหนูไม่ใช่ทั้งชายและก็ไม่ใช่ทั้งหญิงหนูมีสิทธิ์ไหมที่หนูจะเอ็กซ์เพรสตัวเองในรูปแบบที่หนูสบายใจและเป็นตัวตนของหนู

บุ้งก็เลยปรึกษาหลายคนมาก ปรึกษานักกฎหมาย ปรึกษาครอบครัว ปรึกษาเยอะมาก จนได้ข้อสรุปมาว่าบุ้งจะไปยื่นเรื่องกับ กระทรวงศึกษาธิการ ให้มีการปฏิรูปทรงผมของนักเรียน LGBT ภายในโรงเรียน แล้วก็เสนอเรื่องนี้ไปกับทางนักเรียนเลว ทำให้ตอนนั้นได้มาทำงานกับนักเรียนเลวในตอนนั้น

ที่บอกว่าตัวเองเคยเป็นสลิ่มแล้วเปลี่ยนมาใช่มั้ย มองเรื่องการเปลี่ยนอย่างนี้ยังไงบ้างเพราะคนก็จะรู้สึกว่าอีพวกนี้มันสลิ่มเก่าอะไรอย่างนี้?

เวลาถูกด่าว่าอีสลิ่มเก่าก็เข้าใจได้ ก็เป็นจริงๆ ไม่ได้เจ็บปวดอะไร เพียงแต่ว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้แล้วก็ในอดีตถ้าหากว่าคุณเคยเป็นสลิ่มแล้วหรือเคยเป็นคนที่เพิกเฉยทางการเมืองสิ่งเหล่านี้มันร้ายแรงมาก คือคุณไม่สนใจการเมืองแล้วมันร้ายแรงถึงขั้นว่ามีการพรากชีวิตของคนได้มีคนถูกฆ่าถูกอุ้มหายถูกอุ้มฆ่า แล้วสิ่งเหล่านี้คือมันเป็นสิ่งที่จนถึงวันตายบุ้งก็ชดใช้ไม่ได้

ถ้าทำผิดพลาดมาในอดีตก็แก้ไขค่ะ ใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดมา

พอเข้ามาร่วมทำกิจกรรมแล้วบทบาทในขบวนการนักกิจกรรมเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนที่นักเรียนเลวทำกิจกรรมของเขามันก็จะเป็นความคิดของเด็กๆ ของพวกเขาที่เขาทำกันเอง ส่วนบุ้งก็จะเหมือนสนับสนุนอยู่ด้านหลังมากกว่า เพราะว่าเด็กหลายๆ คนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความพร้อมหรือว่ามีทรัพยากรมากพอที่จะออกมาเคลื่อนไหว บุ้งจะเอาเงินเก็บของบุ้งออกมาช่วยอย่างเช่น ใครไม่มีเงินมาหรือว่าไม่มีเงินจะทำกิจกรรม ไม่มีค่าป้ายไม่มีอะไร จนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่งที่น้องๆ เขาก็เข้าที่เข้าทางอะไรของเขาแล้ว เราก็ช่วยทุกอย่างเท่าที่เราจะ ช่วยได้อยู่ข้างหลัง ไม่ได้เป็นหัวไม่ได้เป็นตัวออกหน้าอะไรเลยในตอนนั้น

จากที่สอนพิเศษให้กับเด็กๆ ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในช่วงที่กระแสการเมืองกำลังขึ้น เด็กๆ รอบตัวเขามองเรื่องการออกมาเรียกร้องทางการเมืองอย่างไรบ้าง?

คนที่บุ้งสอนมีเด็กหลายเเบบมาก มีทั้งที่มาจากครอบครัวชนชั้นนำเลยเจ้าของธุรกิจใหญ่ในประเทศนี้กับที่เป็นชนชั้นกลาง หรือ บางคนเขาก็รวมตัวกันมาแล้วเขาบอกว่าเขาไม่มีเงินแต่เขาอยากสอบ GAT PAT ได้ บุ้งช่วยเขาได้ไหม

บางคนเขาก็จะมีความเห็นนะ บางคนก็จะมีความเห็นแบบเออ ดีจังเลยอยากให้ประเทศเปลี่ยน ส่วนบางคนที่อยู่โรงเรียนนานาชาติเขาก็จะไม่เข้าใจว่าโรงเรียนไทยธรรมดาที่ไม่ใช่นานาชาติแบบที่เขาเรียนอยู่ เด็กนักเรียนย้อมผมไปโรงเรียนไม่ได้ เหรอ มันก็จะต่างมุมต่างความคิดและเด็กแต่ละคนก็จะให้แนวคิดอะไรกับบุ้งมาคิดว่าควรจะปรับเปลี่ยนเพื่อให้การศึกษามันไปข้างหน้า

ตอนช่วงนักเรียนเลวยังไม่มี แต่ตอนนี้ก็มีนักเรียนคนหนึ่งของบุ้งภูมิใจในตัวเขามากเลยก็คือตอนที่บุ้งติดคุกแล้วเขาก็ทำติ๊กต็อก ชุดหนึ่งที่อธิบายว่าบุ้งกับใบปอคือใครแล้ว ทำไมการอดอาหารของบุ้งกับใบปอถึงไม่ยุติธรรมกับเค้า แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวและคลิปนั้นก็เหมือนคนดูไปเป็นล้านคน แล้วบุ้งออกมาจากเรือนจำนักเรียนของบุ้งก็แบบร้องไห้แล้ว เขาก็ส่งคลิปอันนี้มาให้บุ้งดู พี่บุ้งหนูทำคลิปอันนี้ให้พี่บุ้งพี่ใบปอด้วยนะคะเพราะว่าหนูหวังว่าสิ่งที่หนูทำมันจะช่วยให้พี่ได้รับความยุติธรรมบ้าง ตอนนั้นก็โอ้ย ดีใจมาก

ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือใบปอ(ซ้าย) และบุ้งขณะเดินออกจากศาลอาญากรุงเทพใต้

เหมือนว่าวิธีการและท่าทีของบุ้งและทะลุวังที่ใช้ในเคลื่อนไหวทางการเมืองจะเปลี่ยนไป อะไรเป็นจุดที่ทำให้วิธีการเปลี่ยน?

ตอนที่บุ้งอยู่กับนักเรียนเลวตอนนั้นก็เห็นว่า น้องๆ ก็ทำทุกวิถีทางเลยตั้งแต่แบบสร้างสรรค์มากๆ เอาธงสีรุ้งไปปู เรียกร้องโดย สงบ ไปถึงแบบจัดม็อบก็จริงแต่เป็นม็อบที่ไม่มีความรุนแรงอะไร ไม่มีคำด่าทออยู่บนหลักการสุดๆ ก็มี ไปจนถึงแบบเด็กเขาก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว เขาก็เริ่มตัดผมหรือทำอะไรที่มันมากขึ้นก็ไม่เคยได้รับการตอบรับอะไรเลย เคยถึงขนาดบอกว่าให้รัฐมนตรีออกมาคุยด้วยว่า เออ คุณจะหยุดการคุกคามเด็กภายในโรงเรียนได้ยังไง รัฐมนตรีก็ตอบไม่ได้แล้วก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของครู แต่ละคน เราก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว

ส่วนตัวบุ้งเอง ภายหลังบุ้งก็ออกมาเรียกร้องเองด้วย ตอนนั้นช่วงโควิดบุ้งก็ออกมาเรียกร้องให้มีวัคซีนให้กับเด็กและเยาวชน เพราะรู้สึกว่าการเรียนออนไลน์ไม่ได้ตอบโจทย์กับทุกคน บุ้งก็โดนคดีอีก

ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน(ซ้าย) และใบปอ(ขวา) ทำโพลล์ขบวนเสด็จที่สยามพารากอนซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้บุ้งถูกดำเนินคดีด้วย ภาพโดย กันต์ แสงทอง

ไม่ว่าเราจะทำอะไรเขาก็จะใช้นิติสงครามกับเรา ยัดคดีเราเพื่อให้เราเงียบ เพื่อให้เราอ่อนล้าหมดแรง มันเลยมาจุดหนึ่งที่บุ้งคุยกันกับสายน้ำแล้วก็รู้สึกว่า เออเราไม่ชอบการที่เราต้องพูดอ้อมไปอ้อมมาไม่แตะต้นตอของปัญหาซักทีนึง เพราะว่าทุกๆ ปัญหานำไปสู่ปัญหาเดียวเลยคือการที่ยังมีการปกป้องและห้ามวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ก็เลยตกลงกันว่าโอเคงั้นเราเคลื่อนไหวในรูปแบบของการใช้โพลล์แหละแต่ว่าเราจะตั้งคำถามโดยตรงไปถึงสถาบันเลย แล้วพอเราทำมาเรื่อยๆ แค่เราตั้ง คำถามเราก็ติดคุก แค่เราตั้งคำถามเราก็สามารถเกือบตายได้

มาจนถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าทะลุวังถ้าไม่ได้แรงด้วยเนื้อหาก็อาจจะแรงด้วยท่าที จริงๆ แล้วทะลุวังก็จะเป็นอย่างนี้มาโดยตลอดตั้งแต่รอบแรกที่เราทำโพลล์แล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราเป็นมาตลอดคือเราจะไม่ใช้ถ้อยคำรุนแรงกับประชาชนหรือกับเพื่อนร่วมงานหรือกับเพื่อนร่วมทางที่เราสู้ แต่เราจะใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทอโดยตรงกลับไปที่เผด็จการ กลับไปที่ใครก็ตามที่ยังร่วมมือกันแล้วยังมีรัฐเผด็จการอยู่ในประเทศ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ

มองว่าที่ท่าทีเปลี่ยนไปเพราะว่าที่ผ่านมาข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง?

ก็ส่วนหนึ่งด้วย คือเราไม่ได้รับการตอบสนอง เราก็เหนื่อยแล้วกับการที่เราคิดทุกรูปแบบแล้ว สร้างสรรค์มาก น้องอันนา(อันนานนท์) ก็เคยแบบโรยตัวลงมา คือแบบแทบจะเป็นสแตนด์อินในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดได้แล้ว แต่ว่าผู้มีอำนาจก็เห็นว่าเราคือตัวปัญหาไม่คิดว่าจะแก้ปัญหาที่เราเผชิญ เราก็เลยรู้สึกว่าเออ โอเคการศึกษามีปัญหา การรักษาพยาบาลมีปัญหา โครงสร้างภายในประเทศมีปัญหา นำไปสู่ปัญหาเดียวนำไปสู่เป้าหมายเดียวเลยก็คือเราต้องการให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ

แต่ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปก็ทำให้ช่วงหลังๆ มีเสียงวิจารณ์ว่ามีภาพรุนแรงมากขึ้นแล้วก็ทำให้เสียงสนับสนุนในการเคลื่อนไหวน้อยลงไปด้วยหรือไม่?

ถ้าใครที่เพิ่งมาตามทะลุวังแล้วรู้สึกว่าโอ้ย ฉันไม่ชอบแกเลย ก็แปลว่าเขาอาจจะไม่ได้ตามมาตั้งแต่ต้น ทะลุวังเฉยๆ ที่ไม่ใช่แค่ตัวบุ้งนะคะ ทะลุวังก็ด่ามาตั้งนานแล้วด่าผู้มีอำนาจทุกคนเลย ไม่สนเลยว่าเป็นใคร ทหาร ตำรวจ ใครก็ตามไม่ว่าคุณจะมีอำนาจแค่ไหน ถ้าคุณไม่ได้ทำตามจุดประสงค์ของประชาชน ก็จะโดนทะลุวังด่าอยู่แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราเอง มีแค่ 2 มือ 1 ปาก แล้วก็มีแค่ 1 ชีวิต 1 ร่างกาย เราไม่มีอาวุธ เราไม่ผูกขาดอำนาจภายในประเทศ เราไม่สามารถที่จะไปยัดคดีใครได้ ถ้าไม่ให้เราด่าแล้วจะให้เราทำอะไร

คือ ถ้าคุณบอกว่าไม่ขอสนับสนุนแล้วเพราะว่าอยู่ๆ เราก็รุนแรงขึ้นอันนี้แสดงว่าเขาอาจจะไม่ได้ตามมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

แต่มันก็จะมีภาพอย่างกรณีที่ สน.สำราญราษฎร์หรือกรณีพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงวิจารณ์มาว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องการใช้ภาษาอย่างเดียว

เรื่องที่ สน.สำราญราษฎร์เนี่ยก็คือจะเล่าให้ฟังว่า หยก(ธนลภย์ ผลัญชัย) โดนคดีมาตรา 112 จนต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจทีนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือตำรวจก็ไม่วายไปแจ้งข้อหาน้องเพิ่มถึงในคุกเลย ถ้าวันนั้นบุ้งไม่ไปเยี่ยมน้องอยู่แล้วแล้วบุ้งไม่ทราบว่ามันมีตำรวจกำลังจะมาคือเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้วิธีอะไรบ้างในการบังคับน้องเพื่อให้น้องต้องรับทราบข้อกล่าวหา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแบบเพื่อนๆ ทุกๆ ก็โกรธว่าน้องอยู่ในคุกจะได้เรียนหนังสือไหมก็ไม่รู้ ก็ยังมาทำกับน้องแบบนี้อีก มันก็เลยนำไปสู่การสาดสี

จริงแล้วคือความรุนแรงมันไม่ได้เริ่มต้นจากเราก่อนคือคุณอาจจะไม่ได้เห็นว่าตำรวจมายืนด่าเราหรืออะไร แต่เขาใช้ความรุนแรงในรูปแบบของกฎหมาย ใช้ความรุนแรงในรูปแบบของอื่นๆ ที่เขาทำได้กับเรา แล้วสิ่งเหล่านี้คือมันรุนแรงกว่าการที่เรายืนด่าเขาหรือการที่เราสาดสีใส่แน่นอน

กรณีเพื่อไทยก็คือ ทะลุวังและเรากับเพื่อนๆ คนอื่นก็รู้สึกมาสักพักละว่า เขาน่าจะตระบัดสัตย์ เขาน่าจะทรยศกับประชาชน บุ้งไม่ได้เลือกเขามาก็จริงแต่ว่ามันก็เป็นสิทธิเสรีภาพที่วิพากษ์วิจารณ์เขาได้ เราก็ต้องการให้เขาทำในสิ่งที่เขาหาเสียงเอาไว้ อย่างคุณเศรษฐาเคยหาเสียงว่ามาตรา 112 มันต้องแก้ไข มาวันหนึ่งเขาก็พลิกคำพูดแล้วหมอชลน่านก็บอกว่าการหาเสียงมันก็ เป็นเรื่องของการหาเสียงเฉยๆ มันไม่ใช่นโยบาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรุนแรงหมดเลย คุณหลอกให้ประชาชนไปเลือกคุณและคุณก็มาโกหกมาตระบัดสัตย์ มาทรยศประชาชนอันนี้มันรุนแรงกว่าที่บุ้งจะไปสาดสีหรือหยกไปปาแป้งใส่เค้ามากๆ ความรุนแรงมันเทียบกันไม่ได้

บุ้งไปประท้วงกับเพื่อนๆ กลุ่มทะลุวังที่พรรคเพื่อไทยเมื่อ 7 ส.ค.2566 ภาพโดย แมวส้ม

นับตั้งแต่ตอนไปทำกับนักเรียนเลวจนมาถึงวันนี้อีกด้านหนึ่งที่คนรับรู้ก็คือบุ้งเข้ามาดูแลเด็กๆ ที่ออกมาทำกิจกรรมแล้วมีปัญหากับที่บ้านพ่อมันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้จับพลัดจับผลูต้องมาทำ?

ตอนนั้นบังเอิญว่าบุ้งเป็นคนอายุเยอะที่สุดทำงานแล้วมีทรัพยากรมากที่สุดไม่ได้หมายความว่ามีมากล้นอะไรนะคะ บุ้งช่วยเหลืออะไรได้บุ้งก็ช่วยเเล้วก็เด็กที่ออกมาเคลื่อนไหว ในตอนนั้นบุ้งเข้าใจว่าเด็กกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่เข้ามาเป็นนักกิจกรรมมันเกิดจากการที่สถาบันครอบครัวมันมีปัญหา เด็กๆ ไม่ได้รับพื้นที่ในการที่จะพูดหรือส่งเสียงเขาตั้งแต่ในสถาบันครอบครัวแล้ว พอเด็กแต่ละคนเห็นว่า เออ ทำไมครอบครัวถึงเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าโครงสร้างภายในประเทศมันกดทับมาอีกทีหนึ่ง ก็เลยทำให้เด็กๆ ออกมาเรียกร้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเชิงโครงสร้างภายในประเทศเพื่อที่ว่าเด็กคนอื่นจะได้ไม่ต้องเจอแบบเขา มันก็เลยมีปัญหาทับซ้อนหลายอย่างมาก

ตอนคนที่บุ้งดูแลมีหลายคนมาก สิ่งที่บุ้งเผชิญในตอนนั้นก็มีตั้งแต่ผู้ปกครองขู่จะเอาตำรวจมาจับบุ้งหรือขู่ฆ่า ขู่ดักทำร้ายก็มี แต่ว่าบุ้งให้คำตอบไปกับผู้ปกครองเหล่านั้นว่าไม่ได้กักขังลูกเค้า อีกเรื่องหนึ่งก็คือถ้าบุ้งกลัวบุ้งก็คงไม่ออกมาตั้งแต่ต้น ใครสะดวกแบบไหนก็ทำได้ แจ้งความบุ้งก็แจ้งได้ แต่ก็รู้สึกว่าส่วนตัวบุ้งเองในวัยเด็กของบุ้งมีคุณพ่อคุณแม่ปกป้อง แล้วก็มีพี่สาวมีพี่น้องเยอะ ครอบครัวบุ้งก็ค่อนข้างแข็งแรงก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เด็กที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยต้องรู้สึกโดดเดี่ยว ก็เลยจะทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนเขา

อีกอย่างหนึ่ง คือบุ้งยังสลัดความรู้สึกผิดจากในอดีตที่เคยเป็นสลิ่มและการเป็นสลิ่มของเรามันทำให้มีคนตายแล้วความยุติธรรมก็ไม่เคยคืนสู่เขาด้วย มันก็เลยเป็นแรงขับในหลายๆ ด้าน เมื่อตัดสินใจจะทำแล้วมันก็จะไม่ยอมแพ้

ตอนนั้นดูแลเยอะมั้ย?

ประมาณ 10 กว่าคนนะคะ

แล้วตอนนี้คนที่เคยดูแลอยู่เป็นไงบ้างแล้ว?

มันก็จะมีบางคนที่เขาก็กลับไปสู่ครอบครัวของเขาได้ พอมาถึงจุดนึงพ่อแม่ผู้ปกครองเหล่านั้นที่เคยขู่ฆ่าบุ้งหรือเกลียดบุ้งมาก วันหนึ่งเขาก็เปลี่ยนความคิดมาเข้าใจว่าสิ่งที่เด็กๆ ทำในตอนนั้นน่ะคือเขาไม่ได้เรียกร้องให้แค่ตัวเขาเองหรือว่าใครไปล้างสมองเขา เขาต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประเทศนี้คือเด็กๆ เขาใจใหญ่มาก

วันนึงพ่อแม่เข้าใจเด็กหลายคนที่เคยอยู่กับบุ้งแล้วมาวันนี้ก็สามารถอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ได้แล้วมันก็เป็นเรื่องดีที่เราสามารถอยู่ ข้างๆ ในวันที่เขาแย่ได้ แล้ว ณ ตอนนี้สถาบันครอบครัวของเขากลับมาแข็งแรงแล้ว

น้องที่มาชุมนุมกันเขามีปัญหาครอบครัวกัน แล้วเจอปัญหาเดียวกันนี้บ้างมั้ย?

ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเราทำได้แต่ไม่ต้องออกมาเองมั้ย ก็มีเหมือนกันที่ไม่เข้าใจ แต่ว่าพอเขาติดตามสิ่งที่เราทำเขาก็เข้าใจไปเองตามกาลเวลาแต่ต้องใช้เวลา บุ้งก็จะมีคนรักที่อยู่ข้างๆ เพื่อนก็จะเข้าใจ

แต่ที่บอกว่าพอมีเรื่องก็ไปปรึกษากับพ่อคือพอเขารู้ว่าบุ้งกำลังทำอะไรก็มาสนับสนุนเลย?

เป็นเรื่องก่อนเข้าไปร่วมกับนักเรียนเลว เหมือนเราไปขอคำปรึกษาทางกฎหมายกับเขาแล้วเขาก็ให้คำตอบมาว่าต้องไปยื่นที่ไหนบ้าง

พ่อเหมือนเข้าใจแนวคิดกันอยู่แล้วประมาณหนึ่งแต่แค่เป็นเรื่องไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหว?

ใช่ มันเหมือนพอคนจัดม็อบคือบุ้งเขาก็จะแบบ อ้าวทำไมลูกต้องไปทำขนาดนั้น

แล้วพอต้องมาดูแลเด็กๆ ที่ออกมาทำกิจกรรมกันแบบนี้ก็มีเสียงวิจารณ์ตามมาว่าใช้ประโยชน์เด็กหรือเปล่า หรือว่าไปสั่งให้เขาทำนั่นทำนี่หรือเปล่า มองข้อวิจารณ์พวกนี้อย่างไร?

คือก็รู้สึกโกรธนะ ว่าทำไมถึงคิดว่าจะต้องบุ้งจะใช้ประโยชน์ โอเค บุ้งอาจจะดูรุนแรงแต่ในความเป็นจริงในชีวิตจริงๆ ของบุ้งก็เป็นเหมือนคนทั่วไป มันไม่มีการที่บุ้งแสวงหาผลประโยชน์ จริงๆ คือถ้าติดตามมาโดยตลอดก็จะรู้ว่านักกิจกรรมหลายๆ คนที่ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองบางคนก็ต้องขูดรีดตัวเองมาก ขูดรีดตัวเองสูงด้วยซ้ำ ต้องเสียเวลาทำงานเสียเวลาทำมาหากิน ต้องแบกรับคดี แบกรับความเครียดเยอะแยะ

บุ้งไปรับหยกที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนบ้านปรานี จ.นครปฐมหลังศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อ 18 พ.ค.2566 ภาพโดย แมวส้ม

อย่างเรื่องหยกมันก็จะมีหลายๆ คนที่พูดว่าบุ้งได้ประโยชน์จากหยก จะเล่าให้ฟังเลยว่าหยกเขาขอมาอยู่กับบุ้งตั้งแต่ตอนอยู่ในเรือนจำ แล้วเขาก็ถามว่า ถ้าสมมติว่าหนูได้ออกไปอ่ะหนูไปอยู่ด้วยได้ไหม บุ้งก็ตกใจแล้วก็งงว่าทำไม ต้องเป็นบุ้งทำไมต้องขอบุ้ง แล้วหยกก็น่าจะเห็นเขาเป็นเด็กฉลาดเค้าก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร พี่บุ้งกลับไปคิดวันสองวันก่อนก็ได้แล้วก็มาบอกหนู ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร

เวลาจะเอาใครมาอยู่ด้วยบุ้งก็ต้องไปปรึกษาแฟน ปรึกษาครอบครัว ว่าบุ้งจะสามารถทำได้ไหม แล้วก็ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ที่หยกออกมาจากเรือนจำ ทุกบาททุกสตางค์ที่ดูแลน้องก็เป็นเงินของบุ้งที่ทำงานกับแฟนทำงานมา แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะขอใครและจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีใครให้บุ้งเงินที่เลี้ยงหยก ก็เลยงงๆ เหมือนกันกับข้อกล่าวหาว่าทำไมถึงคิดว่าหยกจะสามารถให้ประโยชน์อะไรได้

ถ้าเป็นประโยชน์ที่บุ้งได้รับจากหยกมันก็คงจะเป็นความหวังมั้ง ในทุกๆ วันที่บุ้งตื่นมาแล้วแบบ โห ทำไมเด็กคนนี้เก่งจังเลย ทำไมเขาไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับคำวิจารณ์ที่สังคมกล่าวหาเขาทั้งๆ ที่มันไม่เป็นเรื่องจริงสังคมพยายามทำให้หยกกับบุ้งเป็นปีศาจ ขณะที่จริงๆ แล้วคือเรากำลังเรียกร้องสิทธิพื้นฐานมากก็คือ เด็กคนหนึ่งต้องได้รับการศึกษา

แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือข่าวโกหกข่าวลือเรื่องอื่นๆ เหมือนลดทอนการต่อสู้ของเรา ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเรา ขณะเดียวกันหยกก็ยังยืนอยู่ได้อย่างกล้าหาญ หยกก็ยังเป็นเด็กที่น่ารัก แล้วทุกวันใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ยังเห็นว่าเค้าร่าเริงมีความหวังในทุกๆ วัน ก็รู้สึกว่าเออ เขาเก่งจังเลยแล้วบุ้งก็ได้กำลังใจดีๆ จากเขา

แต่ข้อวิจารณ์แบบนี้ก็ทำให้ข้อเรียกร้องทางการเมืองก็ได้รับการสนับสนุนน้อยลงไปด้วย?

ถ้าอย่างเรื่องหยก บุ้งขอใช้คำว่าบุ้งไม่เข้าใจสังคมมากกว่า บุ้งเข้าใจว่ามนุษย์วิจารณ์คนตัวเล็กตัวน้อยมันง่ายกว่าการที่จะลุกขึ้นยืน กล้าหาญแล้วต่อสู้กับผู้มีอำนาจ การทำร้ายคนตัวเล็กตัวน้อยอาจจะง่ายกว่าสำหรับเขาเพราะเขารู้สึกว่าหยกเป็นปัญหาเหลือเกินแล้วหยกจะต้องถูกแก้ไข

สิ่งที่เขาควรทำคือควรจะตั้งคำถามกับระบบ ควรจะตั้งคำถามกับโรงเรียนมากกว่าว่า จริงหรือที่การมอบตัวของหยกไม่เสร็จสิ้น เพียงเพราะว่ามันเป็นเรื่องของผู้ปกครอง บุ้งมั่นใจมากว่าหลายๆ คนที่ได้ดิบได้ดีในประเทศนี้หรือในโลกใบนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการที่พ่อแม่แท้ๆ มามอบตัว สิ่งนั้นไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับเด็กคนหนึ่งได้รับการศึกษา บุ้งก็อยากจะถามกลับไปสังคมหรือเรียกร้องกลับไปที่สังคมว่าอยากให้เขาตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจมากกว่าจะมาโจมตีหยกว่าทำไมหยกถึงรุนแรงก้าวร้าว

บุ้งมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ยุติธรรมกับหยกเค้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งสูงแค่ 146 หนัก 44 ตัวเล็กมากเลยนะ แต่ใจเขาใหญ่มากแล้วเขากล้าหาญที่จะลุกขึ้นต่อกรกับทุกอำนาจที่ไม่ยุติธรรม คือ คุณควรจะสนับสนุนและให้กำลังใจเขามากกว่า ไม่ว่าวิธีการที่เขาทำจะก้าวร้าวหรือไม่ แล้วจริงๆ คือการปีนรั้วมันก็ไม่ได้ก้าวร้าวเลย มันไม่รุนแรงเท่าการที่ครูอนุญาตให้เพื่อนผู้ชายอุ้มหยกลงมาจากรถบัสแล้วเอามาวางไว้หน้ารถแล้วหยกก็ขวางเพราะว่าเขารู้สึกว่าการไปทำกิจกรรมในครั้งนี้เขาต้องได้ร่วมด้วยมันเป็นสิทธิ์ของเค้าเต็มที่เลย หยกไม่ได้ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของใคร แต่ตอนนี้โรงเรียนกำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของหยกอยู่

แล้วที่ตอนนี้มีประเด็นเรื่องหยกอยู่มันมีปัญหาติดขัดหรือติดล็อกอะไร และปัจจัยอะไรที่ทำให้มันแก้ไม่ได้?

ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ มันเกิดจากสิ่งที่หยกกำลังทำไปสั่นสะเทือนอำนาจภายในประเทศ สั่นสะเทือนผู้มีอำนาจสั่นสะเทือนปัญหาเชิงโครงสร้าง แตะเต็มๆ เลย ก็อาจจะทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาต่างๆ นานาแบบที่ไม่เข้าใจน้องแล้วก็เข้าใจได้ค่ะในคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น แต่ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์บางอันที่ทำให้หยกดูเหมือนเป็นปีศาจร้ายก็เพราะว่าหยกกำลังไปสั่นสะเทือนอำนาจของผู้มีอำนาจอยู่

ปัญหาที่แท้จริงแล้วมันไม่ได้เกิดจากหยกไม่มีผู้ปกครองเพราะว่าจริงๆ แล้วทางโรงเรียนก็พยายามจะไล่หยกออกตั้งแต่ตอนที่หยกยังอยู่ภายในเรือนจำแล้ว โดยเขาใส่กฎเข้าไปเพิ่มว่าหากเด็กคนนั้นต้องโทษคดีทางอาญาก็จะไม่ได้สิทธิ์เรียนหนังสือกับเขาตอนหลังเขาก็แอบไปเอากฎตรงนี้ออกเอากฎนี้ใส่  เขามีความพยายามมาตั้งแต่น้องโดน 112 แล้วว่าจะไม่รับมอบตัวน้อง เพียงแต่ว่า ณ ตอนนั้นเราก็สู้กันจนกระทั่งน้องได้มอบตัว แล้วมาถึงวันนี้เขาก็ไล่หยกออกอีก

จริงๆ แล้วโรงเรียนก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้คือปัญหามันเกิดจากระบบในประเทศนี้ที่มันผิดปกติ ในประเทศที่มันเจริญแล้วมันไม่มีเด็กคนไหนหรอกที่ไม่ได้มอบตัวเพียงเพราะว่าเขาไม่มีพ่อแม่ หรือไม่มีพ่อแม่ที่แท้จริงตามสายเลือดมาแสดงตัว

บุ้ง และหยกพร้อมเพื่อนนักกิจกรรมที่ไปยืนรอส่งหยกเพื่อไปค่ายภาษาจีนของโรงเรียนแต่ทางโรงเรียนไม่ให้ร่วมและให้เพื่อนนักเรียนอุ้มตัวหยกลงจากรถ เมื่อ 31 ส.ค.2566 ภาพโดย แมวส้ม

แล้วถ้าทางโรงเรียนอ้างว่าผู้ปกครองจะต้องเป็นพ่อแม่ตามกฎหมายแล้วเค้าก็แปะ พ.ร.บ.ผู้ปกครองมาซึ่งจริงๆ แล้วใน พ.ร.บ.ผู้ปกครองตัวบุ้งเองก็เป็นผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกันคือ พ.ร.บ.ผู้ปกครองระบุเอาไว้ว่าจะต้องเป็นบุพการีหรือเป็นเจ้านายในที่ทำงานก็ได้หรือเป็นคนที่อุปการะเลี้ยงดูอยู่ สิ่งนี้จริงๆ แล้วคือบุ้งก็เป็นผู้ปกครองตามกฎหมายแล้วเหมือนกัน บุ้งก็สามารถมอบตัวได้

ฉะนั้นจริงๆ แล้วก็อยากจะถามสังคมไปว่าคิดจริงๆ เหรอว่ามันเป็นเรื่องของผู้ปกครอง จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของมาตรา 112 ที่น้องโดนต่างหากที่ทำให้แต่ละคนกลั่นแกล้งน้องกันขนาดนี้

คิดว่าทางออกของเรื่องนี้คืออะไร?

สำหรับบุ้งคือมีทรัพยากรมากพอที่จะให้หยกเลือกได้เลยว่าหยกจะเอาแบบไหน บุ้งมั่นใจว่าทั้งบุ้งและแฟนและครอบครัวของเราทั้งสองคนมีทรัพยากรมากพอที่จะดูแลน้องและให้น้องมีทางเลือกมากกว่าเด็กหลายคนในประเทศนี้อีก แต่ว่าในทางออกนี้มันจะเป็นอย่างไรก็คือต้องให้หยกเลือก แล้วหยกเนี่ยเขาไม่ใช่เด็กที่ไร้สาระ คือวันนึงเขาอาจจะมีการใช้ชีวิตหรือเล่นบ้างแต่ว่าเขาเป็นเด็กที่มีความคิดมีการวางแผนในอนาคตของเขาอยู่แล้ว ก็อาจจะต้องมาคอยดูกันว่าในวันข้างหน้าหยกจะตัดสินใจยังไงไป แล้วบุ้งก็มีหน้าที่ที่สนับสนุนการตัดสินใจนั้นของน้องแค่นั้นเอง

ถ้าหยกยังคิดอยู่ว่าหยกต้องได้เรียนที่เนี่ยพอเข้ามอบตัวไปแล้ว ซึ่งก็ถูกของเขานะเขาก็ต้องได้เรียน

ที่ผ่านมาด้วยบทบาทที่บุ้งต้องมาดูแลน้องๆ บุ้งต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้างอีกไหมนอกจากเสียงก่นด่า อย่างเช่นเคยช็อตหรือว่ามีเรื่องที่อยากได้ความช่วยเหลือบ้างไหม?

ก่อนหน้านี้ที่อยู่กับนักเรียนเลว เขาก็จะคุยกันของเขาแล้วก็ช่วยกันหาทางแก้ไขช่วงนั้นยังกระแสสูงของการเคลื่อนไหวเนอะ ความช่วยเหลือมันก็จะหลั่งไหลเข้ามา พอเราเจอปัญหานึงมันก็จะไม่ได้ติดขัดอยู่นานมันก็จะแก้ไขได้ เพราะว่ามันก็มีผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอด

แต่ตอนนี้เป็นช่วงกระแสต่ำแล้วก็หยกก็ปีนรั้ว ถ้าความช่วยเหลืออะไรที่อยากได้ก็คืออยากจะให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือคนที่มีสรรพกำลังเสียงที่จะพูดแทนหยกได้ในเรื่องของการต่อสู้ของเขา ก็อยากที่จะให้มีความกล้าหาญแล้วก็พูดแทนเขาว่าการต่อสู้ของเขาจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากมันไม่ได้เป็นเรื่องที่สุดโต่งจนเกินไป

แล้วก็อยากให้ทุกคนให้กำลังใจน้องกันค่ะ อย่าทำให้เค้าเหมือนเป็นเหมือนปิศาจเหมือนอะไรที่มันน่ารำคาญ จริงๆ สิ่งเหล่านั้นคือความรุนแรงที่คุณกำลังทำกับเด็กคนนึงอยู่

อันนี้กลับมาที่ตัวบุ้งบ้าง ที่บุ้งทุ่มสุดตัวขนาดนี้คิดว่าเป็นเรื่องที่ก่อนหน้าจะมาเคลื่อนไหวเคยคิดเอาไว้ว่าอยากจะทำมั้ย แล้วมองบทบาทของตัวเอง ณ วันนี้เป็นอย่างไร?

ก่อนที่เพิ่งจะมาเคลื่อนไหว คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่าอยากให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้วก็อยากให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเลยหรือก็หางานทำที่ทำให้ชีวิตมันก้าวหน้าในความคิดของเขา

แต่พอบุ้งออกมาเคลื่อนไหวปุ๊บ บุ้งก็เคยมีแผนที่จะทำแบบนั้นตามที่คุยกับครอบครัวไว้ แต่ว่าพอออกมาเคลื่อนไหวปุ๊บแล้วพอเรามีคดีแล้วเราก็มีปัญหาผูกพันอะไรเยอะ แล้วก็รู้สึกว่าเราอยากที่จะแก้ไขสิ่งที่เราทำผิดพลาดในอดีตเป้าหมายมันก็เลยเปลี่ยนไป บุ้งไม่อยากหนีบุ้งอยากสู้แล้วก็อยากให้พวกเราเก็บเกี่ยวชัยชนะไปเรื่อยๆ

จนถึงทุกวันนี้บุ้งรู้สึกว่าวันที่ประกาศคะแนนของพรรคก้าวไกลคือประชาชน 14 ล้านคนก็เลือก บุ้งไม่ได้หมายความว่าทั้ง 14 ล้านคนนั้นจะเป็นแฟนคลับ แต่บุ้งเชื่อว่ามันเกิดจากประชาชนที่อยากให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจริงๆ ภายในประเทศนี้ อยากให้มันมีรัฐสวัสดิการจริงๆ ก็เลยรู้สึกว่า 2-3 ปีที่เราทำมามันก็มาไกลแล้วบุ้งก็อยากไปต่อแล้วก็อยากชนะ

รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในภาพการเมืองวันนี้อยู่เหมือนกัน?

แน่นอน มันไม่ใช่แค่บุ้งด้วยเนาะ แต่ว่าเพื่อนๆ ที่เป็นนักกิจกรรมทุกคนเขาก็มีส่วนในแบบวิธีการต่างๆ ของเค้า มันไม่ได้มีใครมากำหนดว่าคุณต้องสู้ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นถึงจะชนะ มันเกิดจากหลายๆ ฝ่ายหลายๆ มือ ทำกันคนละแบบตามวิธีที่ตัวเองถนัด นำมาสู่วันนี้ที่ก้าวไกลได้ทั้งหมด 14 ล้านเสียง มันไม่ใช่แค่เฉพาะก้าวไกลอย่างเดียวแน่นอน มันเกิดจากการที่เพื่อนบุ้งหลายๆ คน รวมถึงตัวบุ้งเองและก็ทุกคนเสียสละตัวเองเพื่อที่จะให้มันมาถึงจุดนี้

ตอนนี้มีคดีอยู่กี่คดี?

ตอนนี้บุ้งมี 112 อยู่ 2 ใบ แล้วก็มี 116 ที่พ่วงกับ 112 แล้วก็มีคดีที่บุ้งไปเรียกร้องวัคซีนให้กับเด็กและเยาวชน ตอนนั้นบุ้งด่าอนุทินแรงมากนะจนมันไวรัลไปหมดเลย แต่ว่าก็ไม่เห็นจะโดนด่าเหมือนตอนนี้เลย เพราะว่าอาจจะชัดเจนที่คู่ขัดแย้งคืออนุทินที่บริหารจัดการโควิดผิดพลาด

อ่อ แล้วก็อีกคดีหนึ่งล่าสุดเลยเพิ่งไปรายงานตัวมาแล้วเป็นคดีที่ไปเรียกร้องให้ถอดถอน สว.เนาวรัตน์ (พงษ์ไพบูลย์) ออกจาก การเป็นศิลปินแห่งชาติ เพราะเขาเป็น สว.ที่ตระบัดสัตย์โกหกบอกว่าจะเลือกคุณพิธาแต่สุดท้ายก็ไม่เลือกไม่ได้เข้าสภาด้วยซ้ำคดีนี้ได้มาตอนที่ไปที่หน้ากระทรวงวัฒนธรรมฯ

กังวลเรื่องคดีไหม เห็นเพื่อนๆ เดินเข้าคุกไปแล้ว คดี 112 ก็ประกันตัวก็ยาก?

ใช้คำนี้ดีกว่าบุ้งก็ทุกข์ใจตั้งแต่ได้รัฐบาลที่มาจากเพื่อไทยมันก็คือคุณกำลังจะไปทางของเพื่อไทยแล้วว่า อ๋อ ปากท้องมาก่อนเสรีภาพ นี่ไงคือคุณกำลังจะได้ปากท้องและซึ่งไม่รู้ว่าจะได้มั้ยนะ เค้าจะทำตามที่สัญญาไว้ได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่ามันมีคนที่แบบโดนจับติดคุก ติดคุก ติดคุก มากขึ้น เป็นประวัติการณ์ตอนนี้ก็คือแบบ 30 กว่าคนแล้วที่เป็นนักโทษทางการเมือง

ที่ใช้คำว่าทุกข์ใจมากกว่าคือ ต่อให้เราได้รัฐบาลที่เขาเรียกตัวเองว่าเค้าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกันเพียงแต่ว่าฝั่งนั้นข้ามขั้วมาผสมพันธุ์กับเขาเอง เออก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทยมันลดลง มิหนำซ้ำคือคนถูกจับมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ พอไปถามคุณเศรษฐาก็บอกว่าก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งๆ ที่เมื่อต้นปีหมอชลน่านยังพูดเลยว่าต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำแล้วก็กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาพอมาวันนี้บอก กระบวนการยุติธรรมก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

บุ้งและกลุ่มทะลุวังไปทำโพลล์ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2566 ภาพโดยแมวส้ม

คือรู้สึกทุกข์ใจที่เพื่อนๆ ต้องเผชิญปัญหานี้ แต่ถ้าถามว่ากลัวไหมก็คือคำว่ากลัวไม่ได้อยู่ในสารบบในชีวิตบุ้ง กลับกันบุ้งรู้สึกว่า ถ้าบุ้งยังไม่ยอมแพ้แล้วเพื่อนร่วมทางที่อยู่ในชีวิตบุ้งตอนนี้ไม่ยอมแพ้ทะลุวังไม่ยอมแพ้ ทุกคนยังไม่ยอมแพ้ ก็คือเรายังไม่แพ้แล้วก็สู้ต่อจนกว่าจะถึงชัยชนะได้

แต่ดูเหมือนว่าเวลาเรียกร้องประเด็นเรื่องทำนองนี้ อย่างเรื่องที่ควรจะได้มาง่ายๆ อย่างสิทธิประกันตัว ต้องใช้สรรพกำลังสูงมาก เช่น อดอาหารจนต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว ที่ผ่านมา ตะวัน แบม ก็เคยอดอาหารตัวเองก็เคยอดอาหาร แต่ในตอนนี้กระแสสังคมที่สนับสนุนเรื่องนี้เสียงมันเบาลง กังวลเรื่องพวกนี้ไหม?

ก็เข้าใจ แต่บุ้งยังมีหวังอยู่นะในทุกๆ วันเลย รู้สึกว่ามันจะต้องมีวันหนึ่งที่เราหาความเป็นไปได้สักทางหนึ่งได้ แล้วเราจะชนะได้ ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้ แล้วบุ้งก็มั่นใจว่าทุกคนก็มีสติปัญญามากพอที่จะระดมกำลังกันได้แล้วจะเอาชนะได้ แต่รัฐเนี่ยเก่งที่ทำให้รู้สึกว่าไอ้ปัญหาของนักโทษทางการเมืองหรือปัญหาที่เราเรียกร้องกันอยู่มันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย คือเขาก็ยัดคดีทำให้แต่ละคนอ่อนกำลังลง ก็ถือว่าเขาทำได้สำเร็จแล้วเขาก็มีทีมไอโออีกที่คอยปั่นว่าแบบเดิมมันดีอยู่แล้วสงบดีอยู่แล้ว

ก็อาจจะเป็นการบ้านที่ทุกคนต้องกลับไปคิดว่าเราจะทำยังไงให้ประชาชนเข้าใจว่า เรื่องปัญหานักโทษทางการเมืองมันไม่ใช่แค่ของนักกิจกรรมนะ คือคนธรรมดาคุณใช้ชีวิตของคุณอยู่วันนึงคุณไปเหยียบแบงค์พันก็อาจจะมีคนมาแจ้ง 112 คุณก็ได้ หรือวันนึงคุณทำไม่ถูกใจผู้มีอำนาจเพราะคุณวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตคุณก็อาจจะถูก 116 ก็ได้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะว่าจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่นักกิจกรรมเป็นใครก็ได้ที่โดน บุ้งเองเนี่ยเป็นลูกหลานตุลาการยังโดนคดีและติดคุกมาแล้ว มันเป็นใครก็ได้ในประเทศนี้ขึ้นอยู่กับว่าวันนึงความเดือดร้อนมันจะไปเคาะประตูหน้าบ้านคุณหรือเปล่าแค่นั้นเอง

ในฐานะเป็นคนที่ดูแลหยก ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งติดคุกขึ้นมากังวลไหมว่าที่อาจไม่มีโอกาสดูแลแล้วหรือว่ากว่าจะได้ออกมาก็ไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นยังไง?

ความรัก ความเป็นห่วงเป็นใยมันก็มีอยู่เสมอแหละ แต่ว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราคุยกันปรึกษากันเยอะค่ะ เพราะว่าเดือนหน้าอาจจะโดนถอนประกันเข้าไปในเรือนจำก็ได้ แต่ว่าสิ่งนึงที่มั่นใจมากๆ คือหยกเขามีความเก่งกาจในการเอาตัวรอดในการใช้ชีวิต เขาเคยอยู่ในสถานพินิจมาแล้วนะ แล้วเขาก็ออกมาได้อย่างเข้มแข็งและแข็งแกร่งมากๆ

หยกเป็นเด็กที่สมมติวันนี้บุ้งตื่นสาย ไม่มีข้าวไว้ให้เขาก็จะหาทางอะไรของเค้าไปเองหยิบขนมปังเอาแยมมาทาแล้วกินได้เองคือแบบไม่ได้เลี้ยงยากอะไร เขาก็ดูแลตัวเองได้หาทางไปโรงเรียนได้ถ้าเจ็บป่วยก็มีคนของบุ้งพวกเราวางแผนไว้แล้วว่าเราจะดูแลหยกยังไงต่อ

แล้วที่ใช้คำว่าบุ้งดูแลอยู่คือบุ้งไม่ได้ต้องเอาทุกอย่างไปป้อนให้ เขาก็แข็งแรงของเขามาแล้วในระดับนึงก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้บุ้งติดคุกหยกอาจจะเสียใจ อาจจะทุกข์ใจ แต่ว่าความเข้มแข็งและความกล้าหาญของเขามันจะทำให้เขาผ่านทุกอย่างไปได้ ส่วนเรื่องทีมที่ดูแลเราก็ได้มีการเตรียมอะไรไว้แล้ว

ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่เริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเลยจนถึงวันนี้คิดว่าอะไรบ้าง ที่เป็นความสำเร็จแล้วก็รู้สึกว่ามีเรื่องไหนที่ล้มเหลวแล้วก็อยากจะไปแก้ไหม?

ตั้งแต่เริ่มทำทะลุวังมาเราก็คุยกันในกลุ่มเพื่อนๆ ตอนนั้นก็มีแค่สายน้ำ ใบปอแล้วก็มีตะวัน ตอนที่ทำโพลเราก็ไม่ได้คิดหรอกว่าเราจะมาไกลขนาดนี้ ทำโพลล์ก็คือว่าเราอยากได้อีกรูปแบบหนึ่งของการเคลื่อนไหวโดยที่สามารถตั้งคำถามไปได้โดยตรงถึงสถาบันกษัตริย์แล้วเราก็ให้ประชาชนตอบ มันไม่ใช่การอาฆาตมาดร้าย มันคือการถามคำถามให้ประชาชนตอบให้ประชาชนเลือก สมมติเราถามว่าขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อนไหมเราไม่ได้ชี้นำอะไรเลยเรายืนถือโพลล์เฉยๆ ให้ประชาชนตอบ

พอมาวันหนึ่งมาถึงจุดที่แค่ตั้งคำถามบุ้ง ใบปอ ตะวัน ตั้งคำถามเราก็ติดคุก แล้วก็ไม่ให้ประกันเรา เฆี่ยนตีเรา จนกระทั่งเอาให้มั่นใจว่าเราออกมาจากคุกแล้วเราน่าจะไม่ทำอะไรอีก กลับกันก็คือมันทำให้เราแบบไม่เชิงว่าเข้มแข็งขึ้นแต่ว่ามันทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละที่เรากำลังสู้อยู่นี่แหละคือตัวปัญหา แล้วบางทีบางครั้งที่เค้าทำกับเราขนาดนี้หมายความว่าเราอาจจะมาถูกทางแล้ว คือเรากำลังเขย่ารากฐานของอำนาจภายในประเทศนี้รากฐานของปัญหาทุกๆ อย่างในประเทศนี้ แสดงว่าเราอาจจะมาถูกทางแล้วในการที่เราตั้งคำถามถึงเขาโดยตรง

จนกระทั่งแบบเพื่อนๆ ก็กลับเข้าไปติดอยู่ในเรือนจำอีกรอบหนึ่ง เพราะออกมาชุมนุมใบปอ เก็ทก็กลับไปติดอีกแล้ว ตะวันกับแบม ก็เลยเลือกที่จะใช้วิธีอดอาหารเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประกัน ตอนนั้นบุ้งก็คิดว่าเราก็ได้ชัยชนะมาในระดับหนึ่ง คือเพื่อนเกือบทั้งหมดได้ปล่อยแล้วก็ได้ออกมาเจอครอบครัวได้ออกมาใช้ชีวิต หลายคนก็ออกมาแล้วเราก็มาเป็นเพื่อนกันมาสนิทกันบุ้งก็รู้สึกว่าเราได้มากๆ แล้วเท่าที่เท่าที่เราสู้มา จนกระทั่งอยู่ไปอยู่มาวันนึงหยกเข้าเรือนจำ อีกแล้วก็ปฏิเสธอำนาจศาลอีก เพราะเขารู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ยุติธรรมกับเขา แล้วหยกก็กล้าหาญมากๆ หันหลังให้กับกระบวนการยุติธรรม

อันนี้คือบุ้งต้องเล่าคือบุ้งไม่เคยรู้จักกับหยกมาก่อน เคยแต่ตามเค้าเวลาเค้าไลฟ์หรือว่าเขาไปยืนอ่านแถลงการณ์หน้ายูเอ็นก็เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่กล้าจังเลย จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาตัวเองในวันที่รู้สึกว่าวันนี้น้องน่าจะต้องเข้าคุกแล้ว แบบขอไปเจอขอไปคุยครั้งหนึ่งก่อนแล้วเดี๋ยวต่อจากนี้ไปบุ้งจะช่วยนะ

บุ้งก็ได้เห็นว่าเขานั่งหันหลังให้ผู้พิพากษา แล้วก็จำได้ว่าวันนั้นบุ้งขนลุกตั้งเลยแล้วรู้สึกว่า โอ้โห ทำไมเขาถึงกล้าจังเรายังไม่กล้าเท่าเขาเลย ได้คุยกับเขาใต้ถุนศาลว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่บุ้งจะช่วยจนกว่าหนูจะได้ออก แล้วก็ในวิธีการที่บุ้งจะช่วยจะถามหนูก่อนและจะไม่ทำลายจิตวิญญาณการเคลื่อนไหวหรือจิตใจที่กล้าหาญอะไรของหนูเลย แล้วก็ทำกันมามีเพื่อนหลายคนมากช่วยกันจนกระทั่งหยกได้รับการปล่อยตัว แล้วศาลก็ปล่อยเองเพราะอยู่มาวันหนึ่งศาลก็เห็นว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเอาไว้ในเรือนจำต่อแล้ว

จากวันนั้นจนถึงวันนี้คือหลายคนก็ไม่น่าจะคิดว่าเราจะได้อะไรที่เราได้ แต่เราก็ได้มา คิดว่าแบบย้อนเวลากลับไป คงไม่เปลี่ยนอะไร อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้มันดีอยู่แล้วที่มันเป็นแบบนี้ ต่อให้ ณ ตอนนี้โดนโจมตีมากมายแค่ไหน แต่ว่า Everything happen for reason  บุ้งรู้สึกว่ามันดีอยู่แล้วที่มันเกิดแบบนี้ มีอะไรที่เราผิดพลาดเราก็แก้ไขแล้วเราก็ไปต่อแค่นั้นเอง เราก็เป็นคนที่แข็งแรงขึ้น

แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาเนี่ยมันก็ทำให้เสียคนที่เคยร่วมทางกัน เคลื่อนไหวร่วมกันมา แล้วก็กลับมาวิพากษ์วิจารณ์บุ้งด้วย มองเรื่องนี้ยังไง?

บุ้งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ มีใครเข้ามาก็ต้องมีจากไปมีแล้วก็มีคนเข้ามาใหม่ แล้วก็ตราบใดที่เรายังยืนอยู่บนหลักการว่าสิ่งที่เราต้องการจะได้จริงๆ มันไม่ใช่เพื่อตัวเราเองมันคือเพื่อต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย บุ้งคิดมากกับเรื่องภาษีบุ้งอยากให้ประชาชนเลือกได้ว่าภาษีที่เขาจ่ายไปเนี่ยมันจะต้องเอาไปใช้จ่ายในส่วนไหน บุ้งอยากให้ 30,000 ล้านบาทเป็นของประชาชน

คือสิ่งที่บุ้งทำมันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่บุ้งทำมันก็อาจจะมีพลวัตของมันมีคนเข้ามาและก็มีคนออกไป แล้วก็คนที่เข้ามาในชีวิตบุ้งตอนนี้ก็เป็นคนที่ดีกว่าเดิมเป็นคนที่ให้แง่มุมใหม่ๆ ในชีวิตบุ้งให้บุ้งไปต่อได้

เรื่องข้อวิจารณ์

อะไรที่มันจริงก็ปรับตัวอย่างที่เขาบอกว่าบุ้งอารมณ์ร้อน แต่ว่าไม่หรอกบุ้งไม่อารมณ์ร้อนกับคนรอบข้าง ก็จะโกรธเวลาที่เราเดินไปข้างทางแล้วเห็นคนไร้บ้านเราโกรธที่นักการเมืองหักหลังประชาชน บุ้งโกรธบุ้งก็ด่าบุ้งไม่เก็บ ไม่ได้อารมณ์ดีพอที่จะเก็บได้ใครที่โดนกระทำเหล่านี้เข้าไปหรือคุณเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วคุณยังใจเย็นอยู่ได้ก็คือคุณก็เก่งมากเลย แต่บุ้งอาจจะไม่เก่งแบบนั้นเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องอื่นที่อะไรที่มันไม่เป็นความจริงงก็บุ้งก็พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเอง อย่างเช่น ที่คุณเสรีพิศุทธ์กล่าวหาว่าบุ้งค้ามนุษย์หรือเขาจะฟ้องหมิ่นประมาทบุ้งอันนี้ก็รอหมายอยู่ว่าจะมาส่งเมื่อไหร่ บุ้งยินดีมากๆ ที่จะพิสูจน์ตัวเองแล้วก็มั่นใจมากว่าพิสูจน์ตัวเองได้

แล้วทำไมที่ผ่านมาเวลาถูกวิจารณ์ก็ไม่ค่อยได้ออกมาตอบโต้หรือตอบคำถามชี้แจงอะไร?

ก็ไม่ได้มีช่องทางให้ชี้แจงด้วยมั้ง บุ้งไม่มีเฟซบุ๊กที่เปิดต่อสาธารณะไม่ได้มีช่องทางโซเชียลมีเดียอะไรเลยที่เปิดต่อสาธารณะ แล้วก็บางอย่างเป็นเรื่องโกหกแล้วถ้าเราจะวิ่งตามเรื่องโกหกทุกเรื่องมันก็จะเหนื่อย บุ้งว่าเป้าหมายของบุ้งกับทะลุวังทุกครั้งที่มีปัญหาอะไร ทะลุวังทุกคนก็จะคุยกันว่าเราจะทำยังไง

มันก็จะได้คำตอบมาเป็นคำตอบเดิมคือเป้าหมายเราชัดมากว่าเป้าหมายเราใหญ่แล้วเราอยากได้อะไร แล้วเราไม่ได้มีเวลาว่างมากๆ ที่จะแวะข้างทางเยอะที่เราจะต้องคอยแก้นู่นนี่ตลอดเวลา คือเรารู้สึกว่าเราแบบอยากพุ่งไปที่เป้าหมายของเรามากกว่า

แล้วมองอนาคตของตัวเองของทะลุวังไว้ยังไง?

สำหรับเราคือมันจะมีมันจะมีข้อจำกัดหลายอย่างคือ เดือนหน้าบุ้งก็อาจจะติดคุกหรือสมมติรอดมาได้อาจจะติดอีก ใบปอก็อาจจะติดอีก เพื่อนคนอื่นในทะลุวังก็อาจจะติดอีก มันก็เลยจะเป็นเป้าหมายในระยะยาวแบบ 10 ปีไม่ได้ว่า 10 ปีข้างหน้าทะลุวังจะเป็นยังไง บางทีอาจจะไม่มีทะลุวังอยู่แล้วก็ได้

แต่เราก็มั่นใจได้ว่าถ้าปัญหาที่เราอยากแก้มันยังไม่ถูกแก้ เราก็คงยังจะสู้อย่างนี้กันต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้เอาไปติดคุกแล้วออกมาแล้วก็สู้ต่อเผลอๆ เราสู้ตั้งแต่ในคุกด้วย ไม่ยอมแพ้ก็คือไม่ยอมแพ้

ส่วนตัวบุ้ง ก็เหมือนกันนะบุ้งก็คิดเหมือนน้องๆ ทุกคนว่าก็ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้อยู่บุ้งก็คงจะสู้ต่อ แต่ก็ยังไม่กล้าจินตนาการตัวเองว่าจะสู้ไปจนแก่เหมือนอาสมยศ(พฤกษาเกษมสุข) มั้ย อาสมยศก็อายุเยอะแล้วแต่ก็ยังสู้อยู่ เหมือนทนายกฤษฎางค์ (นุตจรัส) ก็สู้มาตั้งแต่สมัย 6 ตุลา ถ้าจะต้องสู้ไปจนขนาดนั้นก็เอา ก็เป็นการตายกันไปข้างนึงเลย

แล้วมองไปไกลๆ อย่างนั้นแล้วจะใช้ชีวิตยังไง ชีวิตมันดูมีเป้าหมายเป็นเรื่องทางการเมืองตลอดเวลา?

ไม่หรอกค่ะ อันนั้นมันคือเหมือนเป็นแพชชั่นในชีวิตมากเนาะ แต่ว่าจริงๆ แล้วก็ต้องทำงานก็ต้องสร้างชีวิต แล้ววันนึงอาจจะมีครอบครัวของบุ้งเหมือนกันที่หยกก็อาจจะช่วยดูแลน้องก็ได้ หรือวันนึงก็อาจจะต้องพักไปก่อนแล้วไปเรียนต่อตามที่เคยสัญญากับคุณพ่อคุณแม่ไว้ ยังไม่ได้มองให้ชัดมากขนาดนั้นอย่างที่บอกก็คืออาจจะต้องดูกันเป็นไตรมาสไป ไตรมาสนี้เราติดคุกมั้ยนะนะไตรมาสหน้าเราจะทำอะไร มันก็เป็นข้อเสียเหมือนกันของการที่ออกมาตรงนี้เพราะเราก็วางแผนชัดเจนไม่ได้

มันต้องวางแผนอย่างนี้เพราะยืนยันว่าจะไม่หนี?

ใช่ บุ้งพูดได้แน่นอนว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้รัฐประหารบุ้งก็จะไม่หนี

พอมองอนาคตตัวเองไว้อาจจะต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วถ้าสมมติว่าวันนึงเกิดไม่ต้องสู้แล้วจะทำอะไร?

ถ้าวันนึงได้ทุกอย่างที่อยากได้แล้วใช่ไหมแล้วไม่ต้องสู้ บุ้งว่าไม่ได้เป็นคนโลภอะไรมากในชีวิตถ้ามีรายรับสม่ำเสมอเข้ามาในระดับหนึ่งที่เราไม่ต้องหลังขดหลังแข็งทำงานทุกวันบุ้งก็โอเคแล้วบุ้งก็คงอยู่กับแฟน เลี้ยงแมว อยู่กับครอบครัวแล้วก็ไปเที่ยว จริงๆ คืออยากเที่ยวเยอะๆ อยากเห็นโลกเยอะๆ โดนเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเนี่ยตั้งแต่หมดโควิดมายังไม่ได้เที่ยวเลย เราก็คงใช้ชีวิตที่อยากใช้ ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วก็ใช้ชีวิตต่อ

แต่ไม่หรอกคือต่อให้การต่อสู้ไม่ชนะ บุ้งก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วแต่ก็ต้องบาลานซ์เวลา

อยากเห็นสังคมเป็นแบบไหนแบบที่วันหนึ่งไม่ต้องสู้ สังคมวันนั้นจะมีหน้าตาเป็นยังไงแล้ว?

อย่างช่วงนี้บุ้งสู้เรื่องการศึกษาของหยก บุ้งอยู่กับเด็กมาจำนวนประมาณนึงเลยทั้งผ่านการสอนพิเศษก็ดีทั้งผ่านการเคลื่อนไหวก็ดี บุ้งรู้สึกว่าเด็กเขามีความคิดเป็นของตัวเอง เค้าจะมีสีของเขาไม่ใช่ว่าเขาจะขาวไปเลยหรืออะไรนะคะเขาก็จะมีสีของเขาที่มันแต่งแต้มมา เค้าก็มีความฝันของเขาบุ้งอยากให้สังคมหรือผู้ใหญ่เชื่อให้ได้อย่างแบบที่ปากพูด

มันอาจจะมีแบบผู้ใหญ่บางคนที่ชอบพูดว่าเออแบบเด็กมีความคิดเป็นของตัวเองนะ เด็กคืออนาคตของชาติอะไรเงี้ยค่ะ บุ้งก็อยากให้เค้าคิดจริงๆ อย่างที่เขาพูดแล้วก็เคารพความคิดการตัดสินใจของเด็กจริงๆ อย่างที่วาทกรรมมันได้ถูกพูดออกมา

เพราะอย่างหยกเนี่ย ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมากๆ เลยก็คือ หลายคนไม่เชื่อว่าเขามีความคิดเป็นของตัวเองและนี่คือเป็นสิ่งที่บุ้งทุกข์ใจมากเพราะว่าบุ้งอยู่ใกล้ชิดกันเนอะ แล้วก็จะเห็นว่าเขาเป็นเด็กฉลาดแต่ว่าแบบสังคมไม่เชื่อถือในความคิดของเขาเลย

แล้วก็อีกอย่างนึงที่บุ้งอยากเห็นคืออยากเห็นประเทศนี้มีรัฐสวัสดิการ อยากเห็นทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่แบบปากท้องดีเฉยๆ แต่ว่าเราไม่มีสิทธิเสรีภาพในการพูดอะไรเลยหรือวิจารณ์อะไรเลยนะ ใบปอพูดคำนึงกับบุ้งว่ามีปากท้องดีแต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพมันเหมือนคุณอยู่ในค่ายทหารแล้วคุณกินอาหารในค่ายทหารแล้วคุณพูดอะไรไม่ได้ เนี่ยก็ท้องอิ่มเหมือนกันแต่อร่อยไหมละเวลาคุณกินอาหาร? ก็ไม่อร่อย หรือเหมือนเราซื้อข้าวมากิน เรากินอิ่มแหละจุกด้วยก็ได้บางทีบางครั้งเพราะอาหารอาจจะถูกแต่ว่าเราวิจารณ์ไม่ได้ว่าอาหารอันนี้มาจากอะไรเราวิจารณ์ไม่ได้ว่ามันไม่อร่อยแบบไหน สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่ใช่ชีวิตเหมือนกันมนุษย์เราควรได้ใช้ชีวิต

หมายเหตุ - แก้ไข 11.35 น. 3 ต.ค.2566

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net